ตอนที่ 478 คัดเลือก

บุตรอสูรบรรพกาล

ตอนที่ 478

คัดเลือก

“รับสมัครนักร้องงั้นเหรอ”ลูกน้องในห้องทดลองของชิงจื่อและจินจื่อถามออกมาด้วยท่าทีตกใจเมื่ออยู่ๆหัวหน้าห้องทดลองของตนกลับบอกให้ตนไปหารับสมัครนักร้องมีฝีมือมาเสียอย่างนั้น บอกตามตรงว่ามันนึกไม่ออกเลยจริงๆว่าการหานักร้องมานั้นเกี่ยวกับการทดลองอย่างไร

“ไปหามาเถอะ เอาคนที่เสียงดีๆล่ะ”จินจื่อบุตรสาวของไก่ฟ้าหงอนทองย้ำด้วยท่าทีจริงจังอย่างมากนางกับชิงจื่อตัดสินใจร่วมมือกันสร้างสิ่งประดิษฐ์ให้สำเร็จเพื่อทำให้งานของพี่สาวไป๋หลินออกมายิ่งใหญ่ตามที่พวกมันคำนวณเอาไว้

“เอ่อ…ขอรับ”ด้วยคำสั่งของทั้งสอง ต่อให้เป็นเรื่องแปลกประหลาดแค่ไหนพวกลูกน้องก็ต้องทำอยู่แล้ว ลูกน้องผู้นี้เลยไม่ถามอะไรให้มากความอีกแล้วออกจากห้องไปเพื่อทำหน้าที่ของตนเองเท่านั้น

.

.

“ชางซี เหนื่อยหน่อยนะ”ขณะเดียวกันที่เมืองๆหนึ่งของอาณาจักรชู คณะแสดงของชางซีหญิงสาวที่เคยได้จูล่งรักษาบาดแผลบนใบหน้าให้ก็กำลังมาเปิดการแสดงพอดี

“ขอบคุณทุกคนที่เหนื่อยนะเจ้าคะ ข้าขอตัวไปพักผ่อนก่อน”ชางซียิ้มรับพลางบอกลานักดนตรีทุกคนอย่างอ่อนน้อม แต่เดิมที่ชางซียอมตกลงมาเป็นนักร้องของคณะแสดงคณะนี้ก็เพราะพวกมันกำลังจะเดินทางไปอาณาจักรอู๋ ซึ่งชางซีได้ข่าวมาว่ามีหมอเทวดาผู้หนึ่งอาศัยอยู่ที่อาณาจักรอู๋ หากนางไปที่นั่นและเก็บเงินระหว่างทางได้มากพอ บางทีท่านหมออาจจะรักษาอาการบาดเจ็บจากการฝึกฝนวิชาผิดพลาดของนางจนหายดีก็เป็นได้ เพียงแต่…

ยามนี้ชางซีไม่จำเป็นต้องไปหาหมอที่อาณาจักรอู๋อีกแล้ว เพราะยาที่ไป๋จูล่งให้มานั้นสามารถรักษาทั้งใบหน้าและอาการบาดเจ็บภายในจนนางสามารถกลับมาใช้วิชาได้อีกครั้งแล้ว ทำให้ตอนนี้ชางซีไม่จำเป็นต้องอยู่ในคณะแสดงอีกต่อไป เพียงแต่ก่อนหน้านี้พวกมันดีกับนางมาก แม่จะเจอคู่ต่อสู้ที่พวกมันสู้ไม่ไหวพวกมันก็ปกป้องนางเต็มที่ ทำให้ชางซีไม่อาจทิ้งพวกมันไปกลางคันได้เลย แม้จะหายดีแล้วนางก็ยังทำหน้าที่เป็นนักร้องนำของคณะแสดงต่อไปจนกว่าจะถึงการแสดงใหญ่ที่อาณาจักรอู๋

