บทที่ 514 เลือดเย็น

บัลลังก์พญาหงส์

ท่าทีของหลี่เย่ไม่เปลี่ยน แต่ถาวจวินหลันกลับสังเกตเห็นหมัดของเขาที่กำแน่น เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ของหลี่เย่ในตอนนี้ไม่ได้สงบ

 

 

ฮ่องเต้ยิ้มน้อยๆ มองหลี่เย่ กลับมีท่าทีมีเมตตาเป็นอย่างมาก หากมองเช่นนี้ก็เหมือนกับพ่อมีเมตตาคนหนึ่ง อยากเอาของดีให้กับลูกชายของตนเองอย่างไรอย่างนั้น

 

 

หลี่เย่ลุกขึ้น หัวเราะและพูดว่า “ขอบพระทัยน้ำใจของเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ แต่ลูกกลับไม่มีโชคได้เพลิดเพลิน ลูกไม่ชอบผู้หญิงประเภทนี้พ่ะย่ะค่ะ รู้สึกว่าแปลกเกินไป หากเสด็จพ่ออยากประทานให้ลูกจริง ลูกขอเป็นต้นง้วนภูแทนดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ท่ามกลางของบรรณาการมากมาย ถาวจวินหลันคิดว่าต้นง้วนภูเป็นของหายากอยู่เล็กน้อย อย่างไรสีใสบริสุทธิ์ และยังสูงเพียงนั้น ลักษณะรูปร่างก็ถือว่าไม่เลว ถือว่าหาได้ยากยิ่ง

 

 

ฮ่องเต้นิ่งอึ้งไป จากนั้นก็หัวเราะเสียงดัง “ตาเจ้ามีแววมากนัก แต่ในเมื่อเจ้าไม่ชอบก็เปลี่ยนเป็นต้นง้วนภูเถิด”

 

 

หลี่เย่ยิ้มมองฮ่องเต้และเอ่ยขอบพระทัย “ขอบพระทัยเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ถาวจวินหลันถอนหายใจเบาๆ และรู้สึกว่าตนเองคิดมากไป แต่ในใจก็ยิ่งรู้สึกมีความสุขมากขึ้น หลี่เย่เอ่ยปฏิเสธเอง นางจะไม่ดีใจได้อย่างไร? อย่างไรแล้วนางก็ไม่อยากให้จวนมีคนใหม่เข้ามาอีก

 

 

“เสด็จพ่อไม่อาจลำเอียงนะพ่ะย่ะค่ะ ลูกเองก็อยากแลกนางระบำแลกกับของล้ำค่าเช่นเดียวกันพ่ะย่ะค่ะ” หลังจากสิ้นเสียงของหลี่เย่ องค์ชายเจ็ดก็รีบลุกขึ้นพูดอย่างทนไม่ไหว

 

 

ฮ่องเต้เลิกคิ้ว “อย่างนั้นหรือ? เจ้าเจ็ดก็ไม่ชอบนางระบำอย่างนั้นหรือ?”

 

 

องค์ชายเจ็ดเบะปากเล็กน้อย “นางระบำมีอะไรดีพ่ะย่ะค่ะ ไม่ใช่แบบเดียวกันอย่างนั้นหรือ? ไม่สู้ขออาวุธชั้นดีอย่างหนึ่ง ชุดเกราะที่พี่รองสวมใส่ครั้งที่แล้วสวยมาก และดูทรงอำนาจมาก! น่าอิจฉาเหลือเกินพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

พูดถึงเรื่องที่หลี่เย่ออกรบคราวนั้น ฮ่องเต้ก็มีท่าทีหวนคำนึง “ชุดเกราะของพี่รองเจ้าเป็นชุดที่เสด็จปู่ของเจ้าเคยสวมใส่มาก่อน ตอนนั้นเสด็จปู่ของเจ้าพูดอยู่เสมอว่าพี่รองของเจ้าเหมือนเขามากที่สุด แต่ไม่เพียงเท่านั้นหรอก ตอนนั้นมีเพียงพี่รองของเจ้าเท่านั้นที่ดื้อรั้นจะไป แล้วก็ไม่แพ้ให้คนอื่น ทำให้ตระกูลหลี่ของพวกเราได้หน้ากลับมาอีกครั้ง เจ้าเรียนจากพี่รองของเจ้าให้มาก ถือว่าเป็นเรื่องดี นานๆ ทีเจ้าจะพัฒนาได้เท่านี้ บอกมาซี เจ้าอยากได้อะไร? พ่อจะต้องให้เจ้าสมใจเป็นแน่”

