บทที่ 512 เปลี่ยนแปลง

บัลลังก์พญาหงส์

หลี่เย่ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มเล็กน้อย ส่งดอกหมู่ตานไปให้นาง “เจ้าเอาไปดูให้ดีๆ”

 

 

ถาวจวินหลันตะลึงไป มองอย่างละเอียดตามคำบอก สุดท้ายแล้วก็รู้ว่า นี่ไม่ใช่ดอกไม้จริง แต่ทำมาจากผลึกสีม่วง เพราะสีใสบริสุทธิ์ ไม่มีสีผสมมากเกินไป ดังนั้นแวบแรกจึงเหมือนดอกไม้จริงไม่มีผิด กลีบดอกไม้ที่ทับซ้อนกันเป็นชั้นนั้นก็น่าจะสลักมาทีละใบ แต่ละใบแยกจากกัน ลวดลายเห็นได้ชัด ดอกไม้แต่ละกลีบมีเกสรดอกไม้ติดอยู่ เหมือนดอกไม้บาน และเป็นช่วงเวลาที่สวยที่สุด ทำให้คนละสายตาไปไม่ได้

 

 

หลี่เย่หยอกเย้าเล่นกับกลีบดอกไม้ กลีบดอกไม้นั้นขยับเล็กน้อย หากกดแล้วเปลี่ยนรูปไปตามนิ้ว ก็จะเหมือนกับของจริงไม่มีผิด

 

 

“ภายในเกสรดอกไม้มีกลีบลับ สามารถใส่จำพวกยาเม็ดเอาไว้ได้ ปีนี้แคว้นเหลียงมอบยากันพิษมาให้ข้าเม็ดหนึ่ง ข้าใส่เอาไว้ข้างในนั้นแล้ว หากเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน เจ้าก็เอาออกมาอมไว้ แม้จะแก้พิษไม่ได้ชะงัดนัก แต่ก็พอยืดเวลาไปได้” หลี่เย่ยิ้มพูด แล้วแสดงให้ถาวจวินหลันดูครั้งหนึ่ง

 

 

ถาวจวินหลันได้ยินก็อดขมวดคิ้วถามตามสัญชาตญาณไม่ได้ “ทำไมหรือเพคะ?”

 

 

หลี่เย่ส่ายหน้า “ไม่มีอะไร เพียงแค่ได้มาเม็ดหนึ่งพอดี ข้าก็เลยใส่ไว้ให้เจ้า”

 

 

“ปกติแล้วท่านอยู่ข้างนอกทุกวัน ท่านติดตัวเอาไว้เองเถิด ข้าอยู่ในบ้านทั้งวัน ไฉนเลยจะได้ใช้สิ่งนี้” ถาวจวินหลันส่ายหน้าเบาๆ อย่างไม่ยินยอม แม้หลี่เย่จะพูดว่าไม่มีอะไร แต่ในใจของนางก็ยังคงไม่สบายใจ จากนั้นก็คิดถึงภาพตอนที่หลี่เย่ถูกพิษ และยิ่งรู้สึกว่ายากันพิษนี้ควรต้องอยู่กับหลี่เย่มากกว่า

 

 

หลี่เย่หัวเราะเบาๆ “กลับไปข้าจะให้คนหามาอีกเม็ดหนึ่งก็แล้วกัน” พูดพลางนำเอาดอกหมู่ตานนั้นไปวางเทียบบนผมของถาวจวินหลัน หลังจากหาที่เหมาะสมได้แล้วก็ถอดปิ่นลูกท้อฝังอัญมณี ก่อนปักปิ่นดอกหมู่ตานลงไปแทน

 

 

ถาวจวินหลันยกมือขึ้นไปลูบ รู้สึกลังเล “จะเด่นเกินไปหรือไม่” ดอกไม้นี้ไม่ใช่สิ่งที่หามาได้โดยง่าย ต่อให้มีวัตถุดิบก็ไม่รู้ว่าต้องใช้แรงมากเท่าไร อีกทั้งเกรงว่าไม่ใช่ช่างฝีมือที่ไหนก็สามารถทำได้ ในตอนนี้นางใส่เข้าวังหลวงไป จะต้องเด่นแน่นอน

 

 

“กลัวอะไรเล่า?” หลี่เย่หัวเราะ “เจ้าควรจะชินได้แล้ว ต่อจากนี้ไปไม่ว่าตอนไหน เจ้ายืนอยู่ข้างกายข้า ก็ต้องทำให้คนหันมาสนใจอยู่แล้ว”

