จนเมื่อซย่าโหวจวินอวี่เห็นอวี้เฟยเยียนเดินชมการตกแต่งจัดวางตำหนักบรรทมของหลิวฮองเฮาด้วยความแช่มชื่น ไม่มีท่าทีหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย ซย่าโหวจวินอวี่จึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ใบหน้าเขาปรากฏรอยยิ้มออกมา
จิตใจเข้มแข็งกับความใจเย็น นี่มันคุณสมบัติของมารดาแห่งแผ่นดินนี่นา!
“เสี่ยวอวี้ มานี่เร็วเข้า!”
ซย่าโหวจวินอวี่กวักมือเรียกอวี้เฟยเยียนเข้ามา
กระทั่งอวี้เฟยเยียนเดินเข้ามาหา ซย่าโหวจวินอวี่ก็ถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า
“เจ้ากับฉิงเทียนรู้จักกันได้อย่างไร เจ้าอายุเท่าไหร่แล้ว มีคู่หมั้นคู่หมายหรือยัง ชอบบุรุษแบบไหนหรือ คนในครอบครัวเจ้ายังมีใครอีกบ้าง บ้านเจ้าใครใหญ่ที่สุด เจ้าว่าฉิงเทียนของเราเป็นอย่างไรบ้าง”
“อะแฮ่ม…”
อวี้เฟยเยียนยังมิทันเข้าใจในคำถามทั้งหมด ซย่าโหวฉิงเทียนก็แก้มแดง รู้สึกอึดอัดขึ้นมา
ฮ่องเต้ที่กระตือรือร้นเช่นนี้ จะทำให้แมวน้อยตกใจจนวิ่งหนีไปน่ะสิ!
“เสด็จพี่ ท่านถามอะไรเช่นนั้น!”
ด้วยเกรงว่าซย่าโหวจวินอวี่จะถามคำถามที่ทำให้คนตกอกตกใจยิ่งกว่านี้ขึ้นมาอีก ซย่าโหวฉิงเทียนจึงรีบขัดคอขึ้นเสียก่อน
ใครจะคาดคิด ต่อหน้าอวี้เฟยเยียน ซย่าโหวจวินอวี่กลับไม่ไว้หน้าบุตรชายตนเองเลยแม้แต่นิด ชี้นิ้วมาที่ใบหน้าซย่าโหวฉิงเทียนแล้วหัวเราะพลางตรัสว่า
“เสี่ยวอวี้เจ้าดูสิ เจ้าเด็กนี่หน้าแดงเป็นด้วย!”
อวี้เฟยเยียนมองไปที่ใบหน้าซย่าโหวฉิงเทียน กล่าวตอบฮ่องเต้ด้วยสีหน้าเป็นการเป็นงาน
“ทรงตรัสถูกต้องเลยเพคะ เขาหน้าแดงจริงๆ ด้วย! หน้าแดงราวกับหญิงสาวอย่างไรอย่างนั้น!”
คนทั้งสองเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนถึงกับปวดขมับ
แมวน้อย เจ้าอย่าได้เรียนความร้ายกาจมาจากฝ่าบาทเชียวนะ!
ไม่รอให้ซย่าโหวฉิงเทียนลากอวี้เฟยเยียนกลับออกไป ซย่าโหวจวินอวี่ก็ถามคำถามเมื่อครู่ซ้ำอีกครั้ง
“รู้จักกันได้อย่างไรหรือ”
อวี้เฟยเยียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
เจอหน้ากันครั้งแรก นางเห็นซย่าโหวฉิงเทียนในสภาพเกือบโป๊เปลือย และหลังจากที่คนทั้งสองจุมพิตกันแล้ว นางก็เกือบเตะน้องชายของซย่าโหวฉิงเทียนจนพัง
“จะทูลอย่างไรดีเพคะ”
เมื่อหวนคิดถึงเรื่องในอดีต อวี้เฟยเยียนก็แก้มแดงด้วยความเขินอาย
ต้องมีเรื่องสนุกแน่ๆ!
