ตอนที่ 847-848

The Divine Nine Dragon Cauldron

DND.847 – เลือดศักดิ์สิทธิ์บำรุงวิญญาณ
  ผู้จ่ายภารกิจฉีคำรามเสียงดังเขารีบขยับมือด้วยความรวดเร็ว แมงป่องยักษ์ที่เกิดจากผนึกเทพเร็วขึ้นมาครึ่งเท่า มันคล่องแคล่วว่องไวกว่าเดิม
  มังกรอสูรทั้งสองกระโจนเข้าใส่แมงป่องอย่างรวดเร็วสัตว์ทั้งสามพยายามฉีกกระชากกันและกัน แมงป่องยักษ์ค่อนข้างคล่องแคล่ว มันหลบหลีกและจู่โจมด้วยก้ามทั้งสอง
  แต่มังกรอสูรทั้งสองก็ค่อนข้างปราดเปรียวมันร่วมมือกันระเบิดร่างแมงป่อง ทั้งสามต่อสู้กันอย่างดุเดือด บอกไม่ได้ว่าใครเหนือกว่า
  แต่ซือหยูนั้นยืนชมอย่างสบายใจขณะที่จ้าวเทวะอีกฝ่ายต้องใช้พลังมหาศาลเพื่อใช้งานผนึกเทพ หลังจากผ่านไปนาน แมงป่องยักษ์เคลื่อนไหวช้าลง และไม่นาน ผู้จ่ายภารกิจฉีก็มิอาจต้านทานได้อีกแล้ว
  มังกรอสูรทัี้งสองใช้โอกาสนี้พุ่งเข้าใส่แมงป่องและทะลวงร่างของมันด้วยการกัดอันทรงพลังจากนั้น มังกรอสูรทั้งสองจึงดึกปากคนละด้านเพื่อฉีกแมงป่องเป็นสองท่อน
  แมงป่องยักษ์กรีดร้องทุรนทุรายผู้จ่ายภารกิจฉีเจ็บปวดอย่างมาก ผนึกเทพเหนือศีรษะของเขาเริ่มสั่นไหวราวกับตะเกียงที่กำลังจะดับ
  เขาได้แต่ตะโกนเสียงดัง
  “เจ้าหนูเจ้าจะรังแกข้าเกินไปแล้ว!”
  เขาใช้มือทั้งสองสร้างผนึกมากมายที่ซับซ้อนกว่าทีแรกในตอนนั้นเอง เสียงโหยหวนของมังกรอสูรดังขึ้น มันกรที่กำลังจะฉีกร่างแมงป่องด้านขวาถูกทำลาย!
  ซือหยูเห็นบางอย่างที่มองได้ไม่ชัดทะลุหัวของมังกรอสูรตอนนี้เหลือแค่มังกรทางซ้าย มันถูกพลังบางอย่างทะลุหัวตามไป!
  ซือหยูมองเห็นทุกอย่างอย่างชัดเจนมันก็หางของแมงป่องนั่นเอง! มันมีหนามแหลมคมที่รวดเร็วปานสายฟ้า ดังนั้นมังกรอสูรทั้งสองจึงมิอาจตอบสนองได้ทัน!
  ปั้ง!
  เสียงระเบิดดังจากผนึกเทพที่อยู่เหนือศีรษะผู้จ่ายภารกิจฉีมันหม่นแสงลงไปเหมือนกับเสียพลังทั้งหมด
  เอื้อก!
  เขากระอักเลือดออกมายกใหญ่ใบหน้าแก่เฒ่าซีดเซียว ร่างกายสั่นระริก เขาบาดเจ็บภายในอย่างใหญ่หลวงเพราะผนึกเทพถูกทำลาย!
  ต้วนเฉียนกับไป่จางหนาวเย็นไปถึงกระดูกสันหลังแม้ว่าจ้าวเทวะจะใช้ผนึกเทพที่ทรงพลัง เขาก็ยังเอาชนะภูติระดับสามคนเดียวไม่ได้! พวกเขาสงสัย…ซือหยูบ่มเพาะวิชาอะไรกันแน่?
  ผนึกเทพของจ้าวเทวะถูกทำลายขณะที่จ้าวเทวะบาดเจ็บภายในสาหัส ขณะที่ซือหยูไม่เป็นอะไรเลย ถ้าซือหยูใช้วิชาเก้ามังกรอสูรอีกครั้ง ผู้จ่ายภารกิจฉีก็จะหยุดไม่ได้ นั่นหมายความว่าซือหยูจะทำลายร่างกายของเขาได้ตรงๆ
  ดวงตาแก่เฒ่าแสดงความโศกเศร้าออกมา
  “เจ้าหนูเจ้าทำลายผนึกเทพแล้วทำให้ร่างข้าบาดเจ็บขนาดนี้ ข้าจะไม่ปล่อยให้จบแค่นี้แน่! รอก่อนเถอะ…ข้าจะมาแก้แค้น!”
  เขาอยู่ในตำหนักมาหลายปีเขามีเครือข่ายผู้คนอยู่มาก ต่อให้เขาสังหารซือหยูไม่ได้ เขาก็ไปหาเรื่องสหายของซือหยูได้!
  ซือหยูตอบอย่างใจเย็น
  “ใครพูดว่าข้าจะปล่อยเจ้าไป?”
  “เจ้าหนูข้ายอมรับว่าเจ้าแข็งแกร่ง แต่ถ้าข้าอยากหนี เจ้าก็หยุดข้าไม่ได้!”
  หลังพูดจบเขาทะยานขึ้นฟ้าและบินออกไปอย่างรวดเร็ว เขาหนีไปโดยทิ้งต้วนเฉียนกับไป่จางเอาไว้!
  ซือหยูมองเขาหนีไปอย่างใจเย็นแต่ไม่ไล่ตามนั่นก็เพราะภูติระดับสามอย่างเขามิอาจไล่ล่าจ้าวเทวะระดับหนึ่งได้
  “หึหึใครตัดสินกันว่าจะต้องมีวิชาเคลื่อนไหวที่รวดเร็วเพื่อไล่ฆ่าผู้คน?”
  ซือหยูยิ้มจางๆและมองท้องนภา
  นภามืดครึ้มสลายไปช้าๆเผยให้เห็นจันทร์กระจ่าง หากมองเพียงเหลือบเดียวก็จะเห็นเป็นพระจันทร์ แต่ถ้าหากมองให้ดี…ก็จะมองได้ว่ามันคือเนตรที่เปล่งประกาย!
  ดวงจันทร์ถูกบดบังด้วยเนตรประหลาดมันม้องดูผืนดินราวกับมองตรงมาจากสสวรรค์ ทุกอย่างที่ถูกเนตรนี้มองล้วนถูกทำลาย ทุกสิ่งตัวสั่นด้วยความกลัวเมื่อเห็นเนตร
  ผู้จ่ายภารกิจฉีที่กำลังหนีเงยหน้ามองท้องฟ้าและสั่นไปทั้งตัวเขาตกตะลึง
  “เนตรสวรรค์!”
  ทุกคนตกใจกับปรากฏการณ์ประหลาดแต่ที่น่าตกใจยิ่งกว่าก็คือลูกตาบนท้องฟ้านั้นขยับไปมา มันมองต้วนเฉียนกับไป่จางอีกด้วย ทั้งสองกลัวจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง ทั้งคู่รู้สึกราวกับถูกมองด้วยเทพแห่งความตาย!
  เนตรยักษ์มองผู้ออกภารกิจฉีและหลับตาช้าๆก่อนจะเบิกโพลงในพริบตาต่อมาผู้ออกภารกิจฉีได้แต่ตะโกนด้วยความกลัวขณะที่กลายเป็นเถ้าถ่าน
  “อย่านะะะะะ!”
  จ้าวเทวะระดับหนึ่งตายคาที่!ต้วนเฉียนกับไป่จางใจสั่นด้วยความกลัว ซือหยูเซี่ยนกลับมีพลังที่น่ากลัวยิ่งกว่าเดิม!
  “ศิษย์น้องซือโปรดไว้ชีวิตพวกเราด้วย”
  ต้วนเฉียนมองซือหยูด้วยใบหน้าซีดเผือดเขาราวกับแกะสิ้นหวังที่รอคอยให้ซือหยูชี้ชะตา
  ไป่จางเองก็ไม่ต่างกันเขารีบอ้อนวอนกับซือหยู
  “ทุกอย่างก็แค่เรื่องเข้าใจผิดเราไม่รู้ว่าเจ้า…”
  เขาพูดได้เท่านี้แต่ก็หยุดไปทันควันเพราะเขาไม่กล้าจะพูดต่อ เขาเพียงแค่มองซือหยูด้วยความหวาดกลัว
  ซือหยูหันไปถาม
  “เจ้าไม่รู้อะไร?ไม่รู้ว่าข้าแข็งแกร่งขนาดนี้รึ? หึหึ ถ้าข้าไม่มีพลังแบบนี้ มิใช่ข้าหรอกรึที่เป็นฝ่ายนอนอยู่กับพื้น? จะคิดอ่านประการใด ข้าก็ไม่มีเหตุผลให้ไว้ชีวิตพวกเจ้า”
  พวกเขาเห็นความลับของซือหยูมากมายพวกเขาเห็นกับตาว่าซือหยูสังหารผู้จ่ายภารกิจของตำหนัก ดังนั้นซือหยูจะปล่อยทั้งสองให้มีชีวิตอยู่ไม่ได้
  หลังตัดสินใจเรียบร้อยซือหยูโบกมือ เนตรบนนภาเหลือบมองชายทั้งสอง มันกระพริบหนึ่งครั้ง ทั้งสองกลายเป็นเถ้าถ่านทันที จากนั้นเนตรสวรรค์ก็หายไปเผยให้เห็นดวงจันทร์ที่อยู่ด้านหลัง
  ซือหยูมองเถ้าถ่านของต้วนเฉียนและไป่จางเขาเห็นว่าไม่มีสิ่งใดเหลืออยู่เลย แม้แต่แหวนมิติก็ถูกเนตรสวรรค์ทำลายไป
  ซือหยูก้าวไปข้างหน้าเขาเดินไปหาซากเถ้าของผู้จ่ายภารกิจฉี เขาพบก้อนหินขนาดเท่าหัวแม่มือในกองเถ้า มันเรียบลื่นเป็นประกาย มีลวดลายโลหิตมากมายบนหิน มันคล้ายกับเส้นใยบนใบไม้
  “นี่มันอะไร?”
  ซือหยูตกตะลึงเพราะหายากที่จะมีสิ่งที่ไม่เกิดความเสียหายจากพลังทำลายล้างของเนตรสวรรค์
  ซือหยูสนใจมันและใช้มือเรียกขึ้นมาดูมันอบอุ่นราวกับหยกเพลิง มันทำให้เขารู้สึกสบายใจ เมื่อซือหยูกำลังจะดูมันใกล้ๆก็เลิกคิ้วขึ้นมา เขาสัมผัสได้ถึงอันตราย
  เขาโยนก้อนหินไปไกลแต่ก็สายไปแล้ว ลำแสงสีเทาพุ่งออกมาจากมันเข้าสู่ระหว่างคิ้วของซือหยู มันพุ่งตรงไปที่ส่วนลึกสุดของวิญญาณ!
  “เจ้าหนู!เจ้ายังเด็กเกินไปที่จะฆ่าข้า!”novel-lucky
  เสียงอันคุ้นเคยดังมาจากส่วนลึกของวิญญาณ
  ผู้จ่ายภารกิจฉียังไม่ตาย!วิญญาณของเขาออกจากร่างมาซ่อนตัวอยู่ในหินประหลาดนี่!
  “หากเจ้าทำลายร่างกายข้าข้าก็จะเอาร่างกายเจ้าไปเป็นสิ่งชดเชย!”
  ผู้จ่ายภารกิจฉีกล่าวอย่างเศร้าโศก
  แต่ในตอนนั้นเองเขาก็ตกตะลึงเมื่อเห็นว่าซือหยูใจเย็นเท่าใด ยังมีรอยยิ้มจากมุมปากที่น่าขนลุกขนพองตามมาอีก เขาตะโกน
  “มิติวิญญาณ!”
  สัญลักษณ์ต่างๆโอบล้อมดวงวิญญาณผู้จ่ายภารกิจฉีที่เข้ามาในร่างซือหยู
  ผู้จ่ายภารกิจฉีถูกดูดเข้าไปในความมืดมิดเขาไม่มีโอกาสได้ตอบโต้!
  เมื่อเขามองรอบๆก็เห็นแต่สีดำสนิท
  “ที่นี่มันที่ไหน?ซือหยูเซี่ยน เจ้าทำอะไรข้า?”
  ฟึ่บ!
  ในตอนนั้นเองมีคนปรากฏหน้าเขาอย่างเงียบๆ เขายืนมือไพล่หลัง
  “โยะโฮ่!มื้อค่ำมาแล้ว ใยเจ้าไม่ปรากฏตัวออกมาเล่า?”
  เสียงนั้นดังก้องในที่มืดเสียงหัวเราะแปลกๆดังมาจากความมืดมิดไร้จุดจบ
  “เจ้าเด็กมนุษย์ส่งของบำรุงมาให้ข้าหรือ?ไม่เลว ไม่เลว! แค่สองเดือน เจ้าส่งวิญญาณจ้าวเทวะให้ข้ามาสามดวง เจ้าหนู เจ้าช่างรักษาคำพูดดียิ่งนัก!”
  เทพปีศาจตกลงกับซือหยูโดยบอกว่าซือหยูจะต้องให้วิญญาณจ้าวเทวะกับเขาเดือนละดวง โดยที่เทพปีศาจจะต้องช่วยให้ซือหยูบ่มเพาะกายามังกรเป็นสิ่งตอบแทน
  เมื่อซือหยูมองดูหยดโลหิตก็เห็นว่ามันมีขนาดใหญ่กว่าเดิมมันค่อนข้างอวบอ้วนขึ้นมา
  “เจ้าฟื้นฟูมาแล้วนี่!”
  ซือหยูมอง
  เขาพูดต่อ
  “นี่วิญญาณดวงที่สามที่ข้าหามาข้าเชื่อว่าเจ้ายังจำข้อตกลงของเราได้”
  “วะ!ข้าคือราชันเทพ! ข้าเคยถอนคำพูดด้วยเรอะ? สบายใจได้ ต ราบเท่าที่เจ้าได้สายใยมังกรมา ข้าจะทำให้กายามังกรของเจ้าพัฒนาโดยเร็ว…”
  หยดโลหิตให้สัญญา
  ซือหยูมองรอบๆก่อนจะพูดอย่างจริงใจ
  “แหม่…ราชันเทพกำลังจะมีช่วงเวลาดีๆข้าคงต้องไปแล้ว ครั้งต่อไปที่ข้ามา ข้าจะนำสายใยมังกรมาด้วย”
  แต่ก่อนที่ซือหยูจะไปหยดโลหิตตะโกนขึ้นมาทันที
  “ช้าก่อน!พลังข้างนอกนั่นมันอะไรกัน?”
  ซือหยูตกใจกับคำถามเขานำหินโลหิตมายังมิติวิญญาณ
  “ศิลาเลือดศักดิ์สิทธิ์บำรุงวิญญาณเรอะ?”
  หยดโลหิตพูดด้วยความยินดีมันกระโจนเข้าใส่
  ซือหยูระวังตัวอยู่แล้วก้อนหินหายไปจากมิติวิญญาณกลับสู่กายเนื้อของซือหยู หยดโลหิตได้แต่คว้าความว่างเปล่า มันแยกเขี้ยวดุ
  “เจ้าหนูเอามันให้ข้า…ไม่งั้น…ข้าจะร้องไห้ต่อหน้าเจ้า!”
  ซือหยูตอบอย่างใจเย็น
  “เจ้าร้องจนตายก็ไร้ผลบอกมาว่าศิลาเลือดศักดิ์สิทธิ์บำรุงวิญญาณคืออะไร?”
  ซือหยูสนใจมันโดยเฉพาะถ้ามันทำให้หยดโลหิตนี่ร้อนรนได้! เขาสงสัย…มันคือสมบัติยอดเยี่ยมงั้นรึ?
  ถ้าหากหยดโลหิตมีดวงตามันก็คงจะกลอกตาใส่ซือหยูในตอนนี้!
  “มันไม่ใช่ของมีค่าอะไรหรอกมันก็แค่หินพลังประหลาด เจ้าหนู มันไม่มีประโยชน์กับเจ้าหรอก แต่มันใช้การได้ดีกับข้า เอามันมาให้ข้าเร็ว!”
  หยดโลหิตสั่ง
  ซือหยูเฉลียวฉลาดอยู่แล้วเขารู้ว่าหยดโลหิตยังปิดบังเรื่องราวกับเขาอยู่ สิ่งนี้จะต้องเป็นของมหัศจรรย์อย่างแน่นอน!
DND.848 – ถึงเมืองเทียนหยา
  “เจ้าไม่คิดจะบอกข้าว่ามันคืออะไรสินะ?”
  ซือหยูถามขณะที่ลูบก้อนหินเขาบอกได้เลยว่ามันเป็นสิ่งล้ำค่า
  หยดโลหิตหันหลบตาและพูดอย่างไม่สบอารมณ์
  “ข้าบอกไปแล้วว่ามันเป็นหินธรรมดาเจ้าหนู ทำไมเจ้าขี้ระแวงขนาดนี้? เจ้าไม่เชื่อใจข้าเลยเรอะ? เมื่อก่อน ข้าทำลายทั้งสวรรค์และปฐพี ข้าสังหารทุกสิ่งจนท้องนภาย้อมสีเลือด คนที่ยิ่งใหญ่อย่างข้าจะหลอกเด็กอย่างเจ้าไปทำไม?”
  ถึงมันจะพูดเช่นนั้นมันก็มองศิลาเลือดศักดิ์สิทธิ์บำรุงวิญญาณไม่วางตา ซือหยูจึงหันไปถามผู้จ่ายภารกิจฉี
  “เจ้าได้มันมาจากที่ไหน?”
  ผู้จ่ายภารกิจฉีตอบ
  “ถ้าเจ้าอยากรู้ก็ต้องปล่อยข้าออกไปก่อนมิเช่นนั้นเจ้าจะไม่มีวันรู้ว่าข้าได้มันมาจากที่ไหน”
  “คุมวิญญาณ!”
  เมื่อเสียงของซือหยูดังดวงตาของเขาได้เปล่งแสงสีเงิน
  ผู้จ่ายภารกิจฉีไม่ทันระวังขณะที่กำลังจะโต้กลับ มิติวิญญาณรอบกายเขาก็หยุดนิ่งทำให้เขาขยับไม่ได้
  แม้แต่จิตใจของเขาก็เชื่องช้าลง!หากเจ้าหมายไม่ตอบโต้ ซือหยูก็ควบคุมวิญญาณได้โดยง่าย
  “เจ้าเอามันมาจากไหน?”
  ซือหยูถามอีกครั้ง
  ผู้จ่ายภารกิจฉีตอบอย่างไม่เต็มใจ
  “ข้าซื้อมาจากศิษย์ในที่ไปแดนมณีมหัศจรรย์เขาอยากจะขายให้ตลาดมืด แต่ข้าเจอก่อนก็เลยซื้อมาเอง”
  แดนมณีมหัศจรรย์รึ?ที่นั่นอีกแล้ว! ซือหยูตาลุกวาวเมื่อได้ยินเรื่องที่นี่
  “แล้วสิ่งนี้คืออะไร?เจ้ารู้ไหมว่ามันทำอะไรได้บ้าง?”
  “ข้าไม่รู้ข้าไม่เห็นบันทึกโบราณเขียนเกี่ยวกับมันเลย ข้าแค่รู้ว่ามันแข็งมากจนไม่มีสิ่งใดตัดได้ นี่เป็นเหตุที่ศิษย์ในคนนั้นอยากจะขายในราคาไม่แพง”
  หยดโลหิตถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อได้ฟังคำตอบของผู้จ่ายภารกิจฉีมันแสยะยิ้ม
  “เจ้าได้ยินหรือไม่?ข้าบอกแล้วว่ามันไม่มีค่า แต่เจ้ากลับมองมันเป็นสมบัติ”
  ซือหยูทำเป็นไม่ได้ยินหยดโลหิต
  “ข้าจะส่งวิญญาณนี้ให้กับเจ้า”
  หลังพูดจบร่างวิญญาณของซือหยูสลายไป หยดโลหิตผงะเมื่อเห็นว่าซือหยูจะออกจากมิติวิญญาณ มันพยายามหยุด
  “เดี๋ยวก่อน!เจ้าหนู ทิ้งหินนั่นให้ข้า!”
  ซือหยูไม่สนใจหยดโลหิตได้แต่ต่อรอง
  “เจ้าไม่อยากรู้ว่ามันคืออะไรเรอะ?ถ้าเจ้าจะให้ข้าสักครึ่ง ข้าจะบอกที่มาของมันเดี๋ยวนี้เลย ข้าจะบอกวิธีใช้มันกับเจ้าด้วย”
  ให้ครึ่งหนึ่งเรอะ?ซือหยูเพียงแค่หัวเราะเบาๆและออกจากมิติวิญญาณขณะตะโกนกลับ
  “ข้าไม่ต้องการเจ้า!ข้าจะหาทางเข้าใจมันเอง”
  จากนั้นซือหยูก็หายไปจากมิติวิญญาณ
  “อ๊ากกก!ไอ้เด็กบัดซบนี่โง่ยิ่งกว่าจิ้งจอกพันปี! ข้าแค่อยากจะได้ประโยชน์เล็กๆน้อยๆเท่านั้น! ,ันคิดว่าง่ายที่ข้าจะได้มันมาเรอะ?”
  หยดโลหิตโมโหร้ายมันบินไปมาด้วยความโกรธเกรี้ยวราวกับเสียของรักของหวง!
  …
  ที่โลกภายนอกซือหยูลืมตาขึ้นและสังเกตหินในมืออย่างละเอียด เขาพบลวดลายของโลหิต
  “ศิลาเลือดศักดิ์สิทธิ์บำรุงวิญญาณรึ?ถึงเมืองเทียนหยาเมื่อใด ข้าจะลองดูว่าจะหาบันทึกโบราณที่เขียนถึงมันได้จากที่ไหน ข้าต้องรู้ต้นตอของมัน! ถ้าเทพปีศาจอยากได้นัก มันจะต้องไม่ใช่ของธรรมดาๆแน่!”
  ซือหยูอารมณ์ดีขึ้นมาทันที
  เขาเก็บหินและคุกเทวะห้าธาตุจากนั้นจึงบินออกไปจากที่นี่ การต่อสู้เมื่อครู่ทำให้เกิดความวุ่นวายกับพื้นที่รอบๆ ต่อให้ยอดฝีมือไม่รับรู้ การอยู่ที่นี่ก็อาจจะทำให้สัตว์อสูรเข้ามาได้!
  หนึ่งวันผ่านไปหลายคนที่มีรังสีพลังแข็งแกร่งปรากฏตัวในความมืด พวกเขาสวมเสื้อผ้าแสดงตัวเป็นคนตำหนักโลหิต
  หนึ่งในนั้นคือเจ้าตำหนักคงฉานและจ้าวหอหลายคนที่ตามนางมาพวกนางร่อนลงและค้นหาจนทั่ว
  “ท่านเจ้าตำหนักข้าเจอกองเถ้าถ่าน”
  เหล่าจ้าวหอเจอซากเถ้าในไม่นาน
  เจ้าตำหนักคงฉานเข้าไปดูและจ้องมองด้วยแววตาสับสนความเยือกเย็นปรากฏบนใบหน้า
  “ท่านเจ้าตำหนักนี่เป็นของผู้จ่ายภารกิจฉีที่หายตัวไปหรือไม่?”
  เจ้าตำหนักคงฉานพยักหน้า
  “นี่แหละสิ่งที่เขาเหลืออยู่เขาตายแล้ว!”
  เมื่อได้ฟังคำประกาศอันน่าเศร้าจิตสังหารปรากฏบนเหล่าจ้าวหอที่มากับนาง หนึ่งในนั้นถามทันที
  “ใครกันที่โอหังหยาบช้าบังอาจสังหารคนของตำหนักโลหิตเรา?”
  ตำหนักโลหิตคือหนึ่งในสองผู้ปกครองดินแดนพรสวรรค์การสังหารคนในตำหนักโลหิตนั้นก็เทียบเท่ากับการเหยียดหยามทั้งตำหนักโลหิต!
  “เจ้าตำหนักคงฉานมันบังอาจมาก! เราต้องหามันให้เจอเพื่อปกป้องเกียรติยศของตำหนักโลหิตเรา…”
  อีกหนึ่งคนพูดออกมา
  เจ้าตำหนักคงฉานครุ่นคิดขณะที่มองกองเถ้านางไม่ฟังว่าจะมีใครพูดอะไรออกมาบ้าง
  ไม่นานนางก็พูดเบาๆ
  “ในเถ้าสี่กองนี้มีหนึ่งคนถูกสังหารด้วยวิชาอสูร ทั้งร่างกายและวิญญาณถูกทำลายหายไป ส่วนที่เหลือถูกสังหารโดยวิชาประหลาด กองเถ้ายังมีเสี้ยวพลังสวรรค์พิโรธ เป็นฝีมือกู้ไทซูจากตำหนักเมฆาม่วงที่สังหารพวกเขารึ?”
  มีไม่กี่คนในดินแดนพรสวรรค์เท่านั้นที่เข้าถึงฎีกาสวรรค์พิสุทธิ์และหนึ่งในนั้น มีเพียงกู้ไทซูที่สามารถควบคุมสวรรค์พิโรธต่อสู้กับศัตรูได้! เขาคือยอดฝีมือหมายเลขหนึ่งแห่งดินแดนพรสวรรค์ นั่นทำให้เขาเทียบได้กับเจี๋ยนอู๋เชิงในอดีต
  ฎีกาสวรรค์พิสุทธิ์ของเขาอาจแทนที่สวรรค์และลงทัณฑ์แทนได้ทุกคนรู้เรื่องนี้ดี
  “เป็นฝีมือตำหนักเมฆาม่วงรึ?”
  เจ้าตำหนักคงฉานคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มากนางพูดอย่างลึกล้ำ
  “พวกเจ้าอย่าเพิ่งเผยเรื่องที่ผู้จ่ายภารกิจฉีตายเรื่องนี้ถือว่าเป็นความลับของตำหนัก ใครที่กล้าเพร่งพรายจะถูกลงโทษสถานหนัก”
  เหล่าจ้าวหอที่ตามมาเริ่มระแวง…เกิดอะไรขึ้น?ทำไมจู่ๆเรื่องนี้ถึงเป็นความลับล่ะ?
  “เก็บกองเถ้าเสียถ้าหากเป็นจริงอย่างที่ข้าคิด ความสงบสุขของดินแดนพรสวรรค์ก็เป็นอันจบลง”
  เจ้าตำหนักคงฉานกล่าว
  ซือหยูไม่รู้เลยว่าความไม่ตั้งใจของเขาได้ทำให้ความผิดไปตกอยู่กับกู้ไทซูไม่นานเขาก็ถึงเมืองเทียนหยาหลังจากเดินทางมาสามวันเต็ม เมืองเทียนหยาคือเมืองใหญ่ที่อยู่ชายแดนระหว่างดินแดนพรสวรรค์กับเขตกลาง
  ทั้งสองดินแดนมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีต่อกันดินแดนพรสวรรค์เคยเป็นหนึ่งในห้าเขตของเขตกลาง แต่คลั่งสงครามภูติผีกับมนุษย์เมื่อร้อยปีก่อน พวกเขาก็ได้ทรยศเขตกลางและประกาศเอกราชของตัวเอง
  ยิ่งไปกว่านั้นยอดฝีมือมากมายยังก่อตั้งสำนักขึ้นมา หนึ่งในยอดฝีมือนั้นคือกู้ไทซูที่เพิ่งจะปรากฏตัวและเจี๋ยนอู๋เชิงที่ปรากฏตัวเมื่อร้อยปีก่อน
  ในอดีตเขตกลางได้จู่โจมดินแดนพรสวรรค์ แต่หลังากการปรากฏตัวของเจี๋ยนอู๋เชิง เขตกลางจึงยอมเจรจาสงบศึก ทั้งสองสัญญาว่าจะอยู่อย่างสงบ ตั้งแต่ตอนนั้น เขตกลางก็มิได้รับอนุญาตให้จู่โจมดินแดนพรสวรรค์อีก
  ดินแดนพรสวรรค์ยังคงอยู่ภายใต้การปกครองของเขตกลางโดยปริยายซึ่งเกิดจากการแบ่งเขตแดนทั้งเก้า และความเป็นจริง เขตกลางมิอาจปกครองดินแดนพรสวรรค์ได้
  ด้วยเหตุนี้เขตกลางจึงพยายามส่งคนไปเข้าสำนักที่ดินแดนพรสวรรค์ปกครองเพื่อที่จะยึดดินแดนพรสวรรค์กลับคืนมาในภายหลัง พวกเขาหวังว่าแผ่นดินจะเป็นปึกแผ่นอีกครั้ง
  ส่วนเมืองเทียนหยาที่เป็นเมืองชายแดนระหว่างสองฝ่ายนั้นมีรผู้คนทุกประเภทรวมถึงอันธพาลจากหลากหลายสำนักจากเขตกลาง พวกเขามาเพื่อหาข้อมูลสถานการณ์ของดินแดนพรสวรรค์ ไม่มีใครรู้เลยว่ามีสายลับจากเขตกลางซ่อนอยู่ในเมืองกี่คน สำนักมืดหลบซ่อนอยู่ในเงามากเท่าใดก็มิอาจถูกรับรู้ได้!
  เวลานี้สำนักเปิดควบคุมการค้ามากมายในเมืองเทียนหยาเพราะเมืองเทียนเหยาเคยเป็นสถานที่แลกเปลี่ยนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเป็นลำดับห้าของเขตกลาง การค้าเฟื่องฟูอย่างมากในเมืองนี้ ร้านรวงเล็กใหญ่ล้วนหวังพึ่งเมืองเทียนหยาในการค้า
  ด้วยเหตุนี้จึงมิได้มีเพียงแค่ขาใหญ่อย่างตำหนักโลหิตและตำหนักเมฆาม่วงที่ทำการค้าที่นี่สำนักใหญ่อีกสิบหกสำนักก็ต้องมาที่เมืองนี้ เขตกลางเองก็มิอาจมองข้ามได้ พวกเขามีธุรกิจที่เมืองนี้มากมายเช่นกัน
  เกือบครึ่งธุรกิจของเมืองเทียนหยาเป็นของเขตกลางส่วนอีกครึ่งแบ่งเป็นของดินแดนพรสวรรค์
  ในอดีตศูนย์การค้านี้เป็นของดินแดนพรสวรรค์เท่านั้น แต่ต่อมาเขตกลางก็ได้ชิงธุรกิจไปครึ่งส่วน บอกได้ว่าเขตกลางนั้นกดขี่ดินแดนพรสวรรค์เท่าใดจากเมืองเทียนหยา
  ธุรกิจดินแดนพรสวรรค์ทั้งหมดได้รับผลกระทบไม่ง่ายที่จะอยู่รอดได้ ยากที่ซือหยูตกทำให้ร้านยาตงหลินกลับมาเฟื่องฟู
  ซือหยูมองเมืองเทียนหยาจากระยะไกลมันดูทอดยาวถึงจุดจบของโลก มันทอดยาวจนสายตามิอาจมองเห็น มันกว้างกว่าเทือกเขาครามอย่างน้อยร้อยเท่า!
  ถ้าหากซือหยูไม่เป็นภูติเขาคงต้องใช้เวลาครึ่งปีในการขึ้นเหนือจากทิศใต้! ต่อให้ฐานพลังมาถึงขอบเขตภูติแล้ว เขาก็ยังต้องใช้ครึ่งวันในการเดินทางทั้งเมือง
  ซือหยูที่ยืนหน้าเมืองรู้สึกได้เลยว่าตัวเขาเองนั้นเล็กจ้อยเพียงใดเขาได้ยินเสียงคนดังลั่นในเมือง ทะเลฝูงชนปรากฏในสายตา
  มียอดฝีมือมหาศาลในเมืองภูติชั้นต้นและชั้นกลางมีไปทั่วทุกหนทุกแห่ง ซือหยูยังเห็นภูติชั้นสูงที่ฐานพลังเหนือกว่าภูติระดับเจ็ดอีกด้วย
  เขาสัมผัสพลังของจ้าวเทวะได้มากมายและนี่เป็นเพียงยอดของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น! เมืองนี้อาจจะมีอสูรเนรมิตรอยู่ด้วยซ้ำ!
  เขาเริ่มระแวงแม้พลังเขาจะค่อนข้างยอดเยี่ยม แต่ก็ยังคงเป็นปัญหาหากต้องเจอกับคนที่ชั่วร้าย! เขาจะไม่ทำตัวเด่นที่นี่
  เขาตัดสินใจไปยังเรือนของผู้จัดการร้านต่างๆตามข้อมูลที่ได้รับ ซือหยูจะต้องนำตราไปยังที่ตั้งของฐานตำหนักโลหิตในเมืองเทียนหยา
  ผู้จัดการใหญ่ควรจะอยู่ที่นั่นและหน้าที่ของเขาก็คือดูแลทุกธุรกิจในเมืองเทียนหยา เขามาอยู่ที่นี่ได้ก็เพราะความเชื่อใจจากเจ้าตำหนักม่อเทียนฉวน คนเหล่านี้จึงภักดีต่อนางมาก
  ทุกคนที่มาประจำการที่นี่จะต้องพบผู้จัดการใหญ่ก่อนฐานตำหนักโลหิตนั้นตั้งอยู่กลางเมืองเทียนหยา มันเป็นอาคารเก้าชั้น ที่นี่คือสถานที่ที่เฟื่องฟูที่สุดในเมืองเทียนหยา สามารถเห็นได้ว่าตำหนักโลหิตนั้นยิ่งใหญ่เพียงใด
  มีเกาะลอยฟ้าตรงข้ามตึกเก้าชั้นนั่นคือฐานของตำหนักเมฆาม่วง
  ส่วนเขตกลางพวกเขามิได้มีฐานที่ตั้งเพราะเจ้าของธุรกิจมาจากหลายแห่งในเขตกลาง พวกเขาเหล่านั้นมิได้รวมตัวกันเป็นฝักฝ่าย นี่เป็นเหตุให้ตำหนักโลหิตกับตำหนักเมฆาม่วงดูมีอำนาจกว่า
  ตึกเก้าชั้นประดับประดาไปด้วยหยกและทองคำซือหยูมองดูมันใกล้ๆและพบผนึกค่ายกลปกคลุมผิวของอาคาร
  เขารู้สึกไม่ปลอดภัยอย่างมากกับค่ายกลเหล่านี้ต่อให้จ้าวเทวะชั้นต้นพยายามเข้าไป เขาก็จะถูกสังหารในพริบตาเดียว ซือหยูทำได้แค่มายืนหน้าอาคารโดยไม่กล้าผลีผลามเข้าไป
  ในตอนนั้นเองทหารวัยกลางคนเดินออกมา เขาเป็นจ้าวเทวะระดับหนึ่ง
  จ้าวเทวะระดับหนึ่งเป็นแค่ทหารยามของที่นี่!ฐานเมืองเทียนหยาพิเศษโดยแท้จริง คนที่นี่ยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าคนในเขาวิญญาณจรัส!
  “เจ้าเป็นศิษย์นอกจากตำหนักโลหิตงั้นรึ?”
  ทหารวัยกลางคนถามซือหยูเขาประเมินจากชุดที่ซือหยูสวมใส่
  ซือหยูพยักหน้าและหยิบตราประจำตัวออกมา
  “ข้าเป็นศิษย์นอกนามว่าซือหยูเซี่ยนข้ามาที่นี่เพื่อที่จะพูดคุยกับผู้จัดการใหญ่”
  ชายวัยกลางคนเดินออกมาจากอาคารและรับตราของซือหยูไปเขาเริ่มตรวจดู
  “ผู้จัดการใหญ่กำลังปิดตัวบ่มเพาะพลังเขายังหยุดไม่ได้ ถ้าหากไม่ใช่เรื่องใหญ่ เจ้าไปหารองผู้จัดการก็ได้”
  ผู้จัดการใหญ่ก็คือเจ้าของร้านใหญ่ที่ผู้จ่ายภารกิจฉีกล่าวถึงเขาทำหน้าที่ดูแลร้านทุกร้านโดยรวม
  รองผู้จัดการใหญ่รึ?ซือหยูคิดว่าหน้าที่นี้จำเป็น เพราะผู้จัดการใหญ่มิอาจทำหน้าที่ทั้งหมดได้ด้วยตัวเอง ดังนั้นการมีรองคอยช่วยจึงเป็นสิ่งจำเป็น
  “ข้าแค่มาทำภารกิจเป็นเจ้าของร้านตงหลินท่านโปรดนำทางข้าจะได้หรือไม่?”
  ซือหยูถาม
  “ร้านยาตงหลินรึ?”
  ชายวัยกลางคนคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาดูไม่มีสีหน้าใดเลย นั่นก็เพราะตำหนักโลหิตมีร้านระดับต่ำมากมาย เช่นเดียวกับร้านระดับกลางและระดับสูง
  แต่ดูเหมือนชายวัยกลางคนจะนึกขึ้นได้
  “โอ้…เจ้าพูดถึงร้านโอสถที่เป็นหนี้อยู่ตลอดน่ะรึ?”
  ซือหยูงุนงงดูเหมือนว่าร้านยาตงหลินจะมีชื่อเสียงไม่ดีเลย!
  “ใช่แล้ว…”
  ชายวัยกลางคนมองซือหยูด้วยความเวทนา
  “น้องชายครั้งหน้าถามผู้เฒ่าของเจ้าก่อนจะเลือกร้านเถอะ ร้านตงหลินอยู่ห่างไกลในเขตคนน้อย มันมิได้ขายดี ยากที่จะพัฒนา”
  เขาพูดต่อ
  “มันติดหนี้อยู่แล้วต่อให้เปิดร้านค้าไป หนี้ก็ยิ่งทวีกว่าเดิม ไม่มีใครกล้าเป็นเจ้าของร้านนั้นมาหนึ่งปีแล้ว ผู้จัดการใหญ่ก็ตัดสินใจว่าจะปิดมันในอีกสองปี…”