ส่วนที่ 2 ภาคถนนสายนี้ไม่มีผู้มาก่อน ตอนที่ 122 มีฝีมือ ไม่ได้แปลว่าจะมีประโยชน์

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ม่ออวี่เลิกม่านที่อยู่ด้านหน้าออกเพื่อเดินออกมา นางมองดูสาวน้อยที่น่ารักงดงามแต่กลับดูสูงศักดิ์อย่างมากผู้นั้น แย้มยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น “ฝ่าบาท ข้าไม่ค่อยเข้าใจความหมายของท่านนัก”

 

ลั่วลั่วไม่ได้ยิ้ม แต่ดวงตาก็ยังคงส่องประกายอยู่อย่างมาก นางเอ่ยขึ้น “เจ้ารู้ความหมายของข้า ข้าต้องการพาเจ๋อซิ่วกลับสำนักฝึกหลวง”

 

ม่ออวี่เลิกคิ้วขึ้นเบาๆ แสร้งทำเป็นถามขึ้นอย่างห่อเหี่ยวใจ “วั่วฟูเจ๋อซิ่ว…มีความสัมพันธ์อะไรกับสำนักฝึกหลวง”

 

ลั่วลั่วพูดขึ้นอย่างจริงจัง “เจ๋อซิ่วเป็นนักเรียนของสำนักฝึกหลวง”

 

ม่ออวี่พูดขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ไม่ได้มีการลงชื่อไว้ที่สำนักการศึกษากลาง ไม่มีคนยอมรับหรอก”

 

นี่เป็นการปฏิเสธที่ตรงไปตรงมาอย่างมาก หากทางสำนักฝึกหลวงไม่มีวิธีพิสูจน์ว่าเจ๋อซิ่วเป็นนักเรียน ไม่ว่าสถานะของลั่วลั่วจะสูงส่งอย่างไร ก็ไม่มีเหตุผลพอที่จะมากดดันกับทางราชสำนักต้าโจว

 

ลั่วลั่วจ้องไปที่ดวงตาของนาง พร้อมพูดขึ้น “เจ้าก็รู้ดีว่าข้ากับอาจารย์ของข้าจะต้องปกป้องเขา”

 

ม่ออวี่พูดขึ้น “สิ่งที่ราชสำนักให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกคือกฎหมาย เจ๋อซิ่วมีความผิดหรือไม่ อย่างไรก็ต้องสอบปากคำถึงจะได้”

 

ลั่วลั่วพูดขึ้น “เช่นนั้นเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า ถ้าหากอาจารย์กลับมาแล้ว เจ้าจะอธิบายกับเขาอย่างไร”

 

เมื่อม่ออวี่ได้ยินคำพูดนี้ ก็นึกถึงคำพูดของโจวทงก่อนหน้านี้ขึ้นมา ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ในใจจึงเกิดความโกรธขึ้นมา นางจึงพูดขึ้น “ทำไมข้าจะต้องไปอธิบายกับเฉินฉางเซิง หรือว่าข้ายังจะต้องกลัวเขาอีกหรือ!”

 

ลั่วลั่วพูดขึ้น “เช่นนั้นทำไมพวกเจ้าไม่รีบไปรับอาจารย์ของข้ากลับมา”

 

ม่ออวี่แสยะยิ้มพูดขึ้น “ที่เฉินฉางเซิงไม่ได้กลับมา นั่นเป็นเพราะว่าตัวเขาอยู่กับซูหลี ในตอนนี้ทั่วทั้งโลกต่างอยากจะฆ่าซูหลี เขาก็แสนปัญญาอ่อนกลับคิดจะปกป้องซูหลี เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับข้า เกี่ยวอะไรกับเหนียงเหนียง หากฝ่าบาทมีความสามารถ ไม่สู้ให้เขาได้รู้จักถึงความโง่เขลาของตนเองเสียก่อน!”

 

คำพูดนี้พูดไปเร็วมาก ราวกับไข่มุกที่หล่นลงบนจานหยก เสียงกระจ่างดังขึ้นไม่หยุด เพราะว่านางโมโหอย่างมากจริงๆ

 

โกรธที่เขาดื้อรั้น โกรธที่เขาปัญญาอ่อน โกรธที่เขาไม่รักชีวิตตัวเอง

 

เขาในที่นี้ แน่นอนว่าก็คือเฉินฉางเซิง

 

ดวงตาของลั่วลั่วยิ่งส่องประกาย และมองดูนางพลางพูดขึ้น “อาจารย์ไม่กลับมา แน่นอนว่าย่อมมีเหตุผลที่ไม่กลับ ถ้าเจ้าเป็นห่วงเขาจริงๆ หากมีปัญญาก็พาเขากลับมา”

 

ม่ออวี่ยิ่งโกรธเข้าไปใหญ่ ในใจคิดว่าตนจะไปเป็นห่วงความเป็นความตายของเฉินฉางเซิงได้อย่างไร จึงพูดขึ้น “ใครอยู่เบื้องหลังของคนที่จะฆ่าซูหลีในเมืองสวินหยาง ตัวฝ่าบาทเองก็น่าจะชัดเจนดี หากมีปัญญาก็ให้ใต้เท้าสังฆราชถอนคำสั่งสิ!”

