ตอนที่ 90 ผลงานชิ้นเอก

ซ่อนรักเคียงบัลลังก์

ด้านข้างห้องชั้นในของตำหนักดงบินมีหอคอยเล็กๆ ที่เชื่อมกันอยู่หอคอยหนึ่ง เป็นพื้นที่เล็กๆ ที่พอจะวางโต๊ะหนึ่งตัว กับเก้าอี้ได้ประมาณสองตัว ที่หอคอยนี้สามารถมองเห็นบริเวณสวนด้านหน้าตำหนัก และหลังตำหนักได้ทั้งหมด เป็นพื้นที่ที่เหมาะแก่การเฝ้าสังเกตการณ์ต่างๆ ในตำหนักดงบินได้เป็นอย่างดี 

 

 

กโยยองชอบใช้เวลาว่างที่หอคอยนี้ บางทีนางก็ดื่มชา เขียนอักษรพู่กัน หรือบางทีก็นั่งตากลมเฉยๆ ไม่ทำสิ่งใด ปล่อยเวลาให้ผ่านพ้นไป วันนี้ก็เช่นกันกโยยองนั่งอยู่ที่หอคอยนี้ บนโต๊ะมีกระดาษสำหรับเขียนพู่กันกางอยู่ มีถ้วยเล็กๆ วางเรียงราย ด้านในมีสีย้อมอยู่หลากหลายสี นางหยิบพู่กันขึ้นมา แล้วค่อยๆ ลากเส้นไปทีละเส้น ทีละเส้น เหมือนกับว่านางกำลังใช้เวลาอย่างเงียบสงบมากกว่าจะวาดรูป สายลมพัดผ่านไปอย่างสงบ แสงแดดในฤดูใบไม้ผลิสาดส่อง 

 

 

ฤดูใบไม้ผลิ เป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิ 

 

 

“ฤดูใบไม้ผลิ…” อยู่ๆ กโยยองก็พึมพำออกมา  

 

 

แท่งพู่กันเรียวยาวสั่นเทา ลายเส้นใบไม้ที่ลากออกไปนั้นยับเยิน นางเริ่มเกลียดฤดูใบไม้ผลิตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่อาจรู้ได้ อาจจะเป็นประมาณปีกลาย ตอนที่มีบุคคลใหม่เข้ามาในพระราชวัง 

 

 

‘ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเราก็มิอาจรักฝ่าพระบาทได้’ 

 

 

“กรี๊ด” เสียงกรี๊ดของนางดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงโครมของบางอย่างที่แตกกระจาย 

 

 

“พระชายารอง” 

 

 

“พระชายารองฮวางแทจาเพคะ” 

 

 

เหล่าข้ารับใช้บางคนรีบวิ่งเข้ามาเมื่อได้ยินเสียงดัง 

 

 

“อย่าเข้ามา!” นางรีบออกคำสั่งเสียงดัง ทุกคนจึงหยุดเดิน พวกนางมองหน้ากันไปมาแล้วถามออกไปอย่างระมัดระวัง 

 

 

“พระชายารองฮวางแทจา ทรงเป็นอะไรหรือเพคะ” 

 

 

“มีเรื่องอันใดหรือเพ…” 

 

 

เจ้านายของพวกเขานั้นเคยสุภาพ นางไม่เคยขึ้นเสียงสูงอย่างนี้ นี่ไม่ใช่แค่สถานการณ์ที่น่าตกใจแต่ยังน่างงงวยด้วยเช่นกัน เริ่มมีสถานการณ์แบบนี้บ่อยๆ ตั้งแต่เมื่อไม่กี่เดือนก่อน ข้ารับใช้ทุกคนในตำหนักดงบินรู้กันทุกคนว่าอารมณ์ของเจ้านายตนในตอนนี้ไม่ดีนัก กโยยองไม่ยอมให้ข้ารับใช้เข้ามาหา มีแต่เสียงของนางที่ดังออกมาจากหอคอยเท่านั้น แม้น้ำเสียงจะฟังดุสุภาพเรียบร้อยเหมือนก่อน แต่ก็ฟังดูสั่นเทาแข็งทื่อเหมือนซ่อนอะไรบางอย่างไว้ 

 

 

“มิมีสิ่งใด…มีแมลงตัวเล็กตัวหนึ่งโผล่มาเพียงเท่านั้น เดี๋ยวเราจัดการเองไปทำงานของตัวเองเถิด” 