 

 

องค์ชายเจ็ดก็ได้รับความรัก และความเอ็นดูมาตั้งแต่เด็ก ท่าทีของฮ่องเต้จึงอบอุ่นและเอ็นดูอยู่หลายส่วน

 

 

“ลูกอยากได้กระบี่พิธีสองเล่มในห้องเก็บของของเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ” องค์ชายเจ็ดแสดงท่าทีละโมบ “ไม่อย่างนั้นคันศรเอ็นกวางก็ดีเหมือนกัน แล้วยังมีดคุนอู๋ก็ดีพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

หลี่เย่ก็หัวเราะเบาๆ “น้องเจ็ดตามีแววมากกว่าหม่อมฉันเสียอีกพ่ะย่ะค่ะ ของที่ชอบใจนั้นล้วนเป็นของดี”

 

 

ฮ่องเต้หัวเราะลั่น แต่กลับโบกมือไปมา “ในเมื่อเจ้าเจ็ดชอบ ข้าก็จะมอบให้เจ้า! หวังว่าเจ้าจะรอบรู้ปราดเปรียวทั้งบู๊บุ๋น ในอนาคตช่วยข้ารบปราบศัตรู แสดงศักดาอำนาจของพวกเราออกไปถึงจะดี!”

 

 

องค์ชายเจ็ดดีใจมากเพราะผลลัพธ์เกินความคาดหมาย รีบเอ่ยขอบพระทัยทันที พูดว่า “ความหวังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของลูกในชีวิตนี้ คือได้เป็นแม่ทัพนำทัพที่น่าเกรงขาม! ช่วยเสด็จพ่อปราบศัตรูทุกทิศทาง!”

 

 

ถาวจวินหลันลอบถอนหายใจ รู้ดีแก่ใจว่าองค์ชายเจ็ดกำลังแสดงเจตนาของตนเอง ว่าเขาไม่คิดจะแย่งราชบัลลังก์ ความต้องการของเขาอยู่ที่เรื่องอื่น เด็กน้อยในตอนนั้นโตขึ้นแล้ว รู้จักใช้วิธีนี้มาเป็นข้ออ้าง

 

 

อี้เฟยย่อมผิดหวัง เกรงว่านางคงคาดหวังว่าองค์ชายเจ็ดจะแย่งชิงกับพี่ชายของตนได้บ้าง แต่น่าเสียดาย คำพูดขององค์ชายเจ็ดทำลายความหวังของนางแล้ว

 

 

คิดว่าฮ่องเต้คงต้องยินดีใช่หรือไม่? ไม่โลภอำนาจในมือของเขา ไม่คิดสนใจแย่งตำแหน่งของเขาที่เป็นพ่อ มีลูกชายเช่นนี้จะไม่ยินดีได้อย่างไรเล่า?

 

 

กู้ซีหัวเราะพูดว่า “ฮ่องเต้ลืมองค์รัชทายาทไปแล้วเพคะ องค์รัชทายาทอยู่ด้านนอกลำบากลำเข็ญ มีของดีทำไมฮ่องเต้ถึงจำไม่ได้เล่าเพคะ? หม่อมฉันคิดว่า ในเมื่อตวนชินอ๋องและองค์ชายเจ็ดไม่ชอบนางระบำ ไม่สู้ส่งไปให้องค์รัชทายาทพร้อมกันเลยเถิดเพคะ”

 

 

สีหน้าของพระชายาองค์รัชทายาทพลันเปลี่ยนไปทันที แม้แต่นายทหารตระกูลหวังก็เช่นเดียวกัน องค์รัชทายาทมีฐานะเช่นใด? จะใช้ผู้หญิงที่คนอื่นไม่เอาได้อย่างไร? นี่ไม่ใช่ลบหลู่กันอย่างนั้นหรือ?

