บทที่ 513 ไม่คาดฝัน

บัลลังก์พญาหงส์

ตอนที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ถาวจวินหลันก็เห็นฮ่องเต้เดินเข้ามา ข้างกายฮ่องเต้มีนายทหารอายุน้อยสองสามคนเดินตามมา เกรงว่าคงเป็นนายทหารตระกูลหวังเหล่านั้นใช่หรือไม่?

 

 

ที่นางมองออกภายในครู่เดียว กลับไม่ใช่เพราะว่าเคยเห็นมาก่อน แต่เป็นเพราะคนเหล่านั้นสวมใส่ชุดของทหาร ทำให้คาดเดาฐานะของพวกเขาได้ไม่ยากนัก

 

 

ที่ทำให้นางรู้สึกแปลกใจมากที่สุดคือท่าทีของฮ่องเต้ ฮ่องเต้ในตอนนี้น่าจะไม่ค่อยชอบตระกูลหวังเท่าไรนัก แต่ดูจากตอนนี้แล้วการที่หันหน้าไปพูดคุยหัวเราะกับคนเหล่านั้นหมายความว่าอย่างไร? หรือว่าฮ่องเต้เปลี่ยนใจแล้วอย่างนั้นหรือ?

 

 

พอทำความเคารพเสร็จ ฮ่องเต้ก็สั่งให้ทุกคนนั่งลง ส่วนนายทหารอายุน้อยที่ตามเขาเข้ามานั้นกลับจัดให้นั่งในตำแหน่งที่ใกล้กับฮ่องเต้เป็นอย่างมาก

 

 

จากนั้นฮ่องเต้ก็ยิ้มและโบกมือเรียกกู้ซี “จวงผินมานั่งข้างข้า”

 

 

ถาวจวินหลันเอียงหน้าไปมองหลี่เย่ตามสัญชาตญาณ เห็นท่าทีของหลี่เย่เป็นปกติ ก็สบายใจ สถานการณ์เช่นนี้นางไม่คิดว่าหลี่เย่จะรู้สึกสบายใจจริงๆ สตรีที่เกือบได้เป็นชายารองของตน ตอนนี้กลับนั่งอยู่ข้างพ่อของตนเอง จะคิดอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องปกติ

 

 

นางยังจำท่าทางตอนที่หลี่เย่รู้ว่ากู้ซีกลายเป็นพระสนมได้ จึงเข้าใจความรู้สึกของหลี่เย่ และยิ่งต้องเป็นกังวลมากขึ้นเช่นเดียวกัน หากหลี่เย่แสดงท่าทีผิดปกติออกมาสักเล็กน้อย เกรงว่าฮ่องเต้คงไม่สบายใจเป็นแน่

 

 

หากเกิดเรื่องเช่นนั้น ไม่ต้องพูดถึงหลี่เย่ แม้แต่กู้ซีเองก็ไม่มีประโยชน์เช่นนั้น ดังนั้นไม่ว่าจะปล่อยวางได้แล้ว หรือว่าอดกลั้นเอาไว้ หลี่เย่ก็ไม่สามารถแสดงท่าทีผิดปกติได้

 

 

กู้ซีถูกฮ่องเต้เชื้อเชิญเช่นนี้ย่อมต้องกลายเป็นจุดสนใจแน่นอน หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง กู้ซีก็ลุกขึ้น ยิ้มพูดว่า “ขอบพระทัยฮ่องเต้ที่เชื่อใจเพคะ หม่อมฉันยินยอมปรนนิบัติฮ่องเต้” พอพูดจบก็ค่อยๆ เดินไปทางพระราชอาสน์ของฮ่องเต้

 

 

พระราชอาสน์ของฮ่องเต้นั้นกว้างขวางเป็นอย่างมาก ถ้าบอกว่าเป็นเก้าอี้ ไม่สู้บอกว่าเป็นตั่งเล็กยังจะเหมาะสมกว่า ฮ่องเต้ประทับอยู่ตรงกลาง ฝั่งซ้ายขวานั่งเพิ่มฝั่งละคนก็ยังเหลือเฟือ

 

 

กู้ซีกลับนั่งตรงฝั่งขวาของฮ่องเต้อย่างรู้งาน ด้านซ้ายนั้นเป็นตำแหน่งของฮองเฮา หากนางนั่ง คนอื่นคงเอาไปพูดติฉินนินทาอีกมิใช่หรือ?