 

 

ตอนแรกถาวจวินหลันยังคิดจะพูดเรื่องฐานะชายารองของตน พอได้ยินแบบนี้ก็กลืนคำพูดลงไป ใช่แล้ว ตอนนี้นางไม่จำเป็นต้องถ่อมตัว กดตัวเองลงต่ำและไม่จำเป็นต้องหลบหลีกอีก หลี่เย่เก่งกล้ามีความสามารถ หากนางยืนอยู่ข้างเขา ก็ไม่ใช่แค่สนับสนุนอยู่เงียบๆ แล้วจะพอ นางควรต้องแสดงความสามารถของตน อวดอ้างข้อดีออกมา

 

 

ถาวจวินหลันเม้มปากยิ้ม พลางหันไปสั่งหงหลัว “ไปเอาผ้าคลุมหนังจิ้งจอกสีม่วงของข้ามา” ในเมื่อจะต้องโดดเด่น ก็จะต้องทำให้ดีที่สุด หนังจิ้งจอกสีม่วงนั้นหายากเป็นอย่างยิ่ง เกรงว่าในวังหลวงคงจะไม่มีเช่นกัน ตั้งแต่นางได้รับมา ก็ไม่เคยใส่ออกไปมาก่อน ด้วยกลัวว่าจะโดดเด่นมากเกินไป แต่ว่าตอนนี้…

 

 

จวนตวนชินอ๋องควรโดดเด่นได้แล้ว

 

 

หลี่เย่ช่วยถาวจวินหลันผูกผ้าคลุมด้วยตนเอง พลางเอาเตาผิงเล็กให้นางอุ้มเอาไว้ แล้วถึงได้จูงมือนางเดินออกไปจากห้อง ทั้งสองคนเดินแนบเคียงกันไป มือทั้งสองคนกุมเข้าด้วยกัน เพราะว่ามีแขนเสื้อคลุมอยู่จึงไม่ได้รู้สึกหนาวนัก แน่นอนว่าเป็นเพราะมือของหลี่เย่อุ่นมากอยู่แล้ว

 

 

เมื่อเทียบกับหลี่เย่แล้ว ฝ่ามือของถาวจวินหลันดูเย็นกว่าอย่างชัดเจน แต่กุมสักพักก็เริ่มอุ่นกำลังพอดี อีกทั้งเดินขยับตัวก็เริ่มมีเหงื่อออกมา เมื่อมีเหงื่อก็เริ่มเหนียวแฉะอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก แต่ทั้งสองคนก็ไม่ได้คิดจะปล่อยมือจากกัน

 

 

ตลอดทางทั้งสองคนไม่ได้พูดคุยกัน แต่ตอนที่ขึ้นไปบนรถม้า หลี่เย่ก็ประคองถาวจวินหลันขึ้นไป พูดว่า “ระวังหัวชนด้านบนด้วย”

 

 

ถาวจวินหลันเม้มปากยิ้มบางๆ “ข้าไม่ใช่เด็กเล็กแล้ว ไฉนเลยจะสะเพร่าเช่นนั้น”

 

 

พอรถม้าค่อยๆ ขยับ หลี่เย่ก็กำชับถาวจวินหลันเสียงเบา “อาหารในงานเลี้ยงค่อนข้างเลี่ยน ตอนที่ส่งมาก็แทบจะเย็นแล้ว เจ้าเพียงแค่ลองชิมเท่านั้นก็พอ อย่ากินเยอะไป หากหิวก็ให้เลือกอาการที่อ่อนและไม่ค่อยมันมาทาน ข้าให้ห้องครัวเล็กเตรียมพร้อมไว้แล้ว ตกดึกกลับมาก็จะมีของให้กิน”

 

 

ถาวจวินหลันเห็นเขากำชับเคร่งครัด จึงอดหัวเราะไม่ได้ “ทำไมท่านถึงได้พูดมากเช่นนี้เล่า ท่านวางใจเถิด ข้าไม่เคยเข้าร่วมงานสมโภชมาก่อน แต่ก็ไม่ถึงขั้นดูแลตนเองไม่ได้ อีกอย่างหนึ่งพวกเรานั่งอยู่ด้วยกัน ถึงเวลานั้นท่านเตือนข้าก็ยังไม่สายเกินไป ตอนที่ข้าออกไปข้างนอกได้ดื่มชาเมล็ดซิ่งร้อนๆ มาแล้วถ้วยหนึ่ง และกินของว่างมาแล้วชิ้นหนึ่ง ไม่หิวเลยเพคะ”