 

 

พระชายาองค์รัชทายาทรีบลุกขึ้น ยิ้มและพูดว่า “จวงผินต้องเป็นห่วงองค์รัชทายาทแล้วเพคะ หม่อมฉันขอขอบพระทัยท่านแทนองค์รัชทายาท แต่องค์รัชทายาทได้ตัดสินใจตั้งใจศึกษากิจการของแคว้น มีใจเพื่อประชาชน ไม่สามารถเอาสมาธิมาวุ่นวายกับเรื่องสตรี ดังนั้นหม่อมฉันก็รู้สึกว่าไม่เหมาะสม ไม่สู้ว่าฮ่องเต้ประทานของอย่างอื่นให้เถิดเพคะ”

 

 

คำพูดของพระชายาองค์รัชทายาทนั้นน่าฟัง อย่างน้อยก็ไม่ไร้มารยาท

 

 

ถาวจวินหลันยิ้มเล็กน้อย เอ่ยปากพูดเช่นกัน “พระชายาองค์รัชทายาท หม่อมฉันกลับไม่เห็นด้วยเพคะ องค์รัชทายาทขยันหมั่นเพียรมาโดยตลอด ไฉนเลยจะกังวลใจเพียงเพราะเรื่องกามารมณ์เพคะ? องค์รัชทายาทมุ่งมั่นตั้งใจ ต้องไม่เป็นเช่นนั้นแน่นอนเพคะ พระชายาองค์รัชทายาทวางใจได้ อีกอย่างนางระบำเหล่านี้ก็เพียงแค่มอบความสุขให้ยามเหน็ดเหนื่อยเท่านั้นเองเพคะ จุดประสงค์มีไว้เพื่อทำให้ใจฮึกเหิมเท่านั้น คิดว่าจวงผินเหนียงเหนียงคงตั้งใจบอกเช่นนี้”

 

 

ทุกคนรู้ดีอยู่แก่ใจ ว่าแท้จริงแล้วนางระบำถือเป็นอะไร ต่อหน้าแล้วนางระบำก็แค่ระบำมอบความสุขให้ยามเหน็ดเหนื่อยเท่านั้นเอง

 

 

กู้ซีมองไปยังถาวจวินหลันทีหนึ่ง ยิ้มอย่างเอียงอาย “เป็นเช่นนั้น ข้าคิดเช่นนั้น แม้แต่ฮ่องเต้เองบางทีก็ชอบดูร้องรำระบำระหว่างเสวยสำรับเพื่อความจรรโลงใจมิใช่หรือ?”

 

 

ฮ่องเต้ตบบ่าของกู้ซี พูดว่า “สนมที่รักพูดถูกยิ่งนัก พระชายาองค์รัชทายาทคิดมากไปเสียแล้ว นางระบำสองคนนี้เจ้าเอากลับไปจัดการเถิด”

 

 

เมื่อพูดเช่นนี้ย่อมต้องตัดสินแล้วอย่างแน่นอน แม้ว่าพระชายาองค์รัชทายาทจะไม่ยินยอม แต่ก็ทำได้แค่กล้ำกลืนความไม่พอใจและการต่อต้านลงไป แต่สีหน้าไม่ได้น่ามองเหมือนเมื่อครู่นี้แล้ว

 

 

ถาวจวินหลันมองไปทางอี๋เฟยทีหนึ่ง รู้สึกว่าอี๋เฟยดูแปลกๆ จึงลอบหัวเราะเสียงเย็นอยู่ในใจ

 

 

จากนั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก งานจบลงได้ด้วยดี หลังจากฮ่องเต้เสด็จกลับไปแล้ว ทุกคนต่างก็ทยอยกันกลับไป

 

 

ตอนที่พระชายาองค์รัชทายาทจะกลับ ต้องเดินผ่านถาวจวินหลัน ผีเท้าหยุดเล็กน้อยพลางกวาตามองนางอย่างพินิจพิจารณาทีหนึ่ง สุดท้ายแล้วก็พูดว่า “คิดไม่ถึงว่าชายารองถาวจะฝีปากดีเช่นนี้”

 

 

ถาวจวินหลันส่งยิ้มตอบกลับไป “ขอบพระคุณที่ชื่นชมเพคะ นางระบำพวกนั้นท่าทีไม่เลวเลยทีเดียว คิดว่าองค์รัชทายาทน่าจะชอบนะเพคะ”

 

 

ดวงตาของพระชายาองค์รัชทายาทเป็นประกายเฉียบคม แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร หันตัวเดินจากไป

 

 

กลับเป็นหยวนฉงหวาที่ส่งยิ้มให้ถาวจวินหลัน มีความหมายคล้ายชื่นชม

 

 

ถาวจวินหลันเลิกคิ้ว จิบสุราชาดอึกสุดท้าย จากนั้นก็ยิ้มช้าๆ นางจงใจแล้วจะทำไม? พระชายาองค์รัชทายาทไม่พอใจแล้วอย่างไร? นางให้องค์รัชทายาทเก็บผู้หญิงที่หลี่เย่ไม่ต้องการแล้วจะเป็นอย่างไร?