 

ลั่วลั่วไม่ได้สนใจนางอีกแล้ว จึงหันกายมุ่งหน้าไปที่นอกพระราชวัง มีเพียงเสียงที่กระจ่างชัดที่ยังสะท้อนอยู่ “สรุปแล้วเจ้าก็คิดหาวิธีเสียหน่อยเถอะ ไม่เช่นนั้น… หากเจ้ามีฝีมือก็อย่าให้อาจารย์ของข้าถูกฝังไป”

 

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ แก้มของม่ออวี่ก็แดงระเรื่อขึ้นมา แล้วจ้องไปที่เงาหลังของนางพลางพูดโดยสะกดความอายเอาไว้ “ฝ่าบาทอายุยังน้อย แต่กลับสนใจเรื่องพวกนี้ ทว่าข้าไม่ได้มีความสามารถถึงเพียงนั้น”

 

แม้จะพูดว่าไม่มีความสามารถ แต่ในตอนที่ม่ออวี่เดินขึ้นไปบนแท่นกานลู่ ในตอนที่มองเห็นจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ภายใต้แสงของไข่มุกเรืองแสงบนแท่นสูง ก็ไม่อดได้ที่จะอยากเอ่ยปากพูดอะไรบางอย่าง ในตอนสุดท้ายที่นางเอ่ยปากพูด ที่พูดกลับเป็นสิ่งที่นางเพิ่งเจอมาเมื่อครู่ เมื่อจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ได้ฟังที่นางพูดจนจบ หลังจากที่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ถึงได้พูดขึ้น “เจ้าเฉินฉางเซิงผู้นั้นมีอะไรดีกันแน่…ถึงกับทำให้ลั่วลั่วกังวลจนเป็นเช่นนี้”

 

ม่ออวี่ตอบกลับเสียงเบา “คิดว่าเฉินฉางเซิงยังมีประโยชน์อยู่บ้าง”

 

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ยิ้มขึ้นมาแล้วพูดขึ้น “หลายวันก่อน ที่จิงตูมีข่าวลือว่าเฉินฉางเซิงไม่สามารถออกมาจากสวนโจว เป็นไปได้ว่าจะตายอยู่ที่นั่น ได้ยินมาว่านางเสียใจอย่างมาก”

 

ในใจม่ออวี่คิดไหนเลยจะใช้เพียงแค่คำว่าเสียใจ ตอนที่คิดว่านางจะถือโอกาสพูดอะไร อยู่ๆ จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ก็หันกลับมา และมองมาที่นางแวบหนึ่ง เป็นเพียงการมองอย่างธรรมดาๆ แวบหนึ่งเท่านั้น ดูราบรื่นอย่างมาก ไม่มีความนัยใดแอบแฝง เป็นเพียงความบังเอิญ ไม่เหมือนกับโจวทงกับลั่วลั่วที่ถามถึงความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเฉินฉางเซิงเช่นนั้น แต่ว่า…ร่างของนางถึงกับเย็นลงไปหลายส่วน

 

…หลังจากที่ได้ยินข่าวเฉินฉางเซิงตายในสวนโจว ความรู้สึกของนางก็ไม่ค่อยดีนัก

 

แน่นอน นางไม่ได้ร้องไห้ นางเพียงแค่รู้สึกใจหาย จิตใจหดหู่อย่างมาก รู้สึกราวกับว่าในชีวิตได้ขาดอะไรไปบางอย่าง นางรู้ว่าความรู้สึกเช่นนี้กลับน่าจะมีปัญหา นางกังวลอย่างมากว่าจะถูกคนมองปัญหานี้ออก แต่ในคืนนี้ อันดับแรกเป็นโจวทงที่ถามขึ้น ถัดมาก็เป็นลั่วลั่วที่พูดขึ้นมา และในตอนนี้ เหนียงเหนียงมองมาที่นางแวบหนึ่ง นี่จะให้นางไม่กังวลได้อย่างไร

 

โชคดีที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ทำอะไร เพียงแค่ยื่นมือออกมาลูบใบหน้าที่มีผิวเรียบเนียนละเอียดของนาง ก็เหมือนกำลังเล่นกับแมวก็ไม่ปาน และก็เหมือนว่ากำลังเล่นของบางสิ่งที่น่าชื่นชมอย่างมาก ทุกคนล้วนรู้ดี ม่ออวี่เป็นหญิงสาวที่งดงามอย่างมากผู้หนึ่ง งดงามเสียจนเหมือนกับงานประติมากรรมชิ้นหนึ่ง

 