 

 

“เดี๋ยวพวกหม่อมฉันจัดการให้เพคะ” 

 

 

“แม้เราจะบอกให้ออกไปน่ะหรือ” น้ำเสียงที่ดังออกมาจากหอคอยนั้นช่างเด็ดขาด พวกข้ารับใช้มองตากันอีกครั้ง 

 

 

“เพคะ” 

 

 

“ขอตัวก่อนเพคะ” 

 

 

เหล่าข้ารับใช้เดินถอยหลังกลับออกไปจากหอคอย เสียงฝีเท้าเบาๆ ค่อยๆ ไกลออกไป ผู้คนในตำหนักนี้เริ่มเรียนรู้ที่จะเดินอย่างเงียบๆ เป็นสิ่งแรก และทุกคนก็ชินกับการได้ยินเสียงเงียบเชียบแบบนั้นแล้ว เมื่อกโยยองมั่นใจแล้วว่าตอนนี้มีนางอยู่เพียงคนเดียว นางจึงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ นางลุกขึ้นมาอย่างพรวดพราดออกแรงจับกระดาษเขียนพู่กันไว้ข้างหนึ่งแน่น บนโต๊ะว่างเปล่า ถ้วย พู่กัน กระดาษต่างๆ ที่ถูกจัดเรียงไว้บนโต๊ะกระจัดกระจายไปบนพื้นหอคอย สีย้อมต่างๆ ผสมกันไปหมด ถ้วยที่ใช้ฝนหมึกแตกกระจาย 

 

 

“เลว” 

 

 

กโยยองพูดออกมาพร้อมๆ ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง สายตานางมองไปยังเศษถ้วยที่แตกออก แม้พื้นของหอคอยจะถูกย้อมไปด้วยสีต่างๆ แต่กโยยองก็ไม่มีความคิดที่จะขยับเขยื้อนเลย นางเอาแต่มองไปทางต้นไม้และสายน้ำ 

 

 

“ช่างทุเรศสิ้นดี” นางไม่สามารถอดกลั้นจึงเปล่งวาจาร้ายกาจออกมา 

 

 

น่าเสียใจ น่าอับอาย นางเอาแต่ถอนหายใจ หอคอยที่เละเทะไปหมดนั้นกำลังทำให้นางเห็นภาพที่ย่ำแย่ของตนอยู่ ผลลัพธ์ที่ชัดเจนของการกระทำที่ไม่ดีนั้นได้กรีดไปที่ใจของนาง 

 

 

“โกหก คนโกหก” 

 

 

ใบหน้าที่ปัดแต่งหน้ามาอย่างสวยงามของกโยยองบัดนี้เละเทะไปหมด 

 

 

‘ไม่ว่าอย่างไ เราคิดว่าเราไม่สามารถรักฝ่าพระบาทได้…’ 

 

 

“กรี๊ด!” กโยยองกรีดร้องขึ้นอีกครั้ง แต่ตอนนี้ไม่มีของที่จะให้นางขว้างหรือทำลายได้อีกแล้ว 

 

 

ปึง ปัง มีเพียงการทุบกำปั้นไปที่โต๊ะอย่างดังเท่านั้น 

 

 

“พอแล้ว พอได้แล้ว!” 

 

 

กโยยองยื่นมือออกไปในอากาศ นางได้ยินแต่เสียงทึ่มทื่อของกโยซึล ทุกครั้งที่นึกถึงคำโกหกของ 

 

 

กโยซึล ความเคียดแค้นก็พลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างเก็บไว้ไม่อยู่ ไม่สามารถทนได้ นางกรีดร้อง กวาดมือพังข้าวของไปทั่วไม่มีอะไรรอดพ้น เสียงของกโยซึลวนเวียนอยู่ในหัวตลอดเวลา นับจากวันที่ไปหานางหลังจากได้ยินว่านางตั้งครรภ์ แม้แต่การนอนและการกินที่เป็นเรื่องง่ายๆ มันก็ไม่ง่าย ความสงบสุขของกโยยองได้พังทลายไปหมดแล้ว กโยยองที่อ้อนน้อมสุภาพ เงียบ เรียบร้อย ตอนนี้ค่อยๆ กลายเป็นคนที่หยาบกระด้างขึ้น ใบหน้าที่ดูสง่าผ่าเผยซูบซีดอ่อนกำลังลง 