 

 

ตอนนี้หลี่เย่ทักทายคนอื่นเสร็จและเดินกลับมา มาถึงก็จับมือของนางเอาไว้ รู้สึกว่าไม่ได้เย็นเท่าไรถึงได้พอใจ พูดขึ้นว่า “นี่ก็ไม่เช้าแล้ว พวกเรากลับจวนกันเถิด”

 

 

ถาวจวินหลันพยักหน้ารับคำ ให้หงหลัวนำผ้าคลุมของทั้งสองคนมา ยิ้มพลางส่งผ้าคลุมของหลี่เย่และสวมให้เขา จากนั้นก็สวมให้ตนเอง ทั้งสองคนถึงได้ขอตัวจากไป

 

 

เหมือนกับตอนขามา หลี่เย่ยังคงกุมมือของถาวจวินหลันเอาไว้ ทั้งสองคนเดินเคียงกันไป

 

 

“เจ้าแอบเอาดอกเหมยเดือนสองมาด้วยอย่างนั้นหรือ?” หลี่เย่ยิ้มถาม “ได้กลิ่นหอมกรุ่นตลอดทั้งคืนเลย”

 

 

“เพคะ ในแขนเสื้อมีถุงหอมผูกอยู่ ข้างในนั้นมีดอกเหมยเดือนสองที่เพิ่งบาน” ถาวจวินหลันยิ้มพลางตอบกลับมา “ทำเช่นนั้นทั้งไม่เด่นและยังหอมอีกด้วย เป็นวิธีที่ข้าเพิ่งเรียนรู้มา”

 

 

ทั้งสองคนพูดเรื่องเรื่อยเปื่อยไปตลอดทาง จึงเริ่มสบายอกสบายใจ

 

 

หลังจากขึ้นรถม้าแล้ว อาจด้วยดื่มสุรามา ถาวจวินหลันถึงได้ง่วงงุนอยากหลับ ดังนั้นจึงเอนตัวพิงไหล่ของหลี่เย่ ปิดตานอนหลับ

 

 

หลี่เย่จึงเอื้อมมือไปโอบนางเอาไว้ พลางนั่งพิงหมอนนิ่มพักผ่อน กลิ่นหอมบนร่างของถาวจวินหลันไม่ใช่แค่กลิ่นของดอกเหมยเดือนสอง ยังเป็นกลิ่นหอมของแป้งชาด แป้งทาหน้า และน้ำมันหอมอีกด้วย กลิ่นทั้งหลายรวมกันกลับหอมอย่างน่าแปลก ชวนให้รู้สึกสงบสุข

 

 

พอปิดตาลง หลี่เย่กลับคิดถึงท่าทีของฮ่องเต้ที่บอกว่าจะยกนางระบำให้ตนเอง

 

 

ในใจของเขารู้ดีว่าที่เกิดเรื่องเช่นนี้ ก็ด้วยมีกู้ซีเป็นต้นเหตุ ฮ่องเต้คงอยากชดเชยให้เขา แต่การชดเชยเช่นนี้ ไม่ต้องเอาก็ได้เช่นกัน อีกทั้งจะสามารถชดเชยกลับมาได้อย่างไร?

 

 

พูดตามจริงแล้วทุกครั้งที่เขาเห็นฮ่องเต้ปฏิบัติกับกู้ซีเช่นนั้น ในใจก็อดคิดรังเกียจไม่ได้ โดยเฉพาะมองเห็นสายตาเช่นนั้นของฮ่องเต้ เหมือนมองผ่านทะลุกู้ซีไปเห็นอีกคนหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น ทุกครั้งที่เห็นสายตาเช่นนั้น เขาก็รู้สึกหงุดหงิดไม่ชอบใจมาก

 

 