 

 

ฮ่องเต้ดูพอใจกับท่าทีของกู้ซีเป็นอย่างมาก แล้วยังจับมือของกู้ซีพลางชี้ไปยังนายทหารอายุน้อยเหล่านั้นแล้วพูดว่า “เจ้าดู นี่เป็นนายทหารที่ครั้งนี้สร้างผลงานใหญ่กลับมา นี่ถือเป็นเสาหลักของราชสำนัก เจ้าดู พวกเขาถือว่าอายุน้อยมากความสามารถหรือไม่?”

 

 

กู้ซีเหลือบมองเพียงทีเดียวก็ถอนสายตากลับมา จากนั้นก็หัวเราะและพูดว่า “หม่อมฉันไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้เพคะ แต่หม่อมฉันคิดว่านายทหารเหล่านี้นำชัยชนะกลับมาได้ ก็ถือเป็นผลงานของนายทหารเหล่านั้น แต่ที่สำคัญที่สุดก็เพราะว่าฮ่องเต้รู้จักใช้คนเพคะ พูดไปแล้วหม่อมฉันยิ่งรู้สึกเลื่อมใสพระปรีชาของฮ่องเต้เพคะ”

 

 

คำพูดนี้ของกู้ซีเป็นการเยินยอสรรเชิญฮ่องเต้อย่างแท้จริง แต่หากออกมาจากปากคนอื่นก็คือการเยินยอ แต่พอออกมาจากปากของกู้ซีกลับดูเหมือนเคารพจากใจจริง โดยเฉพาะท่าทีการกระทำของกู้ซี

 

 

พอเห็นฮ่องเต้อารมณ์ดีหัวเราะลั่น ถาวจวินหลันก็เข้าใจทันทีว่าทำไมกู้ซีถึงได้รับความโปรดปรานเร็วขนาดนี้

 

 

ฮ่องเต้หัวเราะเช่นนี้ย่อมต้องมีคนพากันพูดเยินยออีกมาก เพียงไม่นาน บรรยากาศก็เริ่มครึกครื้น

 

 

ขณะที่ทักทายกัน นางกำนัลก็เริ่มทยอยเข้ามา นำอาหารเลิศรสหายากขึ้นโต๊ะ

 

 

ถาวจวินหลันเห็นว่าเหล้าที่ส่งมานั้นมีสีแดงอ่อน ก็รู้สึกตกใจเล็กน้อย “สุราชาด?”

 

 

หลี่เย่พยักหน้าน้อย ยิ้มและพูดว่า “วันนี้ลาภปากแล้ว”

 

 

สุราชาดนั้นผลิตน้อยมาก ดังนั้นต่อให้ภายในวังหลวงก็ไม่ได้มีเก็บเอาไว้มากนัก วันนี้ฮ่องเต้ให้นำเหล้าชนิดนี้ขึ้นโต๊ะ เห็นได้ชัดว่าให้ความสำคัญและมีความสุขมาก

 

 

ถาวจวินหลันเหลือบมองนายทหารตระกูลหวังทีหนึ่ง เห็นว่าทั้งสามคนนั้นอมยิ้มเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย ก็รู้ว่าทั้งสามคนอารมณ์ดี ก็ถูก ได้รับความสำคัญจากฮ่องเต้นั้นก็เป็นสิ่งที่มากพอให้หยิ่งทะนงแล้ว

 

 

เหล้าและอาหารถูกนำขึ้นโต๊ะ นายทหารตระกูลหวังที่อายุมากสุดก็ยกแก้วขึ้นมาชูไปทางฮ่องเต้เพื่อแสดงความเคารพ หัวเราะพลางพูดเสียงดัง “กระหม่อมขอเคารพฮ่องเต้จอกหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

ฮ่องเต้ยิ้มพลางยกแก้วเหล้าขึ้นมา “ควรเป็นข้าที่ต้องเคารพเจ้าแก้วหนึ่งถึงจะถูก พวกเจ้าสร้างผลงาน เสียหยาดเหงื่อเพื่อความสงบของแคว้นเรา ควรดื่มแก้วนี้ให้หมดถึงจะถูก!”