“ชางซี ข้าขอคุยด้วยหน่อย”หลังจากกลับมาที่ห้องพักของตน หัวหน้าคณะก็ตามนางมาพลางเคาะประตูห้องเพื่อขอเข้าไปคุยกับนางตามลำพัง

“หัวหน้า มีอะไรหรือเจ้าคะ”ชางซีถามพลางเปิดประตูให้หัวหน้าคณะอย่างว่าง่าย หัวหน้าคนนี้เป็นคนดีมากทีเดียวนางจึงไม่คิดจะระแวงอะไรมันเลยแม้แต่น้อย แถมตอนนี้พลังวิญญาณของนางกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้วต่อให้คนทั้งคณะรุมเข้ามานางก็ไม่แม้แต่จะเหนื่อยเสียด้วยซ้ำ

“ชางซี ดูเหมือนงานที่อาณาจักรอู๋จะถูกยกเลิกไปแล้ว งานวันนี้ก็เลยเป็นงานสุดท้ายของพวกเรา”หัวหน้าคณะพูดพลางถอนหายใจออกมา มันทราบดีว่าชางซีต้องการจะเดินทางไปอาณาจักรอู๋ก็เลยมาเข้าคณะของมัน แต่อยู่ๆผู้จ้างของอาณาจักรอู๋ก็ยกเลิกมา แน่นอนว่ามันจ่ายเงินชดเชยมาให้จนหัวหน้าคณะไม่ทราบจะบ่นอะไรอีก

“ทำไมกัน ไม่ใช่ว่านายจ้างต้องการให้พวกเราไปแสดงในงานฉลองของเมืองงั้นหรือ”ชางซีเลิกคิ้วด้วยความสงสัย นางไม่ได้ต้องการไปอาณาจักรอู๋ขนาดนั้นแล้ว นางจึงตกใจเรื่องการยกเลิกงานมากว่า

“ดูเหมือนจะมีงานใหญ่งานหนึ่งเข้ามาแทน งานฉลองของเมืองก็เลยถูกยกเลิกไป”หัวหน้าคณะตอบพลางส่ายหน้าช้าๆ

“แบบนั้นแย่มากเลยไม่ใช่หรือเจ้าคะ หัวหน้าท่านยอมได้อย่างไร”ชางซีส่ายหน้าช้าๆ อยู่ๆก็มายกเลิกกันแบบนี้แย่มากเลยไม่ใช่หรือ

“ไม่หรอก นายจ้างให้เงินค่าปรับพวกเรามามากทีเดียว ท่าทางงานที่ถูกจัดขึ้นจะเป็นงานสำคัญมากจริงๆ”หัวหน้าคณะส่ายหน้าพลางหยิบถุงเงินออกมาถุงหนึ่งยื่นให้ชางซี

“นี่เป็นค่าแรงของเจ้าในการเดินสายครั้งนี้ ข้าเพิ่มเงินค่าตั๋วไปอาณาจักรอู๋ให้เจ้าแล้ว ยังไงก็เดินทางปลอดภัยล่ะ”หัวหน้าคณะว่าพลางยิ้มออกมาด้วยท่าทีใจดี

“ขอบคุณเจ้าค่ะหัวหน้า”ชางซีตอบพลางรับถุงเงินมาช้าๆ น่าเสียดายนางออกจะชอบคณะแสดงคณะนี้มากทีเดียว แต่ในเมื่อนางรักษาตัวจนหายดีแล้วนางก็ไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ในคณะแสดงอีก ในเมื่องานจบนางก็ต้องแยกตัวออกมาเท่านั้นเอง

.

.