เขารู้ว่าแท้จริงแล้วฮ่องเต้มองเห็นใครผ่านกู้ซี นั่นคือกู้กุ้ยเฟย เสด็จแม่ของเขา ต้องยอมรับว่าคิ้วและดวงตาของกู้ซีเหมือนกับเสด็จแม่ของเขามาก โดยเฉพาะท่าทีอ่อนแอขี้โรค ยิ่งเหมือนกับเสด็จแม่ของเขาตอนใกล้จะลาโลกนี้ไปอย่างน่าตกใจ

 

 

พูดตามจริงแล้ว เขาไม่คิดว่านี่เป็นการใส่ใจและคิดถึงเสด็จแม่ของตน แต่กลับคิดว่า…นี่เป็นการดูหมิ่นอย่างหนึ่ง กู้ซีจะมาแทนที่เสด็จแม่ของตนได้อย่างไร? เอามาเทียบกันได้อย่างไร?

 

 

แต่ความรู้สึกเหล่านี้กลับทำได้แค่เพียงกดเอาไว้ส่วนลึกของใจ ไม่สามารถแสดงออกได้แม้แต่น้อย เขาจึงอึดอัดเป็นอย่างมาก

 

 

เขาย่อมไม่รู้ว่าตอนที่เขาคิดถึงเรื่องเหล่านี้ นิ้วมือก็กำเข้าหากันแน่นอย่างไม่รู้ตัว แม้แต่ลมหายใจก็กระชั้นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

 

 

ถาวจวินหลันจับมือของหลี่เย่เอาไว้เบาๆ พูดว่า “หากลำบากใจ ก็พูดกับข้าเถิด เก็บเอาไว้เช่นนี้ อึดอัดแล้วจะทำอย่างไรเล่า?”

 

 

หลี่เย่ตะลึง ลืมตาอย่างตื่นตกใจ เห็นสายตาเป็นห่วงของถาวจวินหลันที่ทอดมองมา ในตอนนั้นก็รู้สึกอบอุ่นหัวใจ ยกริมฝีปากยิ้มและพูดว่า “แค่เพียงชั่วคราวเท่านั้น” วันนี้ฮ่องเต้เป็นเช่นนี้ ที่จริงแล้วก็เป็นการทำให้เขาดู หรือว่าจงใจจะทดสอบเขาอย่างนั้นหรือ?

 

 

“จะต้องผ่านไปได้เพคะ” ถาวจวินหลันเองก็หัวเราะเช่นกัน พูดออกมาอย่างจริงจัง “ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็จะอยู่ข้างท่าน” พูดจบก็นั่งตัวตรงอีกครั้ง จับเอาศีรษะของหลี่เย่มาพิงไหล่ของตนเองเอาไว้ “ลำบากใจก็พิงมาเถิดเพคะ”

 

 

หลี่เย่ไม่ได้ขยับอีก แล้วยังหลับตาลงอีกครั้ง ครั้งนี้เขารู้สึกว่าค่อยๆ สงบลงอย่างแท้จริง

 

 

ถาวจวินหลันกลับลืมตาขึ้น มองดูลวดลายบนม่าน ในใจนั้นลอบถอนหายใจ แม้ว่าในตอนนั้นจะไม่เข้าใจ แต่พอครุ่นคิดมาตลอดทั้งคืน นางก็เริ่มคาดเดาความคิดของฮ่องเต้ในวันนี้บ้างแล้ว

 

 

ฮ่องเต้ใกล้ชิดสนิทสนมกับกู้ซีต่อหน้าผู้คนมากมาย และยิ่งแสดงความโปรดปรานออกมา ไม่เพียงแค่ทดสอบหลี่เย่เท่านั้น ยิ่งเป็นการทดสอบกู้ซีอีกด้วย อย่างไรทั้งสองคนนี้ก็เกือบได้เป็นสามีภรรยากัน เกรงว่าฮ่องเต้คงคิดมากเรื่องนี้ ดังนั้นจึงตั้งใจทดสอบท่าทีของทั้งสองคน ดีที่ทั้งสองคนนั้นไม่ได้แสดงท่าทีผิดปกติออกมา มิเช่นนั้นเกรงว่าใจของฮ่องเต้คงจะต้องสงสัยมากกว่านี้อย่างแน่นอน?

 

 

แต่ยิ่งคิดลึกลงไป นางก็ยิ่งรู้สึกเย็นเยียบ ในใจของฮ่องเต้ถือว่าความสัมพันธ์พ่อลูกเป็นอย่างไรกัน?