 

 

“เราเพียงแค่จะมาหาเพื่อถามสารทุกข์สุขดิบ แต่สีหน้าท่านดูมิค่อยดีเท่าใดนัก” 

 

 

กโยยองได้ยินน้ำเสียงประจบประแจง พลันใบหน้าของนางก็แข็งทื่อ หลังจากนั้นจึงมองไปทางห้องของตน โอรันกำลังยืนยิ้มอยู่บนทางระหว่างห้องนอนกับหอคอย 

 

 

“พระชายาแทจา เชิญเพคะ” ทันทีที่กโยยองทำความเคารพเสร็จ นางก็รีบนั่งลงเก็บเศษถ้วยที่แตก 

 

 

“โถ่ ไม่น่าเลย นี่มันความวุ่นวายอันใดกันหรือ” 

 

 

น้ำเสียงในคำถามนั้นแฝงไปด้วยการหัวเราะเยาะอย่างสนุกใจ กโยยองพยายามที่จะไม่ใส่ใจโอรันและมุ่งมั่นเก็บเศษถ้วยต่อไป 

 

 

“แมลงเพคะ” 

 

 

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า” 

 

 

โอรันระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเพราะคำพูดที่ฟังดูเงอะงะของกโยโยอง นางยกกระโปรงขึ้นแล้วรีบนั่งลงตรงหน้ากโยยอง เล็บยาวๆ ของนางเคลื่อนไปตามพื้นและหยิบเศษถ้วยขึ้นมาบางชิ้น 

 

 

“แมลงหรือ ถ้าเป็นแมลงก็ต้องใช้ยาฆ่ามันสิ เอาถ้วยมาตีมาทำลายแบบนี้จะจับมันได้อย่างนั้นหรือ” 

 

 

“หม่อมฉันจัดการเองเพคะ หม่อมฉันทำให้พระชายาแทจาเห็นด้านที่น่าอายแล้ว ก็อย่างที่ทรงเห็นเพคะ มันค่อนข้างวุ่นวาย…เสด็จกลับไปก่อนไม่ดีกว่าหรือเพคะ” 

 

 

น้ำเสียงของกโยยองแข็งทื่อ นางพยายามที่จะมีมารยาท แต่การปฏิบัติอย่างเย็นชาของนางนั้นมันชัดเจนนัก ทว่าโอรันก็ไม่ได้สนใจและพูดต่อ 

 

 

“ได้ยินข่าวคราวของพระตำหนักดงบีบ้างไหมหรือไม่” 

 

 

“แม้หม่อมฉันจะเป็นคนในวังตะวันออก แต่หม่อมฉันก็มิได้รู้ทุกเรื่องของที่นี่เพคะ” 

 

 

“ว่าแล้วเชียว” โอรันเปิดหัวข้อสนทนาด้วยสีหน้าที่แสดงความปรารถนาดี 

 

 

“เขาว่ากันว่าอาการแพ้ท้องของพระชายาฮวางแทจาค่อนข้างรุนแรง วุ่นวายทุกครั้งที่ต้องจัดสำรับให้ เห็นว่าการเตรียมสำรับให้พระชายาฮวางแทจานั้นค่อนข้างลำบากน่าดู” 

 

 

“อย่างนั้นหรือเพคะ” กโยยองไม่สนใจเลยสักนิดเดียว  

 

 

ส่วนโอรันที่กำลังพูดถึงกโยซึลอยู่แม้จะเข้าใจสีหน้าของกโยยอง แต่ก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ พูดต่อไปราวกับกำลังพูดเรื่องเรื่อยเปื่อยอยู่ 

 

 

“การแพ้ท้องมันเป็นเรื่องที่เหนื่อยมากนะ ต้องคัดสรรอาหารที่กินได้ อาหารที่กินไม่ได้” 

 

 

ตอนนี้กโยยองไม่มีการโต้ตอบใดๆ แม้นางจะเก็บเศษถ้วยที่แตกไปใส่ไว้ในถ้วยที่แตกน้อยแล้ว แต่นางก็ไม่อยากจะลุกขึ้น หลังจากที่จัดการเรียบร้อย นางก็นั่งลงเพราะคำพูดของโอรันน่าจะยาวกว่านั้น 

 

 

“อาหารที่คนทั่วไปกินแล้วไม่เป็นอะไร แต่ถ้าแพ้ท้องมันก็กลายเป็นยาพิษได้ น่าขันนัก ว่าไหม” 

 

 

นิ้วมือของกโยยองหยุดขยับทันทีเมื่อได้ยินคำว่ายาพิษ ถ้าพูดถึงอาการแพ้ท้องกับยาพิษก็ทำให้นึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นกับฮเยจินเมื่อไม่นานมานี้ทันที นางกำนัลที่แอบชอบบินซองได้เอายาพิษไปให้ฮเยจินกิน แต่โชคดีที่ไม่ส่งผลต่อกโยรูนที่อยู่ในครรภ์ 

 

 

“สิ่งนี้ก็เช่นกัน” โอรันหยิบถุงเงินในหน้าอกออกมาหนึ่งถุง “เราไปหาซื้อมาอย่างพิเศษเลย เพราะได้ยินมาว่าช่วงนี้ร่างกายของพระชายารองฮวางแทจาไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไรนัก” 

 

 

“…นั่นคือสิ่งใดหรือเพคะ” 

 

 

“มันคือถั่วเขียว” โอรันที่นั่งอยู่ค่อยขยับตัวลุกขึ้นเพื่อให้สามารถสบตากับกโยยองได้ และเอาถุงเงินที่มีน้ำหนักพอสมควรวางไว้บนโต๊ะ “ถั่วเขียวที่ดีต่อผิวพรรณนั้น หากหญิงตั้งครรภ์ได้กินไปก็จะทำให้เกิดเหตุมิคาดคิดได้” 

 

 

“พระชายาแทจา” กโยยองลุกขึ้นจากที่นั่ง จ้องมองไปที่โอรันด้วยสายตาที่หวาดกลัว แต่ทว่าโอรันนั้นยังคมยิ้มอย่างสดใส 

 

 

“ก่อนหน้านี้หม่อมฉันได้บอกแล้วมิใช่หรือเพคะว่าให้ระวังเรื่องวาจาในพระราชวัง” 

 

 

“พูดเรื่องอันใดกันหรือ พระชายารองฮวางแทจาเข้าใจสิ่งใดผิดไปหรือเปล่า เราเพียงแค่ห่วงใยชายารอง จึงเอาถั่วเขียวมาให้เป็นของขวัญดูแลผิวพรรณก็เท่านั้นเอง” โอรันเอามือตบไปที่ถุงเงินหนานั่น 

 

 

“เราได้บดให้เป็นผงเรียบร้อยแล้ว เพียงแค่นำไปผสมกับน้ำแล้วพอกไว้ที่หน้าได้เลย หากมีของที่อร่อยๆ ก็นำไปผสมได้เลยเช่นกัน จะไม่มีใครคาดคิดเลยว่ามันคือถั่วเขียว” 

 

 

“ทรงหมายความว่าหากจะใช้ดื่ม ก็ห้ามให้ใครรู้ว่าเป็นถั่วเขียวหรือเพคะ” 

 

 

“เราเพียงแค่บอกให้ทราบ” 

 

 

แม้จะเป็นคำถามที่ค่อนข้างทิ่มแทง แต่โอรันก็ตอบได้อย่างสบายใจ 

 

 

“ขอให้พระชายารองฮวางแทจาใช้ตามต้องการอย่างสบายใจเถิด ชายารองดูจะมีธุระยุ่งที่ต้องจัดการ เช่นนั้นเราขอตัวก่อน” 

 

 

เมื่อโอรันพูดในสิ่งที่ต้องการพูดหมดแล้ว นางก็หันตัวกลับไป ในขณะที่นางกำลังเดินออกไปนั้น นางก็หยุดเดินยักไหล่เล็กน้อยแล้วหันมาพูดประโยคสุดท้าย 

 

 

“หากแมลงมันมารบกวนตำหนักดงบินนัก ก็อย่ามัวแต่อดทนเลย ใช้ยาฆ่ามันเลยเสียจะดีกว่า จะรอให้มันมาทำร้ายจิตใจของพระชายาฮวางแทจาผู้งดงามอย่างนั้นหรือ” 

 

 

“…หม่อมฉันผู้เป็นเจ้าของตำหนักดงบินจะจัดการเรื่องนี้เองเพคะ” 

 

 

“ทำที่คิดว่าดีเถิด” 

 

 