 

 

หลี่เย่อดหัวเราะไม่ได้ ผ่านไปครู่หนึ่งก็เริ่มเคร่งขรึม “แม้จะบอกว่านั่งที่เดียวกับข้า แต่ก็ต้องมีเวลาที่ไปพบปะผูร่วมงานคนอื่น ถึงเวลานั้นเกรงว่าข้าคงจะช่วยเจ้าไม่ได้ เจ้าจะต้องระวังตัวให้มาก”

 

 

ถาวจวินหลันยังคงหัวเราะ “ผู้หญิงคนอื่นก็ไม่ใช่สัตว์ร้ายอะไร หรือพวกนางกลืนข้าลงไปในคำเดียวได้เล่า? ต่อให้ไว้หน้าท่าน ไม่แน่ว่าพวกนางก็จะต้องยอมให้ข้าอยู่สามส่วน”

 

 

หลี่เย่ยังคงไม่วางใจ พลางพูดเรื่องที่ควรระมัดระวังในงานสมโภชออกมาไม่หยุด ถาวจวินหลันถึงเข้าใจว่าที่จริงแล้วเขาใส่ใจกับงานครั้งนี้มาก แน่นอนว่าหลักๆ แล้วก็เพราะว่าเขาเคยได้รับบทเรียนมากมายจากในวังหลวง ดังนั้นจึงวางใจไม่ค่อยได้

 

 

พอมาถึงภายในวังหลวง พวกเขาก็ตรงเข้าไปยังสถานที่จัดงานเลี้ยง

 

 

หลี่เย่คำนวณเวลามาแล้ว ทั้งไม่ช้าเกินไปและไม่เร็วเกินไป แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ตอนที่พวกเขาเดินจูงมือกันเข้ามาก็ดึงดูดสายตาคนจำนวนไม่น้อย

 

 

จวงอ๋องและอู่อ๋องก็มาด้วย พอเห็นหลี่เย่ก็เดินเข้าไปรับด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม พูดทักทายตามมารยาท “พี่รองมาแล้ว”

 

 

หลังจากทำความเคารพทักทายกันแล้ว พระชายาจวงอ๋องและพระชายาอู่อ๋องก็ดึงถาวจวินหลันไปอย่างกระตือรือร้น “ชายารองถาวไม่พบกันนานเลย ดูสวยมากกว่าเดิมหลายส่วนทีเดียว”

 

 

พระชายาอู่อ๋องสังเกตเห็นดอกหมู่ตานบนศีรษะของถาวจวินหลันก่อน จึงถามอย่างตื่นตกใจ “ทำไมยามนี้ถึงมีดอกหมู่ตานบานด้วยเล่า?”

 

 

ฉับพลันนั้นก็มีเสียงหัวเราะเบาๆ ดังมาจากข้างหลัง พูดว่า “ไม่ใช่ดอกไม้จริงเสียหน่อย เพียงแค่แกะสลักเป็นรูปดอกไม้เท่านั้นเอง พระชายาจวงอ๋องมองผิดไปเสียแล้ว”

 

 

ถาวจวินหลันเบนหน้าไปมอง ก็เห็นหยวนฉงหวา พระชายาองค์รัชทายาท และหวังเหลียงตี้*เดินมา คำพูดนั้นหยวนฉงหวาเป็นคนพูด ตอนนี้ใบหน้าของหยวนฉงหวามีรอยยิ้มประดับอยู่ แต่กลับประกายความเยาะเย้ยเอาไว้

 

 

พระชายาองค์รัชทายาทมองไปยังหยวนฉงหวา ดุเสียงเบา “ระวังคำพูดด้วย”

 

 

หยวนฉงหวาไม่เก็บไปใส่ใจ แต่ก็เงียบปากไป กลับเป็นหวังเหลียงตี้ที่ยิ้มให้ถาวจวินหลัน พูดเสียงเบาว่า “วันนี้ชายารองถาวดูสง่างามผิดปกติ หนังจิ้งจอกสีม่วงนี้หาได้ยากยิ่งนัก ข้าจำได้ว่าฮองเฮาเหนียงเหนียงก็มีเพียงแค่ผืนเดียวเท่านั้น แต่ก็มากพอให้ทำแค่ผ้าพันคอเท่านั้น ผ้าคลุมผืนหนึ่ง อย่างน้อยก็จะต้องใช้หนังถึงสี่ห้าผืนมาต่อกัน”