หลังจากแยกตัวออกมาจากคณะแสดง ชางซีก็เดินเข้าไปในเมืองทั้งๆที่ยังสวมหน้ากากอยู่ แม้จะรักษาจนหายไปแล้ว แต่ชางซีก็เคยชินกับการปิดบังใบหน้าตนเองเสียแล้ว แต่เดิมนางก็เป็นศิษย์ของยอดฝีมือท่านหนึ่งผู้ใช้วิชาการลอบสังหาร ทำให้การปกปิดหน้าตาเป็นเรื่องเคยชินของนางไปแล้ว นางจึงไม่ได้ใส่ใจหน้าตาตนเองเสียเท่าไหร่ แต่เมื่อถูกจูล่งช่วยรักษาจนใบหน้ากลับมาเป็นเหมือนเดิม ความเป็นหญิงในตัวนางกลับรู้สึกเสียดายที่จะต้องกลับไปฝึกวิชาของอาจารย์อีกครั้ง เพราะหากพลาดขึ้นมาร่างกายก็ต้องได้รับบาดเจ็บอีก แน่นอนว่าใบหน้าก็คงต้องเสียโฉมอีกแน่ๆ

พรึบ…. ขณะกำลังคิดลังเลอยู่กลางถนน อยู่ๆลมหอบหนึ่งก็พัดเอากระดาษปลิวเข้ามาใส่ชางซีเข้าอย่างจัง แต่ก่อนที่กระดาษแผ่นนั้นจะผ่านเลยร่างของนางไปด้วยสัญชาตญาณที่เคยฝึกมาทำให้นางคว้ากระดาษแผ่นนั้นเอาไว้กลางอากาศทำให้นางได้เห็นว่าบนกระดาษแผ่นนั้นคืออะไร

“รับสมัครนักร้อง?”ชางซีขมวดคิ้วด้วยท่าทีประหลาดใจ ขณะใจนางกำลังลังเล อยู่ๆก็มีใบประกาศรับสมัครนักร้องเข้ามาเสียอย่างนั้น แต่เดิมนางเพียงใช้เสียงเพื่อหาเงินและเดินทางมาอาณาจักรอู๋เพื่อจะรักษาร่างกายและกลับไปฝึกฝนวิชาต่อเท่านั้น แต่เมื่อเห็นประกาศใบนี้นางกลับรู้สึกเหมือนมีโชคชะตาบางอย่างกำลังฉุดรั้งนางเอาไว้ไม่มีผิด

“…..”ชางซีกำกระดาษในมือแน่น ใบรับสมัครใบนี้ประกาศในนามห้องทดลองแห่งอาณาจักรไป๋ เป็นที่ทราบกันดีว่าห้องทดลองแห่งอาณาจักรไป๋คือสถานที่ทดลองของท่านชิงจื่อและจินจื่อ ลำพังเพียงได้พบพวกท่านก็ถือว่าเป็นบุญอย่างใหญ่หลวงแล้ว งานนี้คงมีนักร้องจากทั่วสารทิศไปสมัครแน่ๆ แม้จะพอมั่นใจในเสียงของตนเองอยู่บ้าง แต่หากเจอนักร้องจากทั่วทุกหัวมุมเมืองแบบนี้ก็ย่อมมีคนที่เสียงดีกว่านางแน่ๆ แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นชางซีก็เดินไปที่สถานีรถไฟอย่างไม่ลังเล มีคนมาสมัครมากๆสิดี หากนางสมัครงานนี้แล้วล้มเหลวนางจะกลับไปฝึกฝนวิชาของอาจารย์อีกครั้งอย่างไม่ลังเล แต่หากนางได้งานนี้นางอาจจะขอสนุกกับชีวิตนักร้องอีกสักหน่อย…

.

.

“เป็นยังไงบ้าง”หลังจากบอกให้ลูกน้องออกไปตามหานักร้องมา ชิงจื่อก็ไม่ได้รับรายงานอะไรอีกเลยจนน่าสงสัย ชิงจื่อและจินจื่อเลยออกมาจากห้องทดลองเพื่อถามข่าวความคืบหน้าเสียหน่อย

“คนมาสมัครเยอะมากเลยขอรับ พวกเรากำลังอยู่ในช่วงคัดคนพอดี”เหล่าลูกน้องของชิงจื่อตอบขณะนั่งเรียงกันอยู่ในห้องขนาดใหญ่ที่มีหญิงสาวและชายหนุ่มอีกจำนวนหนึ่งยืนต่อคิวเพื่อจะแสดงพลังเสียงของตนให้คณะผู้ตัดสินจากห้องทดลองได้ยิน