มีคนน้อยมากที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์จะปฏิบัติด้วยอย่างใกล้ชิดเช่นนี้ ต่อให้เป็นบุตรสาวแท้ๆ ของนาง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกลูกชายที่ตายไปพวกนั้น ในบรรดาคนยุคหลัง ในหลายปีมานี้ มีเพียงม่ออวี่ที่พิเศษออกไป มีบางครั้งที่มีพวกปากมากถึงขนาดเอาเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างสตรีที่สูงส่งของราชวงศ์ต้าโจวทั้งสองคนมาคาดเดาในเชิงชู้สาว เพียงแค่เรื่องนี้ไม่ได้กระจายไปกว้างนัก เพราะว่าสถานะของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์นั้นสูงส่งอย่างมาก และก็เพราะจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เองก็เป็นสาวงาม เทียบกับม่ออวี่แล้วนางยังงามเสียยิ่งกว่า ตั้งแต่รัชสมัยไท่จงเป็นต้นมา นางก็ถูกชาวโลกยอมรับว่าเป็นสาวงามอันดับหนึ่ง

 

“เฉินฉางเซิงไม่มีทางตายหรอก”

 

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์มองดูดวงดาวนับหมื่นพันที่อยู่บนท้องฟ้าในยามราตรี สีหน้ามีความสบายๆ

 

เมื่อม่ออวี่ได้ยินคำพูดนี้แล้ว ก็ราวกับได้ยินเสียงสวรรค์ และรู้สึกผ่อนคลายลงไปมากในทันที นางเดินไปที่ด้านข้างของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ เหมือนตอนที่ผ่านๆ มาที่มีบรรยากาศดีที่สุดเช่นนั้น จูงแขนของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เบาๆ

 

“เช่นนั้นซูหลีเล่า เขาจะตายไหม”

 

วันนี้ในตอนเที่ยง ข่าวที่ซูหลีกับเฉินฉางเซิงปรากฏตัวขึ้นที่เมืองสวินหยางเพิ่งจะส่งกลับมาถึงจิงตู แต่เรื่องที่จูลั่วลงมือช่วงหัวค่ำถึงจะได้รับการยืนยัน ซูหลีเป็นศัตรูที่เผ่ามารหวาดกลัว ในเวลาเดียวกันก็เป็นคู่ต่อสู้ของต้าโจวมาโดยตลอด สำหรับความเป็นความตายของเขา ม่ออวี่ไม่มีทางให้ความสนใจเหมือนกับเฉินฉางเซิงเช่นนั้น จึงมีเพียงความกังวลใจ เพราะอย่างไรซูหลีก็ไม่ใช่คนธรรมดา ความเป็นความตายของเขามีความเป็นไปได้อย่างมากที่จะเปลี่ยนแปลงสภาพการณ์ของทั่วทั้งดินแดนต้าลู่ และสรุปแล้วจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์จะคิดเห็นเช่นไรกับเรื่องนี้

 

“ข้าจะคิดเช่นไร…ไม่สำคัญ เพราะว่าเรื่องนี้ก็ไม่เคยมีใครมาถามว่าข้านั้นจะคิดเช่นไร”

 

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ยืนอยู่บนแท่นกานลู่ สองมือไพล่อยู่ด้านหลัง ทั้งที่เงาร่างอ่อนช้อยงดงาม แต่กลับให้ความรู้สึกกว้างใหญ่ขนาดโอบล้อมใต้หล้า คำพูดในเวลานี้ กลับมีความถากถางและเหน็บหนาวอยู่หลายส่วน

 

ม่ออวี่เข้าใจความหมายของเหนียงเหนียง ขุนพลเทพเซวียเหอลงมือ ก่อนลงมือไม่ได้รับราชโองการจากเหนียงเหนียง แต่ทั่วทั้งดินแดนต้าลู่ล้วนเหมารวมว่าการลงมือของเขาเป็นเจตนาของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์…ราชวงศ์ต้าโจวไม่ว่าจะเป็นกลุ่มอำนาจเก่าหรือใหม่ ไม่ว่าจะเป็นราชสำนักหรือนิกายหลวง ล้วนมีคนมากมายที่อยากให้ซูหลีตาย เพราะความฝันที่มีร่วมกันตั้งแต่ต้นจนจบของชาวต้าโจวนับร้อยล้านคน นั่นก็คือการรวมเหนือใต้ รวมแผ่นดินเป็นหนึ่ง

 

“แต่ว่า…จะตายก็ให้ตายไปเถอะ” จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์มองดูดวงดาวที่ส่องสว่างมานับร้อยปีบนท้องฟ้ายามราตรีดวงนั้น แต่ในตอนนี้กลับมืดคล้ำอย่างน่าประหลาดแล้ว หลังจากที่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก็พูดขึ้น “อย่างไรเสียข้าก็ไม่ชอบซูหลีผู้นี้ เขากับโลกมนุษย์…เหินห่างเกินไป จะเก็บเขาเอาไว้เพื่ออะไร”