 

 

พูดจบฮ่องเต้ก็ดื่มหมดภายในทีเดียว ในเมื่อฮ่องเต้ดื่มรวดเดียวหมด คนอื่นย่อมไม่อาจเพียงแค่มองอย่างเดียวเท่านั้น ดังนั้นจึงพากันยกแก้วเหล้าขึ้นมา

 

 

ถาวจวินหลันก็จิบไปอึกหนึ่งเช่นกัน สุราชาดนั้นเป็นเหล้าชั้นดีของจริง กลิ่นหอมกรุ่นเข้มข้นเข้าปากไปแล้วก็ยังทิ้งรสเอาไว้นาน แต่กลับไม่เผ็ดร้อนจนเกินไป เหมาะกับผู้หญิงดื่ม

 

 

หลี่เย่ดื่มไปแก้วหนึ่ง จากนั้นก็อมยิ้มลุกขึ้นชูแก้วให้กับตระกูลหวังทั้งสามคน “นายทหารทั้งหลายกล้าหาญนัก ข้าเลื่อมใสเป็นอย่างมาก ขอดื่มให้พวกท่านหนึ่งจอก แสดงถึงความจริงใจของข้า”

 

 

คนตระกูลหวังทั้งสามคนก็ยกเหล้าขึ้นดื่มเช่นเดียวกัน

 

 

จากนั้นจวงอ๋องและอู่อ๋องต่างก็พากันชูแก้วแสดงความเคารพ คนตระกูลหวังทั้งสามคนนั้นก็พากันดื่ม ท่าทีดูตรงไปตรงมา ฮึกเหิมยิ่งนัก และบรรยากาศก็มีความสุขเป็นอย่างมาก แต่เพียงแค่ช่วงเวลานี้เท่านั้น พอไม่มีใครลุกขึ้นชนแก้วอีกแล้ว นายทหารตระกูลหวังที่อายุมากที่สุดก็ยิ้มพลางเอ่ยปากถามฮ่องเต้ “พูดไปแล้ว กระหม่อมยังมีเรื่องสงสัยอยู่เล็กน้อยพ่ะย่ะค่ะ ทำไมวันนี้ไม่เห็นฮองเฮาและองค์รัชทายาทเลยพ่ะย่ะค่ะ?”

 

 

รอยยิ้มของฮองเต้กระตุกไป ไม่ได้ตอบออกมาทันที กลับเป็นกู้ซีที่เปิดปากพูดแทน “องค์รัชทายาทเห็นอกเห็นใจประชาชน ออกจากวังหลวงไปสังเกตการณ์ ไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง ส่วนฮองเฮาเหนียงเหนียงไปสวดมนต์ที่วัด ขอให้ไทเฮาหายจากอาการประชวรหนัก จึงไม่อยู่ภายในวังหลวง พูดแล้วก็น่าเสียดายยิ่งนัก คิดว่าเหนียงเหนียงเองก็คงอยากพบพวกท่านเหมือนกัน แต่เพราะไม่สบโอกาสเกรงว่าจะต้องรอวันอื่นแล้ว”

 

 

คำพูดนี้ของกู้ซีกลับพูดอย่างระมัดระวังรอบคอบ ไม่ปล่อยให้เรื่องภายในรั่วไหลแม้แต่น้อย ต่อหน้านั้นก็สมเหตุสมผล อย่างน้อยก็ทำให้ตระกูลหวังไม่สามารถขุดคุ้ยหาเรื่องอะไรได้

 

 

อี๋เฟยก็หัวเราะพลางพูดว่า “ฮองเฮาเหนียงเหนียงมีใจกตัญญูขนาดนี้ เป็นแบบอย่างที่ดี องค์รัชทายาทเองก็น่านับถือ ร่างกายของตนเองก็ไม่ค่อยดีแล้วยังออกจากวังหลวงไปพร้อมกับอาการป่วย เห็นได้ชัดว่าองค์รัชทายาทคำนึงถึงประชาชนยิ่งนัก”

 

 

ถาวจวินหลันได้ยินแล้วก็แทบจะหลุดหัวเราะออกมา ทำไมองค์รัชทายาทถึงออกจากวังหลวง เกรงว่าทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ต่างรู้อยู่แก่ใจ อี๋เฟยพูดเช่นนี้ไม่กลัวฮ่องเต้ตะขิดตะขวงใจเลยแม้แต่น้อย

 

 

รอยยิ้มบนใบหน้าของฮ่องเต้หายไปหลายส่วนอย่างที่คาเอาไว้

 

 

หลี่เย่เองก็ยิ้มและเอ่ยปากพูด “ได้ยินว่าครั้งนี้นำของบรรณาการล้ำค่ามาไม่น้อย ไม่สู้เสด็จพ่อให้คนนำมาให้พวกเราเห็นเป็นบุญตา ดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”

 

 

ฮ่องเต้ย่อมไม่อาจพูดปฏิเสธ จึงหัวเราะพลางสะบัดมือ “เป่าฉวน ให้คนไปยกมาเถิด!”