ซย่าโหวจวินอวี่หรี่ตาลง
เมื่อเห็นภาพตรงหน้าซย่าโหวจวินอวี่ก็รู้ว่าจะต้องมีเรื่องอะไรเป็นแน่ คงจะเป็นเรื่องที่สะท้านทรวงด้วย มิเช่นนั้นแม่นางน้อยก็คงจะไม่เขินอายเช่นนี้
“ฮ่าๆ คนหนุ่มสาว ไม่เป็นไรหรอก!”
ถ้าเป็นเรื่องความสุขของบุตรชายละก็ ซย่าโหวจวินอวี่ก็เป็นบิดาที่เปิดกว้างเสมอ
“เจ้าอายุเท่าไหร่ มีคู่หมั้นคู่หมายหรือยัง ชอบผู้ชายแบบไหน เจ้าคิดว่าฉิงเทียนเราเป็นอย่างไรบ้าง”
ซย่าโหวจวินอวี่มิยอมปล่อยโอกาสให้หลุดมือไปแน่ เขาเฝ้ารอดื่มน้ำชาจากลูกสะใภ้มานานแสนนาน นานเสียจนเ**่ยวเฉา เส้นผมร่วงล้าน หนวดเคราก็จะร่วงจนหมดอยู่แล้ว เขาก็อ้วนฉุขึ้นมาก รอต่อไปไม่ไหวแล้ว
ซย่าโหวฉิงเทียนยิ่งเป็นพวกชักช้าอืดอาด บิดาจึงร้อนใจแทนจะแย่
ในเมื่อลูกไม่ได้เรื่อง เช่นนั้นก็ให้พ่อช่วยแล้วกัน!
หม่อมฉันเพิ่งเต็มสิบห้าปีเพคะ! คู่หมั้นคู่หมายเคยมี… ต่อมาก็ถูกเขายกเลิกงานแต่งไป
อวี้เฟยเยียนยิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกว่ามันมีอะไรแปลกๆ ชอบกล
เหตุใดฝ่าบาทถึงได้ทรงทำท่าดีพระทัยเสียขนาดนั้นกันนะ
เมื่อครู่ยังแสดงความเด็ดขาดในฐานะฮ่องเต้อยู่เลย แต่ตอนนี้ทำราวกับวิญญาณแป๊ะแก่สิงร่างเสียอย่างนั้น
“ใครกัน ยกเลิกงานแต่งงาน ตาไร้แววเสียจริง”
ซย่าโหวจวินอวี่ได้ยินคำนั้นเข้า ก็โมโหหัวเสียยิ่งนัก
อวี้หลัวช่า จักรพรรดิยาหนึ่งเดียวแห่งแผ่นดินนี้! ใครที่มีตาหามีแววไม่กล้าทำเรื่องไร้ยางอายเช่นนี้ออกมาได้นะ!
ฝ่าบาท คนผู้นั้นคือองค์ชายของพระองค์นะเพคะ!
อวี้เฟยเยียนมองดูซย่าโหวจวินอวี่ที่ทำท่าทางโกรธเคืองหัวเสีย ก็แอบลอบถอนใจ
ยังดีที่พระองค์ไม่รู้ความจริง!
หากพระองค์ทรงทราบละก็ ไม่แน่ว่าอาจจะโมโหซย่าโหวหนานจนกระอักเลือดตายเลยก็ได้เพคะ!
หลังจากความโกรธเกรี้ยวผ่านไป ซย่าโหวจวินอวี่ก็ดึงสติกลับมาได้
โชคดีที่ไอ้คนผู้นั้นมีตาหามีแววไม่ มิฉะนั้น จะหลงเหลือโอกาสมาถึงซย่าโหวฉิงเทียนได้อย่างไรกัน!
นอกจากจะทรงดีพระทัยแล้ว ฮ่องเต้ยังทรงใส่พระทัยกับอายุอานามของอวี้เฟยเยียนอีกด้วย
“เมื่อครู่เจ้าว่าอะไรนะ เจ้าเพิ่งจะสิบห้าเต็ม! เราหัวใจจะวาย!”