 

 

คำพูดของหวังเหลียงตี้ทำให้ดวงตาหลายคู่ทอดมายังร่างของถาวจวินหลัน

 

 

ถาวจวินหลันยิ้มน้อยๆ สบตากับหวังเหลียงตี้ พูดเสียงเบา “หวังเหลียงตี้ไม่เลวเพคะ” นางไม่ได้มีท่าทีถ่อมตัวเลยแม้แต่น้อย อย่างไรผ้าคลุมก็อยู่บนร่างของนาง นางจะถ่อมตัวไปก็ไร้ประโยชน์

 

 

พระชายาจวงอ๋องหัวเราะทันที มองถาวจวินหลันและมองไปยังพระชายาองค์รัชทายาท พูดว่า “ทำไมวันนี้พระชายาองค์รัชทายาทถึงได้ถ่อมตัวเช่นนี้เล่าเพคะ? กลับเป็นชายารองถาวที่ดูสูงส่งสง่างามมากกว่า”

 

 

พระชายาองค์รัชทายาทย่อมต้องถ่อมตัว องค์รัชทายาททำเรื่องไว้มาก ฮองเฮาเองก็ไม่อยู่ หากนางยังถือตัวก็ยิ่งทำให้ฮ่องเต้เกลียดองค์รัชทายาทมากขึ้นอีกมิใช่หรือ? แน่นอนว่าคำพูดนี้กำลังบอกว่าถาวจวินหลันไร้มารยาท เป็นแค่ชายารอง ทว่ากลับโดดเด่นมากกว่าพระชายาองค์รัชทายาท

 

 

ถาวจวินหลันมองพระชายาจวงอ๋องอย่างตื่นตกใจ ยิ้มน้อยๆ พลางพูดว่า “ชุดประจำตำแหน่งของชายารองอย่างข้าไฉนเลยจะเทียบกับพระชายาองค์รัชทายาทได้เจ้าคะ? ไม่ต้องพูดถึงพระชายาองค์รัชทายาท แม้แต่พระชายาจวงอ๋อง ข้าก็ไม่สามารถเทียบได้ แต่พระชายาจวงอ๋องชมข้าเช่นนี้ กลับหมายความว่าข้าเองก็สามารถเชิดหน้าชูตาได้เช่นเดียวกัน ไม่ได้ดูด้อยเกินไปนัก”

 

 

ชุดประจำตำแหน่งเทียบไม่ได้ แต่ว่าของอย่างอื่นก็ไม่ใช่ว่าจะเทียบไม่ได้ นางพูดเช่นนี้ก็มีความหมายเย้ยหยันพระชายาจวงอ๋องอยู่ในที เมื่อเทียบกับจวนตวนชินอ๋องแล้วนั้น จวนจวงอ๋องไม่สามารถเทียบได้

 

 

อย่างน้อยด้านทรัพย์สินก็ไม่สามารถเทียบได้แล้ว อีกทั้งปิ่นปักบนร่างกายของนางก็เป็นของดีที่หลี่เย่สั่งให้คนหามาให้ มองดูแล้วไม่ได้เด่นแต่พอมองอย่างพิจารณาให้ดีกลับทำให้คนต้องถลึงตาโต

 

 

พระชายาองค์รัชทายาทก็หัวเราะออกมา แต่กลับเป็นรอยยิ้มที่ดูโหดเ**้ยมเหมือนกับฮองเฮา ปากยิ้มแต่ตาไม่ได้ยิ้มไปด้วย “ชายารองถาวพูดน่าขันแล้ว เจ้าเป็นชายารองชินอ๋อง จะด้อยเกินไปได้อย่างไร?”