“นี่พวกเจ้าคัดตัวอะไรกันจริงจังขนาดนี้ ข้าไม่ได้จะจัดงานฉลองสักหน่อย”ชิงจื่อหน้าซีดพลางมองจำนวนผู้ต่อแถวด้วยท่าทีหนักใจ มันเพียงต้องการคนมาทดสอบสิ่งประดิษฐ์ใหม่เท่านั้น ไม่ได้อยากจัดแข่งขันประกวดนักร้องเสียหน่อย

“สายไปแล้วขอรับ พอรู้ว่าท่านต้องการนักร้อง คนก็สมัครมากันเพียบเลยขอรับ”ลูกน้องของชิงจื่อว่าพลางยิ้มเจื่อนๆออกมา เมื่อเห็นว่าชิงจื่อเดินเข้ามาเหล่าผู้สมัครก็พากันตื่นเต้นกันยกใหญ่จนไม่เป็นอันร้องเพลงเลยทีเดียว

“เฮ้อ งั้นก็รีบจัดการให้เรียบร้อย พวกเราต้องการใช้คนแล้ว”จินจื่อเองก็ปวดหัวไม่แพ้กัน กลายเป็นว่างานที่เร่งอยู่ต้องมาช้าลงเพราะการประกวดเสียอย่างนั้น

“ขะ ขอรับ”เหล่าลูกน้องของชิงจื่อและจินจื่อตอบรับด้วยใบหน้าลำบากใจ ด้วยจำนวนผู้สมัครที่เหลือหากจะให้ร้องจนครบทุกคนคงต้องใช้เวลาอีก 2 – 3 วันเลยทีเดียว

“คนต่อไปเชิญขอรับ”ลูกน้องคนหนึ่งในห้องทดลองพูดพลางเรียกให้ผู้สมัครคนต่อไปเข้ามา กว่าจะมาถึงตรงนี้เหล่าลูกน้องในห้องทดลองต้องนั่งฟังเสียงร้องของเหล่าผู้สมัครมาหลายต่อหลายคนแล้ว แต่น่าเสียดายพวกมันเป็นนักทดลองไม่ใช่ครูดนตรีแต่อย่างไร ทำให้พวกมันแยกไม่ค่อยออกเสียเท่าไหร่ว่าใครร้องดีหรือไม่ดี ทำให้คะแนนของแต่ละคนที่ผ่านมาเฉลี่ยๆกันไปจนแทบหาผู้ชนะไม่ได้ ต่อให้ทุกคนร้องจนหมดแต่หากคะแนนยังเป็นแบบนี้มีหวังต้องมีการคัดเลือกอีกรอบแน่ๆ

“เจ้าค่ะ….”หญิงสาวที่เดินออกมาเบื้องหน้าเหล่าผู้ตัดสินยามนี้ดึงความสนใจของทุกคนไปได้ในพริบตา ไม่ใช่เพราะนางงดงามเหนือผู้อื่นแต่เพราะหน้ากากบนใบหน้าของนางต่างหาก นักร้องในยุคนี้ต่างต้องใช้หน้าตาเพื่อดึงดูดผู้ฟังทั้งนั้น ใบหน้าที่งดงามหรือหล่อเหลาเป็นสิ่งจำเป็นจึงไม่มีใครสวมหน้ากากปิดบังใบหน้าเลยแม้แต่คนเดียวทำให้ชางซีที่มาสมัครทั้งๆที่ยังสวมหน้ากากอยู่เด่นสะดุดตามากทีเดียว

