บทที่ 515 ตั้งใจ

บัลลังก์พญาหงส์

ตระกูลหวังสร้างผลงานครั้งใหญ่สามารถเทียบได้กับแล้งนานพบฝนฉ่ำ กลับมามีชีวิตใหม่ในทันใด ทำให้บรรยากาศที่ค่อนข้างมืดครึ้มในตอนนี้เริ่มมีชีวิตชีวา 

 

 

           สิ่งแรกที่ตระกูลหวังทำคือทำให้ฮองเฮากลับเข้ามาในวังหลวง 

 

 

           ฮ่องเต้ย่อมไม่ยินยอม แต่จะไม่ตามใจตระกูลหวังก็ไม่ได้ สุดท้ายแล้วก็ยังต้องกดความโกรธของตนลงไปเรียกให้ฮองเฮากลับมา 

 

 

           สำหรับเรื่องนี้นั้นหลี่เย่กลับไม่ได้ขัดขวาง เพียงแค่อมยิ้มไม่พูดจา “ให้พวกเขาได้หน้าเถิด” 

 

 

           ถาวจวินหลันเข้าใจความหมายของหลี่เย่ ขึ้นไปสูงเวลาตกลงมาก็ยิ่งเจ็บหนัก ตระกูลหวังบีบบังคับคนเช่นนี้ ไม่เห็นฮ่องเต้อยู่ในสายตา เห็นได้ชัดว่าเป็นการรนหาที่ตาย 

 

 

           เป็นไปตามที่คาดไว้ ไม่นานฮ่องเต้ก็จัดการแย่งชิงสิทธิทางการทหารของนายทหารเหล่านั้นกลับมา จากนั้นก็จัดการแต่งตั้งให้อยู่ในเมืองหลวง แล้วแต่งตั้งคนใหม่ที่เพิ่งมีหน้ามีตาขึ้นมารับสิทธิทหารแทน 

 

 

           คนใหม่บางทีอาจจะไม่ได้เก่งกาจเรื่องการรบ แต่ได้เปรียบเรื่องจิตใจที่ซื่อสัตย์ จับไปไหนมาไหนได้ง่าย อีกทั้งตอนนี้ก็ไม่จำเป็นต้องออกรบ คนที่รบเป็นย่อมไม่จำเป็น 

 

 

           ซินพานถือโอกาสนี้ได้เพิ่มยศตำแหน่ง ถือว่าเป็นเรื่องดีเช่นเดียวกัน 

 

 

           ฮองเฮากลับมา ถาวจวินหลันย่อมต้องเข้าวังหลวงไปทำความเคารพ ถือโอกาสเข้าไปเยี่ยมไทเฮาและถาวซินหลันด้วย 

 

 

           ด้วยในงานสมโภชวันนั้น นางได้เปลี่ยนแปลงท่าทีที่มีแต่เดิมไปแล้ว ดังนั้นเข้าวังหลวงในครั้งนี้ ถาวจวินหลันจึงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้พยายามแต่งตัวเรียบง่ายถ่อมตัวเหมือนแต่ก่อนอีก กระโปรงสีม่วงอ่อนปักลายม้า ชุดคลุมผ้าฝ้ายแขนกุดสีแดงกุหลาบลายผีเสื้อกลางดอกไม้ฝังทองคำขาว ด้านนอกเป็นชุดคลุมยาวห้าสีมันวาว 

 

 

           พอสวมผ้าคลุมหน้าและเครื่องประดับอื่นแล้ว ก็ดูสูงส่งสง่างามสดใสเป็นอย่างมาก 

 

 

           หงหลัวพิจารณาอย่างละเอียดครั้งหนึ่ง อดทอดถอนใจไม่ได้ “รัศมีของนายหญิง แม้แต่พระชายาองค์รัชทายาทก็ไม่อาจเทียบได้นะเลยเพคะ” 

 

 

           ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะทันที “พระชายาองค์รัชทายาทก็แค่ไม่ชอบแต่งกายเช่นนี้เท่านั้นเอง หากลองได้แต่ง ย่อมเหมือนกันอยู่แล้ว อีกอย่างพระชายาองค์รัชทายาทก็ยังไม่อาจแต่งกายเช่นนี้ได้” องค์รัชทายาททำให้ฮ่องเต้โกรธ ยามนี้จึงต้องเก็บตัว ในงานสมโภชก็ยึดเรื่องการถ่อมตัวเป็นหลัก 

 

 

ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น แค่ชุดประจำตำแหน่งของพระชายาองค์รัชทายาท และมงกุฎเฉพาะขององค์รัชทายาท นางก็เทียบไม่ได้แล้ว 

 

 

           “คำพูดนี้อย่าให้ใครได้ยินเชียว” ถาวจวินหลันพูดกำชับ จากนั้นก็อุ้มเตาผิงเล็กเอาไว้ในมือและเดินออกจากประตูไป 

 

 

ด้วยวันนี้หิมะหนาเดินทางไม่ค่อยสะดวก ดังนั้นจึงนั่งเกี้ยวนิ่มไปตลอดทางจนถึงวังของฮองเฮา  

 

 

มองดูด้านนอกที่มีเกี้ยวหยุดวางเอาไว้ ถาวจวินหลันก็รู้ว่าตนเองมาสายแล้ว แต่ก็ไม่ได้ร้อนใจ จัดทรงชุดกระโปรงอยู่ครู่หนึ่งแล้วถึงให้คนไปรายงาน 

 

 

           พอเข้าไปในห้องแล้ว ถาวจวินหลันก็รู้สึกถึงลมร้อนที่เข้ามาปะทะใบหน้า อากาศอุ่นๆ ตามมาด้วยกลิ่นของแป้งชาด พอตั้งใจมองไปก็เห็นว่าข้างในมีคนอยู่มากแล้ว โดยเฉพาะองค์หญิงสาม องค์หญิงสี่ พระชายาองค์รัชทายาท หวังเหลียงตี้ แล้วยังมีพระชายาจวงอ๋องและพระชายาอู่อ๋อง 

 

 

           ฮองเฮานั่งอยู่บนที่นั่งประธานตรงกลาง แต่งกายมีสีสันกว่าก่อนหน้านี้อยู่เล็กน้อย และก็ต้องสง่างามสูงส่งแน่นอน เพียงแค่นั่งอยู่ตรงนั้น ก็มีรัศมีให้ตื่นตะลึงแล้ว 

 

 

           ถาวจวินหลันทำความเคารพอย่างเรียบร้อย “หม่อมฉันทำความเคารพฮองเฮาเหนียงเหนียงเพคะ” 

 

 

           ฮองเฮายิ้ม “ลุกขึ้นเถิด เป็นครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องมากมารยาทนัก นั่งลงเถิด” 

 

 

           ที่นั่งข้างฮองเฮามีคนนั่งแล้ว อีกทั้งถาวจวินหลันเองก็ไม่ยอมนั่งตรงหน้าฮองเฮาเช่นเดียวกัน ดังนั้นย่อมต้องเดินไปนั่งที่ไกลมากที่สุด 

 

 

           แต่คิดไม่ถึงว่าฮองเฮากลับยิ้มพูดว่า “อาหว่าน เจ้าให้ชายารองถาวไปนั่งตรงที่เจ้าเสียเถิด ส่วนเจ้ามานั่งข้างข้า” 

 

 

           หวังเหลียงตี้ยิ้มรับคำ จากนั้นก็ลุกขึ้นจากที่นั่งของตนเอง พลางนั่งลงบนเก้าอี้ข้างกายฮองเฮาอย่างออดอ้อน พูดว่า “เสด็จป้าเอ็นดูชายารองถาวเช่นนี้ ข้าจะน้อยใจแล้วนะเพคะ” 

 

 

           แท้จริงแล้วชื่อเล่นของหวังเหลียงตี้ก็ชื่อว่าอาหว่าน ก็ดูเหมาะสมกับชื่อนี้ยิ่งนัก ต้องพูดว่าแม้จะเป็นบุตรที่เกิดจากมารดาคนเดียวกัน แต่หวังเหลียงตี้กลับดูสวยกว่าพระชายาองค์รัชทายาทอยู่เล็กน้อย อีกทั้งหวังเหลียงตี้ในตอนนี้ยังอยู่ในช่วงที่สวยที่สุดของหญิงสาว ดังนั้นยิ่งทำให้พระชายาองค์รัชทายาทเทียบไม่ได้ ในงานสมโภชครั้งที่แล้วถาวจวินหลันก็ได้รู้เรื่องนี้แล้ว 

 

 

           มิน่าเล่า พระชายาองค์รัชทายาทจึงไม่ยินยอมให้หวังเหลียงตี้เข้ามาในวังหลวง เพราะแบบนี้พระชายาองค์รัชทายาทถึงไม่ได้สนิทสนมกับหวังเหลียงตี้มากเกินไป 

 

 

           ถาวจวินหลันยิ้มพลางเอ่ยขอบคุณฮองเฮาและหวังเหลียงตี้ จากนั้นก็นั่งลงไปอย่างเรียบนิ่ง 

 

 

           ฮองเฮาบีบใบหน้าของหวังเหลียงตี้อย่างเอ็นดู จากนั้นก็หัวเราะและพูดว่า “ชายารองถาวเป็นยอดดวงใจของตวนชินอ๋อง หากข้าไม่ยุติธรรมกับนาง ตวนชินอ๋องจะไม่มาเอาเรื่องข้าหรืออย่างไร? อีกทั้งเจ้าก็มีฐานะต่ำสุดในนี้ เจ้าไม่ยกที่นั่งให้แล้วใครจะให้? หรือจะให้พี่สาวของเจ้ายกที่นั่งให้เล่า?” 

 

 

           ถาวจวินหลันได้ยินคำพูดแฝงนัยของฮองเฮ่ที่ว่า ‘ฐานะต่ำสุด’ ก็อมยิ้มไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดอะไร ใช่แล้ว ในที่นี้นางฐานะต่ำที่สุด เป็นแค่ชายารองชินอ๋องเท่านั้น สู้ไม่ได้แม้แต่หวังเหลียงตี้ แต่หวังเหลียงตี้ก็ต้องยกที่นั่งให้ไม่ใช่หรืออย่างไร? ฮองเฮาก็ไม่อาจไม่ยุติธรรมกับนาง นี่ไม่ได้มีความหมายแบบนี้เหมือนกันหรือ? 

 

 

           ภรรยาพึ่งพาสามี ยามนี้หลี่เย่ไม่ใช่แค่ท่านอ๋องที่ไร้ตัวตนอีกแล้ว นางเองก็ไม่ใช่ชายารองถาวที่ต้องยอมถอยให้ทุกอย่างอีกต่อไป 

 

 

           “พูดไปแล้ว เหนียงเหนียงเสด็จมาวังหลวงได้ถูกเวลานักเพคะ ดูแล้วว่าวันที่หนาวที่สุดใกล้จะมาถึงแล้ว เหนียงเหนียงสามารถดำเนินพิธีได้เลยเพคะ” ถาวจวินหลันพูดไปยิ้มไป พลางมองฮองเฮาอย่างจริงใจ “ได้ยินว่าไทเฮาดีขึ้นมากแล้วเพคะ ดูท่าทางการขอพรของเหนียงเหนียงคงจะได้ผลดีมากเพคะ เหนียงเหนียงมีใจกตัญญู คิดว่าพระพุทธองค์ต้องซาบซึ้งเป็นแน่เพคะ” 

 

 

           พูดถึงเรื่องออกนองวังไปขอพร ต่อให้ฮองเฮามีสมาธิมากเพียงใด แต่ก็หน้ากระตุกอย่างควบคุมไม่ได้ นางต้องยอมรับเลยว่านี่เป็นความอัปยศที่สุดตั้งแต่ขึ้นเป็นฮองเฮา จะต้องรู้ว่าต่อให้ก่อนหน้านี้นางทำเรื่องเหล่านั้น ก็ยังไม่เคยถูกกระทำเช่นนี้มาก่อน! อีกทั้งหากไม่ใช่เพราะคนตระกูลหวังเหิมเกริม ก็ไม่รู้ว่านางจะกลับมาได้หรือไม่! 

 

 

           ส่วนการดำเนินพิธีเข้าฤดูหนาวนั้น ฮองเฮาก็รู้ดีแก่ใจว่าได้มอบเรื่องนี้ให้อี้เฟย และซูเฟยจัดการแล้ว ไม่ใช่เรื่องของตนเองเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นนางจึงมั่นใจว่าถาวจวินหลันจงใจพูดเยาะเย้ยนาง 

 

 

           ถาวจวินหลันนั้นตั้งใจทำจริงๆ แต่จากท่าทีดูจริงใจของนางแล้ว กลับมองไม่ออกแม้แต่น้อยว่านางจงใจ 

 

 

           “ได้ยินว่านางระบำสองคนที่อยู่ในวังขององค์รัชทายาทเป็นเจ้าและจวงผินขอให้ประทานให้องค์รัชทายาทอย่างนั้นหรือ?” ฮองเฮาเห็นถาวจวินหลันมีท่าทีเช่นนั้นก็รู้ว่าไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้อีก จึงตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องพูดทันที 

 

 

           ถาวจวินหลันมองดูฮองเฮาที่ยกยิ้มขึ้นมา ก็รู้ว่าฮองเฮากำลังไล่ถามนางอยู่อย่างเห็นได้ชัด จึงยิ้มและตอบว่า “จวงผินเสนอเรื่องนี้เพคะ หม่อมฉันก็เพียงพูดตามน้ำไปเล็กน้อยเท่านั้น ทำไมหรือเพคะ ฮองเฮาเหนียงเหนียงเห็นว่าไม่เหมาะสมหรือ?” 

 

 

           “ย่อมต้องไม่เหมาะสม” ฮองเฮาเก็บรอยยิ้มไป ขมวดคิ้วตั้งท่าสั่งสอน “ยามนี้องค์รัชทายาทอยู่ในช่วงต้องเรียนรู้แล้ว จะให้มาเสียสมาธิเพราะเรื่องสตรีได้อย่างไร? จวงผินอายุน้อยไม่รู้เรื่อง หรือว่าเจ้าก็ไม่รู้เรื่องเช่นเดียวกัน?” 

 

 

           ฮองเฮาวางท่าเช่นนี้ ถาวจวินหลันก็ไม่รู้ว่าควรตอบเช่นไร นางเลิกคิ้วพลางส่งเสียงร้องตกใจ พร้อมทั้งพูดอย่างร้อนใจว่า “หม่อมฉันคิดว่าองค์รัชทายาทมีจิตใจมั่นคง จะต้องไม่ถูกเรื่องกามารมณ์ขัดขวางเป็นแน่ อีกทั้งหม่อมฉันยังคิดว่าสตรีเหล่านั้นแม้ว่าจะเต้นรำอย่างงดงาม แต่ก็ไม่ได้ถือว่าหน้าตาสวยงามนัก นอกจากเก็บเอาไว้เต้นระบำแล้ว องค์รัชทายาทก็คงไม่ได้ชอบ เป็นได้แค่ของเล่นเท่านั้น อีกทั้งฮ่องเต้เองก็เห็นด้วย หม่อมฉันก็ไม่คิดมากเช่นกันเพคะ” 

 

 

           ฮองเฮาสะอึกไปทันที แต่เดิมนางยังคิดว่าหากถาวจวินหลันเถียงกลับมา นางย่อมต้องมีวิธีจัดการรออยู่แล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าถาวจวินหลันจะพูดแบบนี้ ก็ให้นางอึ้งจนพูดไม่ออกไปทันที 

 

 

           ฮองเฮาหรี่ตาลงพลางกวาดตามองถาวจวินหลัน แล้วก็รู้ความจริงบางอย่าง นางมองผิดไปแล้ว ไม่เพียงแค่มองผิดไปเท่านั้น อาจตาบอดไปด้วยซ้ำ นางคิดว่าถาวจวินหลันอยู่ในกำมือของนาง แต่กลับไม่ใช่อย่างที่นางคิดเลย ยิ่งไปกว่านั้น นางไม่รู้เลยว่าตั้งแต่เมื่อไรกันที่ถาวจวินหลันค่อยๆ กล้าพูดหาเรื่องนางเช่นนี้ 

 

 

           ไม่เพียงแค่มองถาวจวินหลันผิดไปเท่านั้น ตอนแรกก็มองหลี่เย่ผิดไปเช่นกัน หลี่เย่ที่เชื่อฟังและยอมถอย เป็นนางเองที่มองผิดไปตั้งแต่แรก! นางไม่ควรเก็บหลี่เย่เอาไว้จริงๆ! 

 

 

           แต่คราวนี้ในใจของฮองเฮาจะหงุดหงิดอย่างไรแต่ก็ไร้ประโยชน์ เรื่องกลายเป็นแบบนี้แล้ว ไม่สามารถย้อนกลับมาได้อีก 

 

 

           อีกทั้งฮองเฮาเองก็คิดว่าถาวจวินหลันโชคดี หลิวซื่อตายแล้ว แต่นางเองยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้ โรคระบาดไม่ได้พรากชีวิตนางไป ไม่ใช่เพราะโชคดีแล้วจะเป็นอะไร? อีกทั้งหลิวซื่อตายไป จวนตวนชินอ๋องก็กลายเป็นสวรรค์ของนางแล้ว 

 

 

           เมื่อคิดเช่นนี้ฮองเฮาก็อดรู้สึกอิจฉาความโชคดีของถาวจวินหลันไม่ได้ คิดถึงตอนแรก เพื่อป้องกันตำแหน่งของตน เพื่อได้รับสิ่งที่อยากได้ นางต้องทุ่มเทความหมั่นเพียนและแผนการไปมากเพียงใด? 

 

 

           แต่ฮองเฮาก็ค่อยๆ แย้มยิ้ม โชคดีแล้วจะทำไม? โดดเด่นแล้วจะทำไม? ก็เป็นแค่หมอกเมฆที่ผ่านตาเท่านั้น ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นเรื่องชั่วคราวเท่านั้น ไม่มีทางยาวนานได้แน่ 

 

 

           พอฮองเฮาหยิกนิ้วจนเริ่มเจ็บก็ปล่อยออกไป หวังเหลียงตี้ก็เงยหน้ามองฮองเฮาทีหนึ่ง เห็นว่าใบหน้าของฮองเฮามีรอยยิ้ม แต่กลับใจสั่นสะท้านไม่ได้ แต่จากนั้นกลับแสดงท่าทีอ่อนน้อมเชื่อฟังอีกครั้ง 

 

 

           แน่นอนว่าถาวจวินหลันก็เห็นความเปลี่ยนแปลงของฮองเฮา แต่นางกลับไม่ใส่ใจ ไม่ว่าอย่างไรฮองเฮาก็ทำอะไรไม่ได้ 

 

 

           ตอนที่กำลังพูดคุยกันอยู่ องค์หญิงแปดและองค์หญิงเก้าก็เข้ามาพร้อมกัน 

 

 

           องค์หญิงแปดและองค์หญิงเก้าทำความเคารพ และขออภัยที่ตนเองมาช้า ก่อนหาที่นั่งลง ด้วยไม่มีที่อื่นแล้ว นางย่อมต้องนั่งในตำแหน่งที่ห่างจากฮองเฮามาก แต่ดูแล้วทั้งสองคนนั้นก็ไม่ได้ใส่ใจ 

 

 

           ฮองเฮาไม่ได้แสดงท่าทีอะไร กลับเป็นองค์หญิงสามที่ยิ้มพลางเอ่ยปากพูดว่า “ทำไมน้องแปดกับน้องเก้ามาสายนักเล่า? มีเรื่องอะไรทำให้ล่าช้าอย่างนั้นหรือ? พวกเรารอพวกเจ้ามาสักพักหนึ่งแล้ว วันที่เสด็จแม่ใหญ่กลับวังหลวง พวกเจ้าก็ควรมาเร็วเสียหน่อย” 

 

 

           คำพูดขององค์หญิงสาม ไม่ว่าฟังอย่างไรก็เป็นความผิดขององค์หญิงแปดและองค์หญิงเก้า แต่องค์หญิงแปดกลับไม่สนใจ ยิ้มและพูดว่า “พี่สะใภ้ใหญ่บ้านข้าตั้งครรภ์ เพราะอาการครรภ์ไม่ค่อยมั่นคงนัก ข้าจึงคอยเฝ้าดูแลอยู่ครู่หนึ่ง ถึงได้มาสาย” ความจริงแล้วก็ไม่ถือว่าสาย ถือว่าเข้าวังหลวงมาในชั่วยามปกติ แต่คนอื่นแค่มาเร็วเท่านั้นเอง 

 

 

           ส่วนองค์หญิงเก้ากลับดูอารมณ์ไม่ดีนัก เพียงแค่พูดเนิบๆ ว่า “เจออันธพาลระหว่างทาง ขวางทางรถม้าถึงได้ล่าช้า” 

 

 

           ได้ยินว่าองค์หญิงเก้าเจออันธพาลขวางรถม้า ถาวจวินหลันก็เงยหน้ามององค์หญิงเก้าอย่างเป็นกังวล พร้อมพูดอย่างเป็นห่วงว่า “ทำไมถึงได้เจออันธพาลเล่า? ขวางทางรถม้าด้วยหรือ? นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”