DND.849 – ป่ามารร้าง
ซือหยูมุมปากบิดเบี้ยวเขาได้เลือกร้านที่ไม่เคยทำกำไรและกำลังจะปิดตัวลงในอีกไม่นาน เขาโชคร้ายจริงๆ!
“ถ้าเจ้ามาในอีกสองเดือนเจ้าอาจจะมีตัวเลือกอื่น แต่หากเจ้ามาแล้วก็ไม่มีอะไรที่แก้ไขได้ ศิษย์นอกคนอื่นๆมาที่นี่ก็เพื่อเก็บคะแนน แต่คนอย่างเจ้าที่เลือกร้านที่แย่ที่สุดอาจจะเสียคะแนนทั้งหมดที่มีไปก็ได้”
ทหารวัยกลางคนค่อนข้างใจดีเขารู้สึกแย่ไปกับซือหยู
“ขอบคุณมากที่ชี้แนะข้าแต่หากข้ามาถึงที่นี่แล้ว ข้าจะทำให้ดีที่สุด…”
ซือหยูกล่าว
ทหารวัยกลางคนหัวเราะ
“เจ้าคิดแบบนั้นก็ดีแล้วข้าทดสอบตราของเจ้าแล้ว เจ้าไปหารองผู้จัดการใหญ่กับข้าได้”
เขานำซือหยูไปยังอาคารแปดชั้นที่เป็นที่ทำงานของรองผู้จัดการใหญ่าซือหยูคิดว่าตึกนี้ควรจะไม่มีอะไรมากนักและจะได้เจอรองผู้จัดการใหญ่ง่ายๆ
แต่เขาไม่คิดเลยว่ามันจะเต็มไปด้วยผู้คนมากมายหลายช่วงวัยทุกคนสวมเสื้อผ้าราคาแพงและดูไม่เหมือนกับคนทั่วไปสักนิดเดียว
“ทั้งหมดเป็นเจ้าของร้านที่รอพบรองผู้จัดการใหญ่เจ้ามองหาที่นั่งรอจะดีกว่า”
ทหารวัยกลางคนกล่าว
ซือหญูพยักหน้ามีหลายแห่งที่ยังว่าง ซือหยูจึงเดินไป แต่ทหารคนเดิมก็รีบเข้ามาหยุดซือหยู
“อย่าไปที่นั่นมันเป็นที่สำรองให้เจ้าของร้านระดับสูงสามแห่ง เจ้าของร้านระดับต่ำแบบเจ้าอย่าไปมีเรื่องกับพวกเขาจะดีกว่า มิเช่นนั้นเจ้าจะลำบากในเมืองเทียนหยา”
ซือหยูรู้ว่าร้านค้าในเมืองเทียนหยาแบ่งเป็นสามระดับระดับนั้นจัดตามกำไรในแต่ละเดือน ร้านที่มีกำไรระหว่างสามแสนถึงหนึ่งล้านคือร้านระดับกลาง ส่วนที่กำไรมากกว่าแก้วล้านดวงถือเป็นร้านระดับสูง
ส่วนร้านอื่นที่กำไรน้อยกว่าสามแสนนับเป็นร้านระดับต่ำทั้งหมดซือหยูได้รับร้านที่มีระดับต่ำสุด
“เจ้าของร้านสามคนนี้ดูแลร้านวัตถุดิบจากสัตว์อสูรร้านอาหาร และร้านโอสถ พวกเขาแต่ละคนมีร้านที่รุ่งเรืองที่สุดในย่าน พวกเขามีสิทธิ์จะเข้าพบรองผู้จัดการใหญ่เมื่อใดก็ได้”
ซือหยูพูดถาม
“เราต้องรับฟังคำสั่งทั้งหมดจากพวกเขาหรือไม่?”
ทหารวัยกลางคนตอบ
“ถ้าเจ้าไม่อยากมีปัญหาเจ้าก็ควรจะทำตาม หากมันไม่อุกอาจนัก”
“แล้วถ้าข้าปฏิเสธจะเป็นยังไง?”
ทหารวัยกลางคนมองซ้ายมองขวาก่อนจะตอบ
“พวกเขามีเครือข่ายผู้คนมากมายนักแค่คำพูดเดียวก็ทำให้พ่อค้าโอสถงดขายของให้เจ้า ที่ผ่านมาเคยเกิดเรื่องนี้ไปแล้วหลายครั้ง เจ้าอย่าไปลูบคมพวกเขาเลย”
“ขอบคุณมากข้ารู้แล้วว่าต้องทำยังไง”
ซือหยูพยักหน้าและไปหาที่อื่นนั่งเงียบๆ
เอี๊ยด!
ในตอนนั้นเองประตูเปิดออก คนทั้งสามเดินออกมา มีบุรุษสองสตรีหนึ่งที่เป็นวัยกลางคนทั้งหมด พวกเขาเดินมาอย่างยิ่งใหญ่ เหล่าเจ้าของร้านมองพวกเขาพร้อมกันโดยแสดงความนับถือ
ในตอนนั้นเองเสียงเบาๆดังที่ข้างหูซือหยู
“นี่แหละเจ้าของร้านสามคนนั้นพวกเขาพูดคุยกับรองผู้จัดการใหญ่มานานแล้ว ต้องเป็นเรื่องสำคัญแน่”
“คงจะเป็นเช่นนั้นตามกฎ นี่เป็นเวลาสังเวยป่ามารร้างอีกแล้ว รองผู้จัดการใหญ่น่าจะเป็นห่วงว่าจะขาดทุน เพราะเราต้องให้ส่วนของธุรกิจหนึ่งส่วนในเมืองเทียนหยากับคนเขตกลาง”
เจ้าของร้านอีกคนกล่าว
“เจ้าไม่ต้องเดาอยู่หรอกมันต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว เขตกลางได้ส่วนของการค้าไปในการสังเวยป่ามารร้างคราวก่อน จากนั้นเลยใช้การค้าขยายตัวเอง ตำหนักโลหิตของพวกเราขาดทุนหนัก ร้านโอสถย่ำแย่ ร้านโอสถมากมายของเราแทบจะไม่ทำกำไร!”
เจ้าของร้านอีกคนกล่าว
“ร้ายยากลิ่นสวรรค์ที่ทำกำไรสูงสุดกำไรลดลงไปสามในสิบส่วนจนเกือบเป็นร้านระดับกลาง!ดูสีหน้าเจ้าของร้านสิ! เขาเพิ่งถูกตำหนิมาไม่ผิดแน่…”
“หึหึคนอย่างเจ้าของร้านเฟยก็มีวันร้ายๆเหมือนกันสินะ! มันเอาแต่ก่อเรื่องสร้างปัญหาให้ร้านยาอื่น มีร้านระดับกลางหลายร้านที่จะขึ้นเป็นร้านระดับสูงแต่ถูกมันขวาง! แต่ตอนนี้มันเกือบจะหลุดจากระดับสูงแล้ว! งามหน้านัก!”
เจ้าของร้านอีกคนกล่าว
“อย่าไปหัวเราะเยาะเขาเลยคนอารมณ์ร้ายนั่นอาจจะคิดอยากชุมนุมเจ้าของร้านยาแล้วก็ปล้นโอสถมาก็ได้ เพื่อที่จะได้เป็นร้านระดับสูงต่อไปยังไงล่ะ”
เจ้าของร้านอีกคนเตือน
เมื่อซือหยูได้ยินพวกเขาพูดเรื่องเหล่านี้เขามองตามสายตาไปพบชายวัยกลางคนที่เดินอยู่ด้านหลังเจ้าของร้านสองคน สีหน้าของทั้งสามดำมืด แต่เขามีสีหน้าแย่ที่สุด
ซือหยูขมวดคิ้วสงสัยว่าเขาจะมาผิดเวลา
หลังเจ้าของร้านทั้งสามจากไปเจ้าของร้านคนอื่นได้เข้าไปหารองผู้จัดการใหญ่ เมื่อผ่านไปครึ่งวันจึงถึงคราวของซือหยู
หลังจากซือหยูเข้าไปในห้องเขาก็พบชายแก่ที่กำลังอ่านตำราขาดๆ เขาค่อนข้างเพ่งสมาธิอย่างมาก เขาขมวดคิ้วอย่างเคร่งเครียด เขากำลังเพ่งสายตากับตำราจนไม่รู้ตัวว่าซือหยูเข้ามาแล้ว
ซือหยูมองปกตำราเก่าและเห็นตัวอักษรประหลาดหลายตัวเขาไม่ได้กวนชายแก่แต่รออย่างอดทน แม้ว่าจะผ่านไปหลายนาที รองผู้จัดการใหญ่ก็ยังคงขมวดคิ้วขณะที่ครุ่นคิดถึงบางเรื่องอย่างหนัก ดูเหมือนเขากำลังสับสนในสิ่งที่มิอาจเข้าใจได้
ซือหยูคิดว่ารอต่อไปก็มิใช่หนทางที่ดีเขาจึงพูดออกมา
“ข้าเป็นศิษย์นอกซือหยูเซี่ยน ขออภัยที่ข้ารบกวนท่านตอนที่อ่านตำราเปลี่ยนรูปเก้าวิญญาณของเผ่าไม้”
รองผู้จัดการใหญ่ไม่พอใจเมื่อถูกขัดเขาเงยหน้าจากตำราและมองซือหยูอย่างเยือกเย็น แต่ตอนนั้นเขาตระหนักขึ้นมาได้ เขาตาลุกวาว
เขารีบถาม
“เจ้าพูดอีกครั้งได้หรือไม่?”
ซือหยูตอบอย่างใจเย็น
“รองผู้จัดการใหญ่ข้าพูดว่าท่านกำลังอ่านตำราเปลี่ยนรูปเก้าวิญญาณของเผ่าไม้”
ฟึ่บ!
รองผู้จัดการใหญ่ยืนขึ้นทันทีและถามด้วยความตกตะลึง
“เจ้ารู้ภาษาเผ่าไม้ด้วยเรอะ?”
ซือหยูตอบอย่างใจเย็นเขาไม่พยายามประจบประแจง
“เมื่อตอนข้ายังเด็กข้าเจอตำราขาดๆในถ้ำ มันมีบันทึกอักษรเผ่าไม้อยู่ด้วย ข้าเลยรู้เรื่องของเผ่าไม้มาบ้าง”
ซือหยูแต่งเรื่องนี้ขึ้นมาเพราะเขารู้ภาษาเผ่าไม้จากความรู้ของหยุนย่าสีเผ่าไม้เป็นสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังของไม้วิญญาณ เผ่าไม้นั้นมีร่างไม้วิญญาณและสติปัญญาระดับสูง เผ่าไม้ยังสร้างภาษาของตัวเองขึ้นมาอีกด้วย
รองผู้จัดการใหญ่เดินผ่านโต๊ะมาหาซือหยูเขาเดาะลิ้น
“อยู่ดีๆตำหนักโลหิตของข้าก็มีศิษย์ที่รู้จักภาษาเผ่าไม้ข้าคิดไม่ถึงเลย!”
“เจ้ารู้จักกี่ตัวอักษรรึ?”
รองผู้จัดการใหญ่ถามด้วยความสงสัย
ซือหยูตอบอย่างถ่อมตัว
“ข้ารู้เรื่องทั่วไปอยู่หลายเรื่อง”
รองผู้จัดการใหญ่ถาม
“ถ้าเช่นนั้นเจ้ารู้ความหมายของประโยคนี้หรือไม่?”
เขาเปิดตำราให้ซือหยูในทันทีเขาชี้ประโยคบนหน้าตำรา ซือหยูมองและตอบทันที
“รับแก่นแท้ของมันและเผยภาพลับแก่นสวรรค์…และหมอกครามกระจัดกระจาย…”
“หยุดก่อน”
รองผู้จัดการใหญ่ตกใจมากเขามองดูซือหยูราวกับประเมินสมบัติล้ำค่า
เขาคาดหวังกับซือหยูอย่างมากและเปิดอีกหน้า
“แล้วประโยคนี้ล่ะ?”
ซือหยูพูดอย่างใจเย็นหลังจากมอง
“หนอนไหมครามออกจากดักแด้กลายเป็นผีเสื้อมันเกิดใหม่หลังจากทิ้งเปลือกนอกกลายเป็นภูติ อสรพิษมีเขาแปรเปลี่ยนเป็นมังกรวารี…”
“พอแล้ว!”
รองผู้จัดการใหญ่ปิดตำราด้วยความตื่นเต้นเขามองซือหยูด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย เขามองซือหยูอยู่นานก่อนจะหัวเราะชอบใจ
“ฮ่าๆๆๆข้าไม่คิดเลยว่ายอดปราชญ์ภาษาเผ่าไม้ที่กำลังตามหาจะอยู่ในตำหนักโลหิตของข้าเอง!”
เขาอารมณ์ดีขึ้นมา
“เจ้าชื่ออะไร?”
รองผู้จัดการใหญ่เดินมาถามด้วยความกระตือรือร้น
ซือหยูประสานหมัดและตอบ
“ข้าเป็นศิษย์นอกนามว่าซือหยูเซี่ยนสวัสดีท่านรองผู้จัดการใหญ่”
“ซือหยูเซี่ยน…”
รองผู้จัดการใหญ่พูดชื่อซ้ำแต่ไม่ได้แสดงสีหน้าออะไรออกมา
“เอาล่ะถ้าเจ้าเชี่ยวชาญภาษาเผ่าไม้ เจ้าก็ตรงตามที่ข้าต้องการ ข้ามีเรื่องใหญ่ให้เจ้าทำ”
ซือหยูขมวดคิ้ว…มันจะเป็นปัญหากับข้าไหม?
“ฮ่าๆๆสบายใจได้ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับผลกำไรในเมืองเทียนหยาของดินแดนพรสวรรค์ มีแก้วหลายพันล้านดวงเป็นเดิมพัน! ถ้าเจ้าเชี่ยวชาญภาษาเผ่าไม้ เจ้าก็จะได้รับหน้าที่สำคัญมาก และเมื่อเจ้าช่วยได้มากเช่นนี้ สิ่งที่เจ้าจะได้ก็จะเกินกว่าที่เจ้าต้องการแน่นอน!”
รองผู้จัดการใหญ่กล่าว
ซือหยูเงียบไปครู่หนึ่งเขาตัดสินใจแล้วว่าไม่ว่าจะจริงหรือไม่ เขาจะไม่ปฏิเสธ ซือหยูจึงตอบ
“ถ้าเป็นเรื่องของตำหนักโลหิตข้าจะทำให้ดีที่สุด”
รองผู้จัดการใหญ่ดีใจมากที่ได้ยินเช่นนี้
“ช่วงนี้มีข่าวร้ายมามากพอแล้วดีเหลือเกินที่ในที่สุดก็มีเรื่องน่ายินดี!”
เขาถาม
“เมื่อครู่ก่อนเจ้าพูดว่าอะไรนะ?เจ้ามาที่นี่เพื่อทำภารกิจที่ร้านตงหลินรึ? ถ้าอย่างนั้น เดือนนี้เจ้าอยู่ในเมืองเทียนหยาเสียก่อน อีกหนึ่งเดือนข้าจะพาเจ้าไปแสดงความสามารถ”
รองผู้จัดการใหญ่รับมัจฉาไม้ในมือซือหยูก่อนจะโยนอีกสองตราให้ซือหยูหนึ่งในนั้นเขียนว่า ‘ร้านตงหลิน’ มันคือสิ่งรับรองการเป็นเจ้าของร้านของเขา ส่วนอีกหนึ่งตราเขียนว่า ‘ผู้จัดการ’ และตรานี้ยังปล่อยพลังอันเยือกเย็นออกมาด้วย
“ท่านรองผู้จัดการนี่มันคืออะไรรึ?”
ซือหยูพูดถึงตราที่เขียนว่า‘ผู้จัดการ’
รองผู้จัดการหัวเราะเบาๆ
“มันคือตราประจำตัวของรองผู้จัดการใหญ่ถ้าเจ้ามีปัญหาใดในเมืองเทียนหยา เจ้าก็แค่แสดงตรานี้ให้คนดู ทุกคนจะฟังคำสั่งเจ้า”
เขาพูดต่อ
“ตรานี้มีไว้เพื่อระวังภัยไม่ให้เกิดกับเจ้าให้ใช้เพื่อยืนยันความปลอดภัยของเจ้าเท่านั้น อย่าได้ใช้รบกวนธุรกิจผู้ใด”
ซือหยูดีใจมากเขาจะได้จัดการทุกเรื่องอย่างง่ายดายด้วยตรานี้!
DND.850 – อันธพาลร้านเล็ก
“เข้าใจแล้ว!”
ซือหยูยินยอมว่าจะจัดการทุกอย่างด้วยความเหมาะสมเขารู้แล้วว่าเมื่อใดที่สามารถใช้ตราได้
“ดี!ข้ารอความสามารถอันยอดเยี่ยมของเจ้าในอีกหนึ่งเดือน ปกป้องตัวเองให้ดีล่ะ! เจ้าควรจะระวังตัวให้มากและอย่าเผยให้ใครรู้ว่าเจ้ารู้ภาษาเผ่าไม้…”
รองผู้จัดการกล่าว
ซือหยูเริ่มระแวงหากเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับกำไรหลายพันล้าน เขาก็ต้องตกอยู่ในอันตรายแน่หากเกี่ยวข้องด้วย ถ้าเขาถูกเปิดเผย เขตกลางคงจะมาตามล่าเขาไม่ผิดแน่!
“ย่อมได้!”
ซือหยูพูดอีกครั้งและหันหลังจากไป
ความกังวลปรากฏบนใบหน้ารองผู้จัดการใหญ่
“มีอีกคนแล้วที่รู้เรื่องภาษาเผ่าไม้หวังว่าครั้งนี้ การสังเวยป่ามารร้างจะไม่แย่นัก”
หลังจากซือหยูเดินออกไปก็สัมผัสได้ถึงสายตาหลายคู่ที่มองมาทางเขาด้วยความสงสัยแปลกใจ และสับสน หลายคนพูดคุยกันและมองซือหยูอย่างละเอียด…
“ชายแก่นั่นใครกัน?เขาอยู่ในห้องรองผู้จัดการใหญ่นานนัก”
“ข้าไม่รู้อาจจะเป็นเจ้าของร้านเล็กๆก็ได้ มิเช่นนั้นข้าก็คงจำหน้าได้แล้ว”
ถึงพวกเขาจะสงสัยและสับสนพวกเขาก็ไม่ได้สนใจมากนักเพราะซือหยูเป็นหน้าใหม่ที่นี่ ซือหยูจึงออกไปได้อย่างเงียบๆโดยที่ไม่มีใครรู้เลยว่ามีอะไรเกิดขึ้นในห้องรองผู้จัดการใหญ่
แต่ทหารวัยกลางคนที่ยืนเฝ้าหน้าประตูก็ถามซือหยูด้วยความตกใจเขาหัวเราะเบาๆ
“เจ้าไม่ใช่ศิษย์นอกธรรมดาๆสินะรองผู้จัดการกำลังอารมณ์ร้าย เขารับคนแค่ไม่นานเท่านั้น หากเจ้าอยู่ในห้องนั้นนาน รองผู้จัดการจะต้องชอบเจ้า ใช่หรือไม่?”
ซือหยูยิ้มอย่างขมขื่น
“ข้าก็แค่เจ้าของร้านยาระดับต่ำชั่วคราวข้าจะได้สิ่งใดจากเขาเล่า? รองผู้จัดการใหญ่เพียงแค่อ่านตำราอยู่ตอนที่ข้าเข้าไป ข้าไม่กล้าจะรบกวนถึงต้องอยู่นาน ข้าได้พูดแค่ไม่กี่คำเท่านั้น”
แม้ทหารวัยกลางคนจะดูนิสัยดีซือหยูก็ไม่โง่จนถึงขั้นเชื่อใจคนที่เพิ่งเคยเจอ เขาจึงตอบอย่างระวังกลับไป
“โอ้!เป็นเช่นนั้นหรอกรึ…”
ทหารวัยกลางคนผิดหวังในดวงตาเขานำซือหยูออกจากอาคาร
เมื่อถึงผนึกของอาคารเขาพูด
“ขอให้เจ้าโชคดีหากมีปัญหาใดก็มาหาข้าได้”
ซือหยูพยักหน้า
“ขอบคุณท่านมากท่าน…ชื่ออะไรรึ?”
“ข้าชื่อจู้อยากที่ข้าบอก ถ้ามีปัญหา เจ้ามาหาข้าได้”
ชายสกุลจู้พูดด้วยใบหน้าใจดี
ซือหยูประสานหมัด
“ข้าจะทำเช่นนั้นแน่ลาก่อน!”
ซือหยูออกจากอาคารเข้าปะปนกับทะเลผู้คนบนถนนคนสกุลจู้ขมวดคิ้วเบาๆเมื่อมองซือหยู
สีหน้าของเขาไม่พอใจนัก
“เขาคงจะเป็นแค่เจ้าของร้านชั่วคราวที่ไม่ใช่กำลังเสริมจากตำหนักโลหิต…”
ซือหยูคิดเรื่องคนสกุลจู้และส่ายหน้าขณะที่คิด…ชายคนนั้นฉลาดเกินไปเขาปฏิบัติกับคนที่ดูอ่อนแออย่างข้าด้วยความนอบน้อม! น่าสงสัย…
แม้เขาจะไม่ปฏิเสธที่มีคนจิตใจดีอยู่บนโลกเขาก็ไม่ปฏิเสธว่ามีคนจอมปลอมมากมายที่แสร้งทำเป็นใจดีเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์บางอย่าง!
ตึกเก้าชั้นนี้อยู่ในเมืองเทียนหยาที่มีอันธพาลปะปนไปกับคนดีการปะปนของคนมากมายทำให้สภาพแวดล้อมที่นี่ค่อนข้างดุดันและตึงเครียด ยากที่จะมีคนจิตใจดีอยู่ได้!
นี่เป็นเหตุให้ทหารเฝ้าประตูต้องการให้ซือหยูประทับใจเพื่อบรรลุบางอย่างในระยะยาว!แต่ซือหยูก็ไม่คิดว่าจะต้องกลัวอะไรกับทหารคนนี้ แต่เขารู้สึกว่าทหารคนนั้นเจ้าอุบายและฉลาดเกินไป!
ซือหยูส่ายหน้าเขาคิดจะเดินต่อไปยังร้านยาตงหลิน แต่เกาะลอยฟ้าตรงข้ามกับตึกเก้าชั้นนั้นขยับเล็กน้อย สตรีสวมชุดสีเขียวเดินออกมา
ผู้คนอ้าปากค้างเมื่อเห็นนางซือหยูเงยหน้าขึ้นไปมองโดยไม่ทันคิด เขาตัวแข็งทื่อเมื่อมองสตรีผู้นี้ เขามิอาจละสายตาจากนางได้
นางเป็นหญิงสาวอายุยี่สิบปีผิวของนางขางเนียนราวกับหิมะเหมันต์ ผมดำเงางามของนางปักปิ่นแดงประดับสีทอง
นางมีเรือนร่างอันสง่างดงามสีหน้าของนางยังสงบเรียบร้อย ทุกสิ่งทำให้นางดูราวกับองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ ดวงตาของนางเป็นประกาย มันดูมีเสน่ห์น่ามอง
การปรากฏตัวของนางไม่ต่างกับฤดูใบไม้ผลิอันอ่อนโยนมันทำให้โลกชะโลมไปด้วยชีวิตชีวา ซือหยูมองนางอยู่นานอย่างไม่รู้ตัว นางคือคนที่ซือหยูมิอาจลืมได้
นั่นก็เพราะนางคือลู่จือยี่!เขาไม่มีวันลืมความรู้สึกผิดที่มีต่อนางได้
ลู่จือยี่ออกจากเกาะลอยฟ้าอย่างใจเย็นและสง่างามนางเพิ่งจะได้รับคำสั่งให้ทำเรื่องสำคัญและเพิ่งจะพบกับผู้จัดการใหญ่
หลังออกจากเกาะสายตาของผู้คนด้านนอกมิได้ส่งผลกระทบต่อนางเลย นางเพียงแค่ทะยานขึ้นฟ้าออกไปหวังจะไปยังที่ที่ไกลกว่านี้
แต่จู่ๆนางก็ใจสั่นนางหันไปมองในหมู่คน มีบางคนที่พิเศษกำลังมองนาง มันทำให้หัวใจนางสั่นไหว
เมื่อนางมองกลับไปก็เห็นเพียงคนธรรมดาที่กำลังมองนางดูเหมือนว่าสายตาพิเศษนั้นจะหายไปแล้ว
“แปลกนัก!ข้าสัมผัสสิ่งใดเมื่อครู่กัน?”
ลู่จือยี่ขมวดคิ้วนางส่ายหน้าบินจากไปด้วยความสับสนเล็กน้อย
ณถนนโล่งไร้ผู้คน สายฟ้าแปลบปลาบพร้อมซือหยูที่ปรากฏตัว เขามีความรู้สึกอันซับซ้อนมากมายกับเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น
เขามิอาจพบลู่จือยี่ในรูปลักษณ์ที่แท้จริงได้ในเวลานี้เพราะนางอาจจะยังเชื่อว่าซือหยูยังอาศัยอยู่ในโลกเฉินหลงที่ห่างไกลและยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้เขาเจอนาง เขาก็ไม่รู้ว่าจะมองหน้านางอย่างไร จะพูดอะไร หรือจะสู้หน้านางด้วยวิธีใด
ข้าคงต้องทนไว้ก่อนหลังจากพลังข้ามากพอจนไม่ต้องเกรงกลัวศัตรู ตอนนั้นข้าจะไปพบนาง…ซือหยูคิด
ซือหยูมองรอบๆและหาทิศทางไปร้านตงหลินเมื่อผ่านไปครึ่งวัน ซือหยูก็ถึงร้านตงหลินด้วยความยากลำบาก
เมืองเทียนหยาแบ่งเป็นสองส่วนนั่นก็คือเมืองส่วนในและเมืองส่วนนอกธุรกิจที่เจริญรุ่งเรืองมากมายของตำหนักโลหิตและตำหนักเมฆาม่วงจะตั้งอยู่ในเมืองส่วนใน
เมืองส่วนนอกนั้นแทบจะเป็นหลังเท้าของเมืองส่วนในเพราะมันต้องผ่านสงครามและถูกทำลายมาหลายครั้ง ครั้งแรกมันถูกทำลายจากสงครามของมนุษย์และภูติผี ต่อมายังถูกทำลายอีกด้วยการโจมตีของเขตกลาง
หากมองเมืองส่วนนอกจากท้องนภาจะเห็นซากทุกหนทุกแห่งแม้บางถนนจะสร้างขึ้นใหม่ มันก็เทียบกับความทันสมัยของเมืองส่วนในได้
ผู้ที่อาศัยในเมืองส่วนนอกมักจะเป็นยอดฝีมือตกอับที่ต้องหวังพึ่งเมืองเทียนหยาคนเหล่านี้ไร้อำนาจและไม่มีแก้วพลังมากพอจะใช้ชีวิตได้
นั่นเป็นเหตุให้พวกเขามิอาจจ่ายค่าที่อยู่อาศัยราคาแพงในเมืองส่วนในได้พวกเขาทำได้แค่กลับไปทำงานในเมืองส่วนในในตอนกลางวันและกลับมาบ่มเพาะพลังในยามกลางคืน
ด้วยเหตุนี้เมืองส่วนนอกจึงค่อนข้างแร้นแค้น และถ้าหากมองให้ดีจะพบว่ามีพื้นที่ที่เต็มไปด้วยยอดฝีมือยากจน ซือหยูอธิบายเมืองส่วนนอกได้ด้วยคำเดียวเท่านั้น…นั่นก็คือสลัม!
ซือหยูบินอยู่บนฟ้ายอดฝีมือทุกคนที่เขาบินผ่านแหงยหน้ามอง นั่นก็เพราะชุดของตำหนักโลหิตที่ซือหยูสวม มันแสดงถึงการมาจากสำนักมีชื่อเสียง
ซือหยูถอนหายใจเบาๆเขาเข้าใจแล้วว่าเหตุใดร้านตงหลินถึงยากจนนัก มิใช่เพราะเจ้าของร้านคนก่อนๆ ขาดความสามารถ แต่เป็นเพราะสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวยต่อความสำเร็จ
ซือหยูร่อนลงบนพื้นหน้าร้านตงหลินร้านตั้งอยู่ที่กลางเมืองส่วนนอกที่เป็นจุดที่เฟื่องฟูที่สุด แต่ก็มีคนเพียงไม่กี่คนที่เดินบนถนน คนเหล่านี้ดูค่อนข้างน่าเวทนา
นอกจากร้านตงหลินที่นี่เต็มไปด้วยร้านรวงเล็กๆ มีร้านโอสถอยู่ถึงสามสิบร้าน เจ้าของร้านทุกคนมาเปิดร้านก็เพราะความเบื่อหน่าย พวกเขาอยากจะฆ่าเวลาเท่าใดก็ได้
ร้านตงหลินมิได้มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากนักหากเทียบกับร้านอื่นถ้าซือหยูไม่มีภารกิจที่รับมา เขาจะไม่มีทางมองร้านนี้เมื่อเดินถนนเลย
สถานการณ์เลวร้ายยิ่งกว่าที่ข้าคิดซะอีก…ซือหยูถอนหายใจเบาๆ
ซือหยูเดินมือไพล่หลังก้าวไปข้างในร้านตงหลินมันเป็นแค่ร้านโอสถเล็กๆที่มิอาจเล็กไปกว่านี้ได้แล้ว
ร้านนี้มีโอสถขายทุกชนิดแต่ทุกชนิดก็เป็นเพียงแค่โอสถธรรมดาที่รับประทานได้แม้แต่คนที่ยังไม่เป็นภูติ มีโอสถน้อยชนิดที่ภูติใช้ได้
เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะมีภูติน้อยคนมากในเมืองส่วนนอกต่อให้มีโอสถชั้นดีมากมาย มันก็จะขายไม่ได้เลย นี่เป็นเหตุให้เจ้าของร้านตัดสินใจที่จะตั้งร้านในเขตที่พักอาศัยของคนยากจน
“เจ้าต้องการอะไร?”
หลังจากซือหยูมายืนที่หน้าร้านคนหนุ่มคนหนึ่งก็ออกมาจากหลังร้านและตะโกนใส่ซือหยู เสียงของเขาเย็นชาไร้อารมณ์
บัดซบ!ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามีพนักงานแบบนี้อยู่ด้วย! ซือหยูงุนงงกับท่าทางของชายหนุ่ม ร้านนี้สิ้นหวังแล้วจริงๆ
“เจ้าคิดว่าข้ามาที่นี่เพื่อซื้อโอสถงั้นรึ?”
ซือหยูถามอย่างไร้อารมณ์
ชายหนุ่มขมวดคิ้วถามอย่างหมดความอดทน
“หือ…เจ้าไม่สบายเรอะ?ถ้าเจ้าไม่ได้มาซื้อโอสถแล้วเจ้ามาทำอะไร?”
แต่เมื่อเขาเดินมาใกล้ขึ้นและเห็นชุดซือหยูเขาก็จำชุดของตำหนักโลหิตนี้ได้ทันที
เขาตกใจมากเขารีบซ่อนอาการไม่พอใจ แต่ก็ไร้ความนับถือบนใบหน้า
“เจ้าเป็นคนใหม่ที่จะมารับตำแหน่งเจ้าของร้านสินะ!ดี…จ่ายค่าจ้างสองเดือนของข้ามาแล้วข้าจะไปตามทางของข้า ข้าไม่อยากจะทำงานที่นี่แล้ว!”
เขาเป็นคนเมืองเทียนหยาที่ถูกจ้างให้ทำงานที่นี่เขาถูกทิ้งให้ทำงานในร้านเพราะไม่มีเจ้าของร้าน
แต่เร็วๆนี้ไม่มีใครที่มาซื้ออะไรเลยจนร้านใกล้ปิดสามารถบอกได้ว่าพวกเขาได้ค่าจ้างน้อยเพียงใด
ซือหยูมองดูอีกฝ่ายด้วยความใจเย็นและพยักหน้า
“ใช่แล้วข้ามาทำหน้าที่เจ้าของร้าน ร้านนี้มีลูกจ้างกี่คน? เรียกมาหาข้า ข้ามีเรื่องจะพูดกับพวกเจ้า”
ชายหนุ่มเบ้ปาก
“จะพูดปลุกใจให้พวกข้าทำงานด้วยหัวใจและต้อนรับลูกค้าด้วยรอยยิ้มงั้นเรอะ?เจ้าของร้านคนก่อนๆ ก็เล่นลูกไม้นี้ไปแล้ว พยายามทุกอย่างเพื่อที่จะเรียกลูกค้า เจ้าจะทำเหมือนพวกนั้นไปทำไม? ยังไงร้านก็จะปิดอยู่แล้ว”
แม้ชายหนุ่มจะพูดเชิงเหยียดหยามเขาก็นำซือหยูไปยังห้องด้านหลังเพราะเขาอยากจะแน่ใจว่าตนจะได้ค่าจ้าง ห้องด้านหลังไม่ใหญ่นัก ที่นี่มีทั้งหมดสี่ห้อง มีห้องว่างอยู่หนึ่ง
“ฉิงหลิวหยิงหลวน อออกมา! เจ้าของร้านคนใหม่จะมาพูดกับพวกเราน่ะ หึหึ!”
ชายหนุ่มยืนตะโกนเยาะเย้ย
ซือหยูสีหน้าเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงไม่นานก็มีเด็กชายกับเด็กหญิงเดินออกมาจากห้อง
ทั้งสองอายุราวสิบขวบและสวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งฐานพลังของทั้งคู่ต่ำมาก ผู้หญิงที่ชื่อหยิงหลวนยังไม่ถึงขอบเขตอำมฤตแต่อยู่ในขอบเขตมังกร ดูเหมือนว่าทั้งคู่จะมาจากเขตยากจนในเมืองส่วนนอก
เด็กชายฉิงหลิวค่อนข้างผอมบางเขาดูเย่อหยิง เย็นชา และไม่ยอมผู้ใด เขาไม่กลัวเจ้าของร้านคนใหม่ เขาเพียงแค่เดินมาเจออย่างไม่ใส่ใจนัก ส่วนหยิงหลวนนั้นขี้อาย นางวิ่งมาหาซือหยูอย่างเป็นกังวล
“จะ…เจ้าของร้าน”
หยิงหลวนหน้าแดงขณะที่พูดนางไม่กล้าจะมองตาซือหยู
ฉิงหลิวกอดอกเดินเข้ามา
“เจ้าคือเจ้าของร้านงั้นรึ?”
เขาถาม
ชายหนุ่มที่ซือหยูเจอเป็นคนแรกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
“ใช่แล้ว!เขาเป็นเจ้าของร้าน เขาจะมาจ่ายค่าจ้างของเรา…”
“พวกเจ้ามีค่าจ้างค้างอยู่เท่าไหร่?”
ซือหยูถามอย่างใจเย็น
ชายหนุ่มเจ้าเล่ห์ผงะไปด้านหลังและสงสัย…เขาจะจ่ายค่าจ้างจริงๆน่ะรึ?
เขาหัวเราะ
“เจ้าจะจ่ายค่าจ้างพวกข้าจริงเรอะ?ข้าคิดว่าเจข้าก็แค่…”
“หูเจ้ามีปัญหาอะไร?ข้าถามเจ้าว่าเท่าไหร่?”
ซือหยูยังคงไม่แสดงสีหน้าออกมา
ชายหนุ่มเจ้าเล่ห์ตัวแข็งทื่อเขาไม่พอใจเล็กน้อยและยื่นมือออกไป
“เป็นค่าจ้างสองเดือน…แก้วยี่สิบดวง”
ฉิงหลิวเงียบเขาจ้องมองซือหยู แต่ซือหยูเพียงแค่พยักหน้าและกำลังจะหยิบแก้วยี่สิบดวงออกมา แต่ตอนนั้นหยิงหลวนก็พูดกับเขาเบาๆ
“เดี๋ยวสิ!ค่าจ้างเราไม่เยอะขนาดนั้นนะ!”
ซือหยูหยุดมองนางหยิงหลวนนั้นตัวสั่น นางค่อนข้างกลัวและกำหมัดกัดปาก
“จริงรึ?แล้วสองเดือนของพวกเจ้าเป็นเท่าใด?”
ซือหยูไม่มองชายหนุ่มเจ้าเล่ห์เขามองแค่หยิงหลวนคนเดียว
ชายหนุ่มเจ้าเล่ห์โมโหเมื่อหยิงหลวนกำลังจะทำเสียเรื่อง
“หยิงหลวนทำไมข้าไม่เคยรู้มาก่อนว่าเจ้ากล้าดีอย่างนี้? ถ้าเจ้ากล้าพูดเหลวไหลอีก ข้าจะจัดการเจ้า!”
เขาหันไปมองซือหยูและพูดอย่างเยือกเย็น
“ยืนงงอะไรของเจ้า?เอาแก้วสี่สิบดวงมาจ่ายข้าเดี๋ยวนี้!”
แต่ซือหยูทำเป็นไม่ได้ยินและมองหยิงหลวนแทนเขาถาม
“เจ้าค้างค่าจ้างอยู่กี่เดือนรึ?”
หยิงหลวนกลัวจนไม่กล้าเงยหน้านางยื่นนิ้วเดียวออกมา
“ข้ามาที่นี่แค่เดือนเดียว”
แท้จริงนอกจากชายหนุ่ม เด็กทั้งสองเพิ่งจะมาเมื่อเดือนที่แล้ว ส่วนลูกจ้างคนก่อนๆก็ออกจากร้านไปก่อนแล้วเพราะรู้ว่าที่นี่ไม่เหลือลูกค้าอีก
“เอาล่ะ…อืม…เจ้าพูดว่ายี่สิบดวงใช่ไหม?เอาไปสิ”
ซือหยูหยิบแหวนมิติที่มีแก้วยี่สิบดวงออกมา
แหวนมิติรึ?ฉิงหลิวกับชายหนุ่มเจ้าเล่ห์ตกตะลึง เพราะแค่แหวนมิติวงเดียวก็มีค่าเท่าแก้วสิบดวงแล้ว มันไม่ต่างกับเขาให้แก้วหยิงหลวนสามสิบดวง!
หยิงหลวนเงยหน้าที่ดูเหมือนกวางน้อยที่หวาดกลัวนางรีบชักมือกลับ
“ไม่นะ!นี่มันเยอะเกินไป! ข้าเพียงจะทำงานได้เดือนเดียว ค่าจ้างของข้ามันแค่สองดวงเท่านั้น ข้าไม่กล้ารับมากกว่านี้หรอก…”
ซือหยูรู้แล้วว่านางกำลังพูดความจริงแก้วสองดวงคือราคาที่อยู่สลัมที่ยุติธรรมของเมืองเทียนหยา
“เอาล่ะข้าตอนนี้ข้าเป็นเจ้าของร้าน ขึ้นอยู่กับข้าว่าจะให้ค่าจ้างเท่าใด นับจากนี้เป็นต้นไป ลูกจ้างร้านตงหลินจะได้ค่าจ้างยี่สิบดวงต่อเดือน!”
ซือหยูประกาศเสียงดังและยัดแหวนมิติใส่มือหยิงหลวน
หยิงหลวนรับแหวนมิติเอาไว้ด้วยสายตาว่างเปล่ามันมีแก้วยี่สิบดวงอยู่ด้านในนั้น นั่นเป็นจำนวนที่นางจะได้จากทั้งปี!
และยิ่งไปกว่านั้นนับจากวันนี้ นางจะได้ยี่สิบดวงในแต่ละเดือน! นี่เป็นเรื่องดีอย่างมากที่มักจะเกิดขึ้นจากร้านในเมืองส่วนในที่ขายดี!
ซือหยูหันไปมองฉิงหลิว
“แล้วเจ้าล่ะ?”
ฉิงหลิวเจียมตัวขึ้นเมื่อถูกซือหยูมองเขาคลายมือที่กอดอก สายตาของเขาไม่คมกริบเหมือนเดิม เขาไม่กล้าจะมองตาซือหยูนานนัก นั่นก็เพราะเขาตกใจกับคำสั่งของซือหยูจนหยุดแสร้งทำท่าทางแบบเดิม
“ข้าก็แค่หนึ่งเดือน…”
ทันทีที่ฉิงหลิวกล่าวไปเขาก็เสียใจในทันที…ทำไมข้าไม่เพิ่มไปอีกหลายเดือนล่ะ?เจ้าของร้านคนใหม่นี่ดูโง่นัก เขาไม่เข้าใจแม้แต่ตอนที่ฉินซีเยาะเย้ยตั้งหลายครั้งเมื่อครู่ก่อน!
ซือหยูพยักหน้าและโยนกระเป๋าที่มีแก้วยี่สิบดวงออกไปแต่ฉิงหลิวนั้นจะไม่ได้แหวนมิติ นั่นหมายความว่าค่าจ้างของเขาน้อยกว่าหยิงหลวนอย่างมาก
แต่แม้กระนั้นฉิงหลิวเองก็ดีใจที่ได้มา เขาไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะได้ค่าจ้างมากมายเช่นนี้
เขาเลียริมฝีปาก