เห็นซย่าโหวจวินอวี่จวนเจียนจะล้ม อวี้เฟยเยียนเห็นดังนั้นก็รีบเข้ามาประคองทันที
เมื่อเห็นถึงความงาม รัศมีที่เปล่งประกาย ทั้งความอ่อนโยนช่างเอาใจของแม่นางน้อยตรงหน้า ซย่าโหวจวินอวี่ก็อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจออกมา สวรรค์ช่างลำเอียงนัก!
อายุเพียงเท่านี้ รูปโฉมเช่นนี้ ความสามารถถึงเพียงนี้…
นางช่างโชคดีอะไรอย่างนี้
ทว่าพระองค์ก็ทรงทราบดีว่าผู้ยิ่งใหญ่ย่อมต้องผ่านความลำบากมาแล้วทั้งสิ้น
อวี้หลัวช่าประสบความสำเร็จได้ด้วยอายุเพียงสิบห้าปี นอกจากโอกาสที่สวรรค์ประทานให้แล้ว ยังต้องมีความมานะพยายามของนางอีกด้วย
ในโลกใบนี้ ไม่มีผู้ใดที่จะประสบความสำเร็จโดยมิได้ตั้งใจ
ยิ่งกว่านั้นนางเป็นสตรี ยิ่งประสบความสำเร็จยากขึ้นไปอีก!
ซย่าโหวฉิงเทียนก็อายุยี่สิบสองปีแล้ว คนทั้งสองอายุห่างกันเจ็ดปี
สำหรับนางแล้ว ซย่าโหวฉิงเทียนอาจจะอายุมากไปสักหน่อย!
อวี้หลัวช่าอายุยังน้อย แต่เปี่ยมด้วยความสามารถ แน่นอนว่าไม่ต้องกังวลเรื่องการแต่งงานแม้สักนิด
นางไม่กังวลเรื่องแต่งงาน แต่บุตรชายเขากลับรีบร้อนที่จะแต่งกับนางน่ะสิ!
เมื่อคิดถึงเรื่องพวกนี้ ฝ่าบาทก็เริ่มกังวลขึ้นมาอีกครั้ง หากอวี้หลัวช่ารังเกียจที่ซย่าโหวฉิงเทียนอายุมากกว่า จะทำอย่างไรดี
ซย่าโหวจวินอวี่รู้จักบุตรชายตนเองเป็นอย่างดี หลายปีมานี้ ชื่อเสียงซย่าโหวฉิงเทียนดังกระฉ่อนไปทั่ว ใครที่ได้ยินต่างก็หวาดกลัวจนหัวหด
คนธรรมดาทั่วไปคงไม่มีใครกล้ายกบุตรีแต่งงานกับหลินเจียงอ๋องเป็นแน่
แล้วยิ่งบ้านอวี้หลัวช่า ลูกสาวจะแต่งงานทั้งทีพวกเขาจะต้องเลือกสรรอย่างพิถีพิถันแน่นอน แล้วจะทำเช่นไรดี
เฮ้อ…
ซย่าโหวจวินอวี่รู้สึกผิดในใจต่อซย่าโหวฉิงเทียนยิ่งนัก
หากมิใช่ในตอนที่เขาขึ้นครองราชย์นั้น ราชสำนักไม่สงบสุข ข้างกายเขาไม่มีใครที่น่าเชื่อถือไว้วางใจได้ละก็ ซย่าโหวฉิงเทียนก็คงไม่ใช้อำนาจออกหน้าแทนเขา จนกลายเป็นผู้ที่มีความดีความชอบที่ทำให้ราชสำนักสงบสุขได้ แต่มีฉายาดาวมฤตยูติดตัวแทน
“เสี่ยวอวี้เอ๋ย ฉิงเทียนเป็นเด็กดีคนหนึ่ง จริงๆ นะ!”
ชีวิตเขาไม่ง่าย ตั้งแต่เล็กก็ต้องพบพานกับความยากลำบากมากมาย เราเองที่ผิดต่อเขา! เราไร้ความสามารถ ช่วยอะไรเขาไม่ได้เลย! ไร้ความสามารถยิ่งนัก!