“……….” แต่ทันทีที่ชางซีเริ่มร้องเพลงออกมา ความสนใจก็เปลี่ยนจากหน้ากากของนางไปเป็นที่เสียงของนางในทันที แม้แต่ชิงจื่อและจินจื่อที่ไม่ค่อยได้ฟังเพลงนักยังรู้สึกได้ว่าเสียงของนางเหนือกว่าคนอื่นๆอย่างเห็นได้ชัด แม้แต่นักร้องที่รับเชิญมาในวังหลวงยังไม่มีใครร้องได้ไพเราะและตรึงใจเท่าหญิงนางนี้มาก่อนเลย

“คะ คนต่อไปขอรับ”หลังชางซีร้องจบ ลูกน้องของชิงจื่อที่พึ่งจะหายอึ้งก็ประกาศให้คนต่อไปขึ้นมาทดสอบ แต่รออยู่นานสองนานก็ไม่มีใครออกมาแม้แต่คนเดียว

“เอ่อ….คนต่อไป..”

“ข้าขอสละสิทธิ์เจ้าค่ะ”หญิงสาวที่อยู่ด้านหลังชางซีพูดพลางก้มหัวลง ได้ฟังเสียงของชางซีแล้ว เหล่านักร้องที่ยังไม่ได้ทดสอบทั้งหมดต่างพากันถอดใจกันถ้วนหน้า แม้แต่คนธรรมดาฟังยังเข้าใจถึงความต่างชั้น พวกนางเป็นผู้ใช้เสียงหากินมีหรือจะไม่เข้าใจ เสียงของพวกนางห่างชั้นกับชางซีอย่างมาก ทุกคนได้แต่ยอมรับและถอนตัวไปเท่านั้น ทำเอาการคัดตัวนักร้องจบลงในพริบตาแทนที่จะเป็น 2 หรือ 3 วันเสียอย่างนั้น

.

.

“ช่วงนี้ดูในเมืองวุ่นวายกันจังเลยนะเจ้าคะอาจารย์”ขณะเดียวกันในเมืองหลวงของอาณาจักรอู๋ หลี่เย่ที่กลับมาอยู่บ้านกับอาจารย์ของนางก็กำลังมองภายในเมืองหลวงด้วยท่าทีประหลาดใจ ช่วงนี้มีการขนย้ายสิ่งของเป็นจำนวนมากไปที่เมืองร้อยแปดอสูร ราวกับจะมีงานใหญ่ไม่มีผิด

“งั้นหรือ”เหล่าเซียงที่พึ่งรักษาให้เฒ่าประทับสวรรค์เสร็จตอบรับด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลายลงอย่างมาก แม้นางจะไม่ได้รับอะไรตอบแทนจากเฒ่าประทับสวรรค์เลยแม้แต่น้อย แถมทันทีที่รักษาเสร็จมันก็หายไปตัวเสียอย่างนั้น แต่สำหรับนางแล้วเพียงรักษาท่านจนหายดีก็ทำให้ความหวังของนางสำเร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทำให้ยามนี้เหล่าเซียงมีท่าทีอ่อนโยนลงมาก แถมยังดูใจดีกับหลี่เย่มากขึ้นด้วย

“ดูเหมือนจะมีงานใหญ่ที่เมืองร้อยแปดอสูรนะเจ้าคะ อาจารย์เราไปเที่ยวกันบ้างดีหรือไม่ หลายปีมานี่ท่านเหนื่อยมามาก ถือโอกาสนี้พักผ่อนเถอะเจ้าค่ะ”หลี่เย่ยิ้มพลางกุมมืออาจารย์ของนางด้วยท่าทีออดอ้อน ทำให้เหล่าเซียงยิ้มออกมา

“ก็ได้ ข้าจะตามใจเจ้าก็แล้วกัน”เหล่าเซียงตอบพลางยิ้มบางๆออกมา เพียงจะเล็กน้อยแต่หลี่เย่ก็ดีใจเป็นอย่างมากที่เห็นอาจารย์ของนางยิ้มออกมาแบบนี้ นางไม่ได้เห็นอาจารย์ผ่อนคลายแบบนี้มานานมากแล้วจริงๆ