 

 

เมือเป็นเช่นนี้ย่อมไม่มีคนพูดถึงฮองเฮาและองค์รัชทายาทอีก แต่บรรยากาศกลับไม่ได้ครึกครื้น มีความสุขเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว

 

 

พอขันทีก็ยกของออกมา หนึ่งในนั้นมีต้นง้วนภูขนาดเท่าตัวคน มีอัญมณีขนาดเท่ากำปั้นคน และมีสมุนไพรล้ำค่าจำพวกนอแรด เขาวัวเป็นต้น แต่จะบอกว่าหายากนั้นก็ไม่ได้หายากเท่าไรนัก อย่างไรในวังหลวงก็หาอัญมณีด้

 

 

ถาวจวินหลันดูแล้วกลับไม่ได้สนใจ จึงจับแก้วเหล้าเล่น พลางพูดชื่นชมตามน้ำไป

 

 

หลี่เย่จับมือของถาวจวินหลัน หัวเราะเสียงเบา พูดว่า “มีอะไรที่ชอบบ้างหรือไม่? หากมีข้าจะไปขอมาให้เจ้า”

 

 

ถาวจวินหลันส่ายหัวเล็กน้อย “ช่างเถิดเพคะ ของไม่ดีเท่าของภายในห้องเก็บของของพวกเรา”

 

 

หลี่เย่ได้ยินเช่นนั้นก็อดเลิกคิ้วไม่ได้ เขารู้สึกพึงพอใจ คำพูดนี้ของถาวจวินหลันคิดว่าคงเป็นการเอ่ยชื่นชมเขาทางอ้อมใช่หรือไม่?

 

 

ทั้งสองคนพูดคุยกันเบาๆ อยู่ครู่หนึ่ง แต่กลับได้ยินเสียงกระดิ่งเสียงหนึ่งอย่างไม่ทันตั้งตัว จึงถูกดึงดูดความสนใจไปทันที

 

 

ถาวจวินหลันเงยหน้าขึ้นไปมอง ทันใดนั้นก็ตกใจจนไม่สามารถถอนสายตาออกไปได้ ครั้งนี้ไม่ใช่ของแปลกล้ำค่าอะไร แต่เป็นคน คนที่มีชีวิต สตรีกลุ่มหนึ่งที่ปิดเพียงแค่หน้าอกและบั้นท้ายเท่านั้น

 

 

มองดูสีผิว สีผมและสีของลูกตาแล้วก็รู้ทันทีว่ากลุ่มสตรีกลุ่มนี้ไม่ใช่คนตระกูลฮั่น และไม่ใช่สถานที่ใดที่นางรู้จักสักทีหนึ่ง

 

 

ผมทองตาฟ้า ผิวขาวดั่งหิมะ จมูกโด่งสูง ไม่เหมือนกับพวกนางแม้แต่น้อย แม้แต่ส่วนสูงก็ไม่เหมือนกัน สตรีพวกนี้สูงเป็นอย่างมาก แทบจะไม่ต่างจากผู้ชาย ดั้งจมูกก็สูงเป็นพิเศษ ดวงตาก็ลึกมาก

 

 

มองเพียงแวบแรกก็ชวนให้แปลกใจยิ่งนัก แต่พอมองอีกครั้งกลับไม่ดีรู้สึกน่าเกลียด กลับดูดีด้วยซ้ำไป ถือว่าเป็นความสวยงามอีกแบบหนึ่ง

 

 

บริเวณเอวที่เปิดเปลือยไม่มีอะไรปิดบังเอาไว้ของผู้หญิงเหล่านี้ยังมีกระดิ่งทองพันรอบ บริเวณข้อมือและข้อเท้านั้นก็พันเอาไว้เยอะเช่นกัน ไม่แปลกที่เวลาเดินไปมาจะเกิดเสียงกระทบกรุ๊งกริ๊ง