ซย่าโหวจวินอวี่รีบร้อนช่วยพูดแทนซย่าโหวฉิงเทียน ทำให้น้ำเสียงเขาเจือไว้ด้วยอาการสั่นไหว
ประมุขแห่งแคว้น แสดงความรู้สึกผิด ละอายใจ ซึ่งปกติแล้ว มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ทีเดียว
ทว่าเรื่องเช่นนี้ กลับเกิดขึ้นต่อหน้าอวี้เฟยเยียน
“เสด็จพี่ ท่านดีกับข้ามาก! ข้าซาบซึ้งใจยิ่งนัก!”
วาจาของซย่าโหวฉิงเทียน ทำให้ฮ่องเต้ยิ่งเสียพระทัย
เป็นเวลานานมากแล้ว แต่ซย่าโหวฉิงเทียนก็มิยอมเรียกเขาว่า ‘พ่อ’ สักคำ ถึงแม้ว่าในใจลูกจะไม่กล่าวโทษเขา แต่ความทรงจำในอดีตซย่าโหวฉิงเทียนยังคงไม่ลืมเลือนเป็นแน่
เขาจะชดเชยบาดแผลในใจบุตรชายเช่นไรดี
ในขณะที่บรรยากาศในตอนนี้กำลังห่อเ**่ยวลงนั่นเอง เซี่ยงจิ้นก็เดินเข้ามา
“ฝ่าบาท!”
เนื่องจากต้องวิ่งเต้นรายงานเรื่องเร่งด่วน หน้าผากเซี่ยงจิ้นจึงมีเหงื่อเม็ดใหญ่ผุดขึ้นเต็มหน้าผาก ใบหน้าเขาเปียกชุ่ม น้ำเสียงร้อนรน
“คน”
เมื่อเห็นว่าเซี่ยงจิ้นกลับเข้ามาเพียงคนเดียว ซย่าโหวจวินอวี่ก็รู้สึกฉงนสงสัยขึ้นมา
“ทูลฝ่าบาท ขณะที่หม่อมฉันไปถึง อาการป่วยคุณชายเหลียนจิ่นกำลังกำเริบหนักจนน่าตกใจมากทีเดียวพ่ะย่ะค่ะ!
“หมอหลวงบอกว่า คุณชายเหลียนเดินทางไปหอราชาโอสถครั้งนี้ หนทางยาวไกลเส้นทางยากลำบาก จึงสูญเสียพลังไปมาก จำเป็นจะต้องพักรักษาตัวอยู่บนเตียงพ่ะย่ะค่ะ!”
อาการป่วยกำเริบ
เรื่องนี้นั้นฮ่องเต้ทรงเชื่อสนิท
หลายปีมานี้เหลียนจิ่นป่วยกระเสาะกระแสะอยู่เนืองๆ
เขาใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่บนเตียง ครั้งนี้ลำบากไม่น้อยกว่าจะมีโอกาสออกไปดูโลกภายนอกสักครั้ง นึกไม่ถึงเลยว่าจะทำให้ตัวเองป่วยจนกระทั่งลงจากเตียงแทบไม่ไหว
เมื่อเป็นเช่นนี้ ซย่าโหวจวินอวี่ก็ยิ่งไม่เชื่อในคำพูดซย่าโหวเสวี่ยเข้าไปใหญ่
เหลียนจิ่นล้มป่วยถึงขนาดนี้ แล้วยังจะนอนกับองค์หญิงได้อย่างไร
คิดว่าเขามีวิญญาณสัตว์ร้ายเข้าสิงหรืออย่างไรกัน!
หลังจากซย่าโหวเสวี่ย ‘รับสารภาพ’ ว่าเด็กเป็นลูกเหลียนจิ่นแล้ว นางก็กระวนกระวายใจตลอดเวลา
หากว่าเหลียนจิ่นมาที่นี่จะทำเช่นไรดี
ถ้าเขาไม่ยอมรับจะทำยังไงดี