หลังจากที่โอรันจากไปราวกับลมแรงที่ปะทะเข้ามาอย่างกะทันหันได้พัดผ่านไปนั้น กโยยองก็เอาแต่ยืนเหม่อลอยไม่จัดการทำความสะอาดหอคอยที่เละเทะ การที่ได้ยินข่าวคราวของกโยซึลที่ไม่ได้ต้องการรับรู้นั้นมันทำให้นางอึดอัดใจขึ้นอีกครั้ง นางทุบอกตัวเอง รู้สึกปวดแสบปวดร้อนข้างในราวกับน้ำย่อยตีขึ้นมา 

 

 

‘ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเราก็มิอาจรักฝ่าพระบาทได้’ 

 

 

ทว่าคราวนี้นางไม่ได้ทำสิ่งที่แย่ออกมา กโยยองปิดปากอยู่เงียบๆ และมองไปที่ถุงใส่ถั่วเขียวที่วางอยู่บนโต๊ะ 

 

 

*** 

 

 

“กโยยอง…!” กโยซึลที่ยื่นใบหน้าอันสดใสออกมาหยุดชะงักแล้วพูดต่อ “ไม่สิ พระชายารองฮวางแทจา” 

 

 

นี่เป็นการเข้าพบที่ไม่คาดคิด และไม่ได้คาดหวัง ครั้งสุดท้ายตอนที่กโยยองมาหานั้น กโยซึลคิดว่าคงจะไม่ได้เห็นหน้ากโยยองอีกแล้ว แต่ว่ากโยยองก็มาหานางที่ตำหนักดงบีอย่างคาดไม่ถึง กโยยองที่นั่งอยู่ค่อยๆ เปิดปากพูดอย่างช้าๆ  

 

 

“คราวก่อน หม่อมฉันเสียมารยาทไปเพคะ” 

 

 

กโยยองไม่มองหน้ากโยซึล นางจ้องเขม็งไปที่โต๊ะที่วางอยู่ระหว่างกลางแล้วพูดสิ่งที่ตนท่องจำมาออกไป บนโต๊ะนั้นมีหนังสือการเตรียมตัวของสตรีมีครรภ์เปิดไว้อยู่ กโยยองกวาดสายตาอ่านหนังสือเล่มนั้นอย่างไร้ความหมายและพูดต่อไป 

 

 

“โปรดอภัยให้ความผิดพลาดของหม่อมฉันด้วยเพคะ” 

 

 

“ความผิดพลาดอะไรกัน” 

 

 

กโยซึลยื่นมือมาอย่างใส่ซื่อและดูมีความสุข แต่ว่านางไม่สามารถจับมือกโยยองได้ เพราะกโยยองเอามือไปวางไว้ข้างๆ ดูพยายามหลีกเลี่ยงมือของนาง 

 

 

“และ…” กโยยองนำกล่องใบหนึ่งขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ แล้วค่อยๆ แกะผ้าที่ห่อของทีละชั้น ทีละชั้นอย่างใส่ใจ แล้วเปิดฝาออก 

 

 

“ถวายแด่พระชายาฮวางแทจาเพคะ” สายตากโยยองมองต่ำลง “และเพื่อบุตรในครรภ์ หม่อมฉันได้นำขนมที่ทำเองมาถวายด้วยเพคะ” 

 

 

“กโยยอง พระชายารองฮวางแทจาทรงทำเองหรือเพคะ” 

 

 

“หม่อมฉันได้ยินมาว่าพระชายาฮวางแทจาทรงแพ้ท้องอย่างหนัก ก็เลยลองทำขนมมาถวายเพคะ” 

 

 

ภายในกล่องขนาดใหญ่เกือบครึ่งโต๊ะนั้นมีต๊อกขนาดพอดีคำอัดแน่นอยู่ กโยซึลรู้สึกมีความสุขที่ 

 

 

กโยยองมาหามากกว่าที่ได้รับของขวัญเสียอีก 

 

 

“ขอบพระทัยเพคะ เราจะกินทุกวันเลย” 

 

 

“ขอให้รสชาติถูกปากนะเพคะ”  

 

 

กโยยองก้มศีรษะทำความเคารพ กโยซึลมีความสุขมากเสียจนไม่รับรู้เลยว่าบนใบหน้าของกโยยองนั้นไม่มีรอยยิ้มเลยสักนิดเดียว