 

 

เห็นถาวจวินหลันแปลกใจ หลี่เย่ก็อธิบายเสียงเบา “ผู้หญิงเหล่านี้เป็นคนเปอร์เซีย แถบนั้นหน้าตาไม่เหมือนพวกเราเลยแม้แต่น้อย พวกนางน่าจะเป็นนางระบำ”

 

 

ถาวจวินหลันถอนสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยกลับไป พยักหน้าไม่จ้องเขม็งมองอีก ไม่ว่าอย่างไร การที่จ้องคนเช่นนี้ก็เสียมารยาท

 

 

แน่นอนว่านางไม่มองไม่ได้แปลว่าคนอื่นจะไม่มอง มีคนจำนวนไม่น้อยที่ส่งเสียงตกใจอย่างควบคุมไม่ได้ และยังมีคนที่หันไปพูดคุยกระซิบกระซาบกับคนข้างๆ

 

 

ฮ่องเต้เห็นเช่นนั้น ก็หัวเราะและพูดออกมา “คนพวกนี้ล้วนเป็นนางระบำที่ซื้อมาจากเปอร์เซีย เป็นของบรรณาการเช่นกัน”

 

 

นายทหารตระกูลหวังพูดต่อ “นางระบำเหล่านี้ไม่ใช่ว่าจะใช้เงินแล้วซื้อมาได้ จากที่ได้ยินมา นางระบำคนหนึ่งจะต้องใช้ทองคำที่มีน้ำหนักเท่ากับตัวนางถึงจะแลกได้ ของบรรณาการคราวนี้กลับได้มาสี่คน”

 

 

เมื่อคำพูดนี้ดังออกไป ทันใดนั้นรอบข้างก็เกิดเสียงสูดหายใจลึก ทองคำที่เท่ากับน้ำหนักตัว นั่นถือเป็นราคาสวรรค์ เพียงแค่สตรีไม่กี่คนเท่านั้น ไฉนเลยจะมีค่ามากมายถึงเพียงนั้น?

 

 

แต่ความคิดเช่นนี้ก็หายไป เมื่อนางระบำทั้งสี่คนระบำจบไปแล้ว

 

 

หลังจากถาวจวินหลันดูแล้ว ก็คิดคำบรรยายออกมาได้สี่คำเท่านั้น ‘ของดีใต้หล้า’ ถือว่าเป็นของดีจริงๆ แค่ยกมือ ยกเท้าก็เต็มเปี่ยมด้วยเสน่ห์ชวนให้จักจี้หัวใจ

 

 

แม้กระทั่งผู้หญิงบางคนยังต้องหลบสายตา ไม่กล้าจ้องมอง

 

 

ถาวจวินหลันอดคิดไม่ได้ ผู้หญิงสี่คนนี้ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วโชคชะตาจะนำพาไปที่ใด? หากถูกเก็บไว้เป็นนางระบำก็ดูเป็นไปไม่ได้ แต่หากถูกฮ่องเต้เรียกไป ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้ แต่เพียงแค่…

 

 

ตอนที่กำลังคิดอยู่นั้นก็เห็นฮ่องเต้ยิ้มและพูดว่า “นางระบำสี่คนให้ตวนชินอ๋อง จวงอ๋อง อู่อ๋อง และเจ้าเจ็ดเอากลับไปอย่างละคน”

 

 

ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็ตะลึงงันไป ฮ่องเต้ให้พวกเขาเอาคนกลับไป ย่อมไม่ใช่ให้พวกเขาดูระบำอย่างเดียวเป็นแน่ พูดง่ายๆ ก็คือมอบสาวงามให้เป็นอนุภรรยา

 

 

นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าในงานสมโภชจะมีเรื่องเช่นนี้

 

 

พอได้สติแล้วนางก็หันไปมองหลี่เย่ทันที พูดตามจริงนางไม่ค่อยเข้าใจว่าฮ่องเต้คิดจะทำอะไร อีกทั้งนี่ถือเป็นงานสมโภชฉลองต้อนรับและปัดเป่าเภทภัย จะประทานรางวัลก็ควรประทานให้คนตระกูลหวังมิใช่หรือ? ทำไมถึงได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับหลี่เย่เล่า?