 

 

เห็นได้ชัดว่าพระชายาองค์รัชทายาทไม่อยากพูดอะไรมาก พอพูดจบก็ตรงเข้าไปนั่งที่ที่นั่งของตนเอง

 

 

พระชายาองค์รัชทายาทเดินไปแล้ว หวังเหลียงตี้และหยวนฉงหวาย่อมต้องเดินตามไป พระชายาจวงอ๋องมองดูถาวจวินหลัน รอยยิ้มยิ่งชัดมากขึ้น “ชายารองถาวแต่งตัวเช่นนี้ จะบอกว่าเป็นชายาเอกก็ดูไม่เกินไปนัก พวกเรากลับเทียบไม่ได้เลย”

 

 

พระชายาอู่อ๋องรับคำต่อไป “พี่สามพูดน่าขันแล้วเจ้าค่ะ ชายารองก็คือชายารอง ไฉนเลยจะข้ามหน้าข้ามตาไปได้เจ้าคะ? คำพูดนี้คนอื่นได้ยินเข้าจะไม่ดีนะเจ้าคะ”

 

 

ทั้งสองคนร่วมมือกันเย้ยหยันถาวจวินหลัน ถาวจวินหลันย่อมได้ยินอย่างชัดเจน ทว่านางกลับไม่หงุดหงิด อมยิ้มพลางพูดกลับไปเรียบๆ “ไม่ใช่อย่างนั้นหรือเจ้าคะ? หากชายาเอกของพวกเรายังอยู่ เกรงว่าได้ยินคำพูดนี้จะต้องไม่พอใจเป็นแน่เจ้าค่ะ” พอพูดจบนางก็ไม่รั้งตัวอยู่ต่อ ตรงเข้าไปยืนอยู่หลังหลี่เย่

 

 

วันนี้คนที่ตามมาคือหงหลัว ถาวจวินหลันถอดผ้าคลุมให้หงหลัวถือเอาไว้ จากนั้นก็นั่งลงตรงตำแหน่งของตนเอง เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่มีใครที่ไม่รู้จักกาลเทศะเข้ามาหาอีก

 

 

แต่ไม่พุ่งเข้ามาก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีคนแอบนินทาอยู่ข้างหลัง แม้ว่าถาวจวินหลันจะไม่ได้เงยหน้า แต่ก็ได้ยินเสียงของพระชายาจวงอ๋องและพระชายาอู่อ๋องที่นั่งอยู่ไม่ไกล แม้จะไม่ได้ยินว่าพูดอะไร แต่นางก็รู้ว่ากำลังพูดถึงนางอยู่ วันนี้นางโดดเด่นมากเกินไป แล้วยังไม่อ่อนข้อให้เหมือนในวันวาน พระชายาจวงอ๋องและพระชายาอู่อ๋องไม่นินทาก็ถือว่าแปลก

 

 

พอใกล้ถึงเวลางาน บรรดาพระสนมที่พอมีหน้ามีตาก็เริ่มเดินทางมาถึง

 

 

ถาวจวินหลันเห็นจวงผินกับอิงผิน แล้วยังมีซูเฟย อี้เฟย อี๋เฟย ท่ามกลางคนเหล่านั้นจวงผินกลับดูโดดเด่นที่สุด ชุดในวังสีฟ้าใส อีกทั้งผ้าคลุมหนังจิ้งจอกสีขาว ให้ความรู้สึกเหมือนเซียนในภาพวาด

 

 

แต่ที่ทำให้ถาวจวินหลันสังเกตมากที่สุดก็คือปิ่นหงส์คู่ที่อยู่บนศีรษะของจวงผิน ปิ่นหงส์เจ็ดหาง แต่มีเพียงแค่ตำแหน่งเฟยเท่านั้นที่สามารถใส่ได้ จวงผินกลับเอามาใส่อย่างออกหน้าเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าตำแหน่งสูงขึ้น หรือไม่ก็ฮ่องเต้ประทานมาให้

 

 

แต่ไม่ว่าเป็นเพราะเหตุใด ก็เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เรื่องแย่

 

 

ถาวจวินหลันคิดถึงคำพูดของถาวซินหลัน จึงได้ยกริมฝีปากขึ้นมาน้อย จวงผินเป็นคนเจ้าแผนการจริงๆ

 

 

ตอนที่กำลังคิดอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงขันทีตะโกนเสียงดังมาจากที่ไกล “ฮ่องเต้เสด็จ” ในตอนนั้นทุกคนต่างก็พากันลุกขึ้นรับเสด็จ

 

 

ถาวจวินหลันสงสัยว่า ทำไมนายทหารของตระกูลหวังถึงไม่มาแม้แต่คนเดียว? หรือว่ากล้าให้ฮ่องเต้มารอ?

 

 

 

 

*เหลียงตี้ คือตำแหน่งชายารองในองค์รัชทายาท