บทที่ 516 มอบใจ

บัลลังก์พญาหงส์

องค์หญิงเก้าส่ายหน้า “ไม่มีอะไรเพคะ เพียงแค่ต้องการเงินเล็กน้อยเท่านั้น ให้เงินไปก็จัดการได้แล้วเพคะ” 

 

 

           ดังนั้นทุกคนจึงไม่ได้ถามอะไรอีก แน่นอนว่า คนอื่นอาจจะไม่ได้เป็นกังวลเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย 

 

 

           “ใช่แล้ว ได้ยินว่าช่วงนี้ตวนชินอ๋องเข้าไปช่วยฮ่องเต้จัดการเรื่องในราชสำนักอย่างนั้นหรือ?” จู่ๆ ฮองเฮาก็หัวเราะถาม มองไปยังถาวจวินหลันแล้วพูดว่า “ช่างขยันยิ่งนัก แต่เจ้าก็ควรเตือนเขา อย่าปล่อยให้ตนเองเหนื่อยจนเกินไป ร่างกายของเขาไม่ดีมาตั้งแต่เด็ก ไม่อาจปล่อยให้เหนื่อยได้” 

 

 

           ถาวจวินหลันไม่สนใจท่าทีแม่ผู้มีเมตตาของฮองเฮาเลยแม้แต่น้อย พยักหน้าน้อยๆ และพูดว่า “ท่านอ๋องไม่เคยพูดเรื่องในราชสำนักกับหม่อมฉันมาก่อนเพคะ ส่วนร่างกายก็ไม่ต้องเป็นห่วง ตอนนี้ข้าให้ห้องครัวปรุงอาหารบำรุงเอาไว้ทุกวัน เพื่อช่วยบำรุงรักษาร่างกายท่านอ๋องเพคะ” คำพูดนี้ย่อมต้องบอกฮองเฮาว่าไม่ต้องให้ฮองเฮามายุ่งวุ่นวายมากไป 

 

 

           ฮองเฮาก็หัวเราะ ทว่ากลับรู้สึกไม่พอใจ 

 

 

           “พูดไปแล้ว พระชายาตวนชินอ๋องก็จากไปสักพักแล้ว ตามหลักเกณฑ์ควรที่ต้องเลือกพระชายาใหม่โดยเร็ว ข้าต้องคิดพิจารณาให้ดีแล้ว เรื่องนี้ข้าจะช่วยจัดการให้เอง คราวนี้จะต้องเลือกคนเก่งและเป็นที่โปรดปรานของตวนชินอ๋อง ไม่อาจย่ำทางเก่าเหมือนหลิวซื่ออีก” ฮองเฮานวดระหว่างคิ้วเมื่อนึกถึงเรื่องไม่พอใจก่อนหน้านี้ และเหมือนกลัดกลุ้มใจว่าจะเลือกพระชายาคนใหม่อย่างไรให้หลี่เย่ดี 

 

 

           ถาวจวินหลันทำเป็นไม่ได้ยิน ไทเฮาพูดเช่นนี้ นางอาจจะยังระแวงอยู่บ้าง แต่ฮองเฮาพูดเช่นนี้นางกลับไม่ได้เอามาใส่ใจเลยสักนิด พูดง่ายๆ ก็คือตอนนี้ฮองเฮามีสิทธิ์ทำเช่นนี้หรือ? หลี่เย่ไม่ใช่องค์ชายในกำมือของนางแล้ว และไทเฮาก็ไม่มีทางยอมให้ฮองเฮาสอดมือเข้ามายุ่ง แม้แต่ฮ่องเต้ก็คงไม่ยินยอมเช่นเดียวกัน 

 

 

           พระชายาองค์รัชทายาทยิ้มและรับคำต่อ “เสด็จแม่ลองปรึกษาเรื่องนี้กับไทเฮาได้เพคะ ไทเฮาเองก็คิดกังวลเรื่องนี้อยู่เช่นกัน” 

 

 

           ฮองเฮายิ้มเหลือบมองพระชายาองค์รัชทายาทวูบหนึ่ง พยักหน้าพูดว่า “เป็นเช่นนั้นจริง เกรงว่าไทเฮาคงจะคิดอยู่นานแล้ว วันหลังข้าจะไปลองถามดู และจัดการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด” 

 

 

           ทั้งสองคนเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย เหมือนกับเรื่องนี้ได้ตกลงตามนั้นแล้วอย่างนั้น แต่ถาวจวินหลันยังคงยิ้มไม่สนใจ “ไทเฮาพูดเรื่องนี้มานานแล้วเพคะ และมีตัวเลือกแล้ว พระชายาก็เพิ่งจากไปได้ไม่นาน ท่านอ๋องจึงไม่อยากจัดการเรื่องนี้ หากฮองเฮาเหนียงเหนียงอยากจะจัดการเรื่องนี้ ไม่สู้รออีกสักพักหนึ่ง ให้ท่านอ๋องยินยอมเองดีกว่าเพคะ” 

 

 

           สิ้นเสียง ทุกคนต่างก็พากันมองถาวจวินหลันอย่างอดไม่ได้ แม้แต่องค์หญิงเก้าก็เช่นกัน ทุกคนล้วนมีสีหน้าตื่นตกใจ ไม่มีใครคิดว่าถาวจวินหลันจะพูดเช่นนี้ 

 

 

           มีเพียงองค์หญิงแปดเท่านั้นที่ตกใจเพียงเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มอย่างเข้าใจ ตอนนี้ที่หลี่เย่ค่อยๆ แสดงความสามารถที่แท้จริงของตนเองแล้ว เกรงว่าแม้แต่ไทเฮาก็ไม่อาจบงการหลี่เย่ได้ง่ายดายอีกแล้ว นอกจากหลี่เย่จะยินยอม มิเช่นนั้นเรื่องรับพระชายาคนใหม่คงจะไม่สำเร็จ แม้ว่าไทเฮาและฮองเฮาจะเลือกได้แล้วก็ตาม จบเรื่องนี้ หลี่เย่ต้องโวยวายอย่างแน่นอน 

 

 

           ครั้นฮองเฮาได้สติกลับมาก็หัวเราะเบาๆ “ดูซี ชายารองถาวใจกว้างยิ่งนัก สมแล้วที่เป็นต้นแบบของสตรีเปี่ยมคุณธรรม พวกเจ้าควรจะเรียนรู้เอาไว้บ้าง” 

 

 

           ถาวจวินหลันถ่อมตนเอียงอาย “พูดถึงเรื่องนี้ หม่อมฉันจะสู้เหนียงเหนียงได้อย่างไรเล่าเพคะ? เหนียงเหนียงดูแลหกวัง ทำให้ทั้งวังหลังสมดุล นี่ถึงจะเป็นต้นแบบความใจกว้างอย่างแท้จริงเพคะ” 

 

 

           สิ่งที่นางคิดมาก แล้วฮองเฮาไม่คิดมากอย่างนั้นหรือ? นางลำบากใจ หรือว่าฮองเฮาจะไม่ลำบากใจกับเรื่องเหล่านี้หรืออย่างไร? นี่เรียกหนามยอกเอาหนามบ่ง 

 

 

           ฮองเฮาพลันเงียบเสียงหัวเราะ สายตาก็เฉียบคมดุดัน ฮองเฮาจะไม่รู้ว่านางเย้ยหยันได้อย่างไร? คนที่อยู่ที่นี่ไม่ได้เป็นคนโง่ ย่อมต้องเข้าใจอยู่แล้ว 

 

 

           ฉับพลันทุกคนก็คิดว่าถาวจวินหลันยโสโอหังเป็นที่ยิ่ง เสียมารยาทกับฮองเฮาได้ง่ายหรืออย่างไร? แม้ว่าฮองเอาจะไม่เหมือนแต่ก่อน แต่อย่างไรก็เป็นฮองเฮา 

 

 

           ถ้าไม่ใช่เพราะคำพูดของถาวจวินหลันแยบยล จนคนอื่นหาเรื่องไม่ได้ ตอนนี้ฮองเฮาคงจะหาเหตุผลมาโวยวายไปแล้ว แต่ตอนนี้กลับต้องจนปัญญาทำอะไรไม่ได้ 

 

 

           นั่งอยู่ครู่หนึ่ง องค์หญิงแปดก็พูดขอทูลลา “ลูกได้ยินมาว่าท่านแม่สุขภาพไม่ค่อยดีนัก เป็นกังวลจึงคิดจะไปเยี่ยมเสียหน่อยเพคะ ขอให้เสด็จแม่ใหญ่อภัยลูกด้วย โปรดให้ลูกขอตัวออกไปก่อนเพคะ” 

 

 

           ฮองเฮาย่อมไม่รั้งเอาไว้ ยิ้มพลางรับคำ 

 

 

           แลเวองค์หญิงเก้าก็ฉวยโอกาสพูดอีก “นานแล้วที่ไม่ได้เข้าวังหลวง ไม่รู้ว่าไทเฮาเป็นเช่นไรบ้าง ลูกอยากไปทำความเคารพที่วังหย่งโซ่ว ขอให้เสด็จแม่ใหญ่อภัยให้ด้วยเพคะ โปรดให้ลูกขอตัวออกไปก่อนเพคะ” 

 

 

           ถาวจวินหลันยิ้มน้อยๆ ลุกขึ้นทำความเคารพ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หม่อมฉันก็ขอไปพร้อมกับองค์หญิงเก้า วันหลังจะเข้าวังมาทำความเคารพฮองเฮาเหนียงเหนียงอีกครั้งเพคะ” 

 

 

           ฮองเฮาเม้มปาก ยิ้มพลางรับคำ เยี่ยมไทเฮา ไม่ว่าอย่างไรนางก็ขวางไม่ได้ ต่อให้ไม่พอใจท่าทีของถาวจวินหลันเพียงใด ก็ทำได้แค่ปล่อยไป 

 

 

           ถาวจวินหลันยิ้มแล้วเดินออกไปพร้อมกับองค์หญิงเก้า พอออกไปจากห้อง นางก็สูดลมหายใจเข้าลึกอย่างอดไม่ไหว บรรยากาศด้านนอกได้ความเย็นจากหิมะ ทำให้มีเรี่ยวแรงขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ แน่นอนว่าต้องหนาว แต่กลับหัวโล่ง และสงบนิ่งมากกว่าเดิม 

 

 

           ทั้งสองคนเดินเคียงกัน ไม่มีใครขึ้นเกี้ยวอ่อนทั้งนั้น ทิวทัศน์หิมะภายในวังหลวงสวยงามน่ามองเป็นที่ยิ่ง โดยเฉพาะข้างทางยังมีช่างฝีมือที่สลักหิมะเป็นรูปต่างๆ ดูแล้วน่าสนใจยิ่ง 

 

 

           “ซวนเอ๋อร์ไม่ได้เห็นสิ่งเหล่านี้ มิเช่นนั้นคงก้าวขาไม่ออกแล้วเป็นแน่” ถาวจวินหลันยิ้มพูด หันหน้าไปคุยกับองค์หญิงเก้า “ก่อนหน้านี้สองวันไปปั้นมนุษย์หิมะกับบรรดาบ่าวรับใช้ มือเย็นจนแดงไปหมดก็ยังไม่ยอมกลับเข้าห้อง เกือบจะทำให้ท่านอ๋องต้องคว้าไม้เรียวมาเสียแล้ว ถึงได้ยอมหยุด” 

 

 

           องค์หญิงเก้าตกใจ “ซวนเอ๋อร์เพิ่งจะตัวเท่านั้น พี่รองกล้าตีเขาอย่างนั้นหรือ? ไม่กลัวว่าจะบาดเจ็บหรืออย่างไร?” 

 

 

           “จะตีจริงได้อย่างไร เพียงขู่เท่านั้นเอง” ตอนที่ถาวจวินหลันพูดถึงซวนเอ๋อร์ นางย่อมไม่ได้สังเกตว่าเสียงและหว่างคิ้วของนางดูอ่อนโยนมากขึ้น อีกทั้งใบหน้ายังเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ซวนเอ๋อร์เจ้าเล่ห์เป็นอย่างมาก รู้ว่าควรจะดื้อตอนไหนแล้วไม่มีใครจัดการได้ รู้ว่าเมื่อไรควรจะทำตัวเรียบร้อย ไม้เรียวนั้นไม่เคยตกลงบนตัวเขาแม้แต่ครั้งเดียว” 

 

 

           องค์หญิงเก้าได้ยินก็หัวเราะ “ซวนเอ๋อร์ฉลาดจริงๆ นี่เป็นเรื่องดีนะเจ้าคะ” พูดแล้วในใจก็อิจฉาปนเศร้า เมื่อไรนางจะมีลูกของตนเอง? คืนดีกับถาวจิ้งผิงมานานขนาดนี้แล้ว หรือว่าตอนนี้ในท้องของตนมีความเคลื่อนไหวแล้ว? 

 

 

           เมื่อคิดเช่นนี้องค์หญิงเก้าก็แอบเอามือไปแนบไว้ที่ท้องของตนเอง ดีที่มีผ้าคลุมบังเอาไว้ คนอื่นมองไม่เห็น มิเช่นนั้นแล้วนางคงไม่กล้า 

 

 

           “วันนี้ทำไมถึงได้เจออันธพาลขวางทางเล่า? เมืองหลวงสงบสุข ทำไมถึงได้เกิดเรื่องวุ่นวายเช่นนี้” ถาวจวินหลันยังคงกังวลเรื่องนี้อยู่ จึงถามขึ้นมาประโยคหนึ่ง 

 

 

           องค์หญิงเก้าถอนหายใจ “เรื่องนี้อีกครู่หนึ่งออกจากวังหลวงไปข้าค่อยพูดให้ท่านฟังเจ้าค่ะ ภายในวังมีคนมากนัก ไม่สะดวกพูดเท่าไร เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ถ้าไม่ดีเกรงว่าจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเจ้าค่ะ” 

 

 

           ได้ยินองค์หญิงเก้าพูดเช่นนี้ ถาวจวินหลันก็ใจหล่น ฟังคำองค์หญิงเก้าไม่ได้ถามอะไรอีก 

 

 

           “วันนี้ท่านหาเรื่องฮองเฮาเช่นนั้น เกรงว่าต่อจากนี้ความสัมพันธ์คงจะแตกร้าวแล้ว” องค์หญิงเก้าถามอย่างแปลกใจ 

 

 

           ถาวจวินหลันยิ้มบางๆ พลางเลิกคิ้ว “ใช่แล้ว แต่ก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์ดีตั้งแต่ต้นแล้วไม่ใช่หรือ? อีกทั้งตอนนี้ก็ไม่ต้องอ่อนน้อม และยอมถอยให้อีกแล้ว ข้าจะให้เห็นว่าจวนตวนชินอ๋องอ่อนแอไม่ได้” 

 

 

           องค์หญิงเก้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้าเห็นด้วย แต่หลังจากนั้นก็ถอนหายใจ “ไทเฮาจะต้องไม่ชอบให้ท่านทำอย่างนั้นแน่นอนเจ้าค่ะ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่แน่ว่าไทเฮา…”          

 

 

           “ไทเฮาไม่ชอบข้าอยู่แล้ว เจ้าเองก็รู้” ถาวจวินหลันถอนหายใจ แค่นหัวเราะพลางพูดกับองค์หญิงเก้าว่า “อีกอย่างยามนี้ไฉนเลยยังจะสนใจได้อีก? ไม่ชอบก็ไม่ชอบ ขอเพียงตนเองไม่ได้ทำเรื่องน่าละอาย ก็ไม่เห็นต้องสนใจสิ่งอื่น” 

 

 

           “แต่ไทเฮาช่วยให้ท่านเป็นชายาเอกตวนอ๋องไม่ได้” องค์หญิงเก้าพูดเสียงเบา แฝงไว้ด้วยความสงสัย “ท่านไม่คิดมากจริงหรือ? ​หรือว่าไม่กลัว? คิดว่าพี่รองปกป้องท่านได้ตลอดหรือ?” 

 

 

           ถาวจวินหลันส่ายหน้า “ไม่มีชายาเอกตวนอ๋องอีกแล้ว อีกทั้งข้าเองก็ไม่สนใจตำแหน่งนั้น สิ่งที่ข้าทำมาทั้งหมด ก็เพียงอยากได้คุณสมบัติอย่างหนึ่งเท่านั้น” ถ้าจะต้องสนใจ ก็ควรต้องสนใจตำแหน่งสูงสุดต่างหาก ไม่ใช่แค่ชายาเอกตวนอ๋อง 

 

 

           องค์หญิงเก้ายังคงไม่เข้าใจว่าถาวจวินหลันไปเอาความมั่นใจนี้มาจากไหน 

 

 

           “ไม่มีใครเหมาะที่จะนั่งตำแหน่งนี้” ถาวจวินหลันเห็นองค์หญิงเก้าไม่เข้าใจ จึงอธิบายให้ละเอียด “หากฐานะต่ำเกินไป ไทเฮาย่อมไม่ยอมให้เข้ามา แล้วก็กลัวว่ากดหัวข้าไว้ไม่ได้ แต่ถ้าฐานะสูงเกินไป ก็ยิ่งไม่ยินยอมเข้าไปอีก อย่างไรท่านอ๋องก็มีลูกชายคนโตแล้ว ทั้งยังโปรดปรานเอ็นดูข้าที่เป็นชายารองถึงขนาดนี้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้ แค่บรรดาตระกูลใหญ่มีชื่อเสียง และตระกูลเก่าแก่เหล่านั้นจะมีสักกี่คนที่กล้าเสี่ยงเช่นนี้? แม้แต่ท่านอ๋องเองก็จะต้องคำนึงว่าฝ่ายตรงข้ามยินยอมพร้อมใจยืนข้างเขาจริงหรือไม่”    

 

 

           เมื่อสรุปทุกอย่างรวมกัน จะคิดหาคนที่เหมาะสมก็ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ 

 

 

           ดังนั้นช่วงนี้ย่อมไม่มีใคเหมาะมานั่งตำแหน่งพระชายาตวนอ๋อง ต่อให้มีตัวเลือกแล้ว ก็ต้องรออีกปีหนึ่งถึงจะได้ แต่ถึงตอนนั้นสถานการณ์จะเป็นเช่นไร มีใครรู้บ้างเล่า? 

 

 

           “จิ้งผิงขยันมาก” องค์หญิงเก้าถอนหายใจ “เพื่อเป็นเกราะกำบังให้ท่าน เพื่อช่วยสนับสนุนท่าน” 

 

 

           ถาวจวินหลันตะลึงไป มององค์หญิงเก้าอย่างจริงจัง “ข้ารู้แล้ว แต่แม้ว่าจะไม่เพื่อข้า เขาก็ควรขยัน เขาเป็นความหวังของตระกูลถาว มีภาระบนบ่าตั้งมาก เขาจึงต้องตั้งใจให้มาก” 

 

 

           หยุดไปครู่หนึ่ง นางก็แย้มยิ้ม พูดเสียงอ่อนว่า “แน่นอนว่าจิ้งผิงเป็นน้องชายที่ดี ที่จริงแล้วเขาเป็นคนที่อ่อนโยนมาก หากเจ้าปฏิบัติกับเขาดี เขาจะต้องคืนให้เจ้าเป็นสิบเท่าแน่นอน ข้าเป็นพี่สาว ก็ทำได้แค่หวังให้พวกเจ้าสามีภรรยารักใคร่สามัคคีกัน มีบางครั้งที่เขาคิดเยอะไป เจ้าก็อย่าโกรธเขาเลย ขอแค่มาบอกข้า ข้าจะไปสั่งสอนเขาเอง” 

 

 

           องค์หญิงเก้าก้มหัวหลุบตาลง เพราะเขินอายกับสายตาของถาวจวินหลัน แต่ที่มากไปกว่านั้นคือร้อนรนอยากหนีไป แม้แต่เสียงที่ตอบรับก็เบามาก “เจ้าค่ะ” 

 

 

           พูดคุยกันไปตลอดทาง ทั้งสองคนจึงไม่รู้สึกหนาว ครั้นเข้าไปถึงในวังหย่งโซ่วอันอบอุ่น ถาวจวินหลันก็รู้สึกว่าใบหน้าของตนเองถูกลมพัดจนชาไปหมด เมื่อเจอทั้งอากาศเย็นและร้อนก็ให้รู้สึกปวดแสบ ฉับพลันก็มององค์หญิงเก้าอย่างเสียใจ รู้สึกว่าตนเองเลอะเลือนจนลากองค์หญิงเก้ามาลำบากไปด้วยแล้ว 

 

 

           องค์หญิงเก้ากลับไม่รับรู้ เพียงแค่เดินไปเบื้องหน้าไทเฮา ยิ้มพลางทำความเคารพ