บทที่ 569 ร้องขอชีวิตก็ไม่ได้ ร้องขอความตายก็ไม่สามารถ

อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม

อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม บทที่ 569 ร้องขอชีวิตก็ไม่ได้ ร้องขอความตายก็ไม่สามารถ
เวินเส้าหยีโกรธไม่พอใจ

กู้ชูหน่วนเอื้อมมือเข้าไปที่หน้าอกอันล่ำสันของเขา

เวินเส้าหยีสะดุ้งอย่างฉับพลัน ทั้งร่างกายเกร็งขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

การเคลื่อนไหวของนางเบามาก เบาราวกับขนนก เหมือนกับจั๊กจี้เช่นนั้น แต่การลูบผ่านไปทุกครั้ง ล้วนทำให้เขาสั่นเทาอย่างอดไม่ได้

ความรู้สึกนี้น่าประหลาดมาก เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อน

ทั้งเสพสุข ทั้งกลัว และอาย

ลืมตาขึ้นด้วยอาการสั่น คิดจะทำให้นางหยุด แต่ที่ประทับเขาในตากลับเป็นดวงตาสีขาวดำแยกกันชัดเจนอันสดใสคู่นั้นของกู้ชูหน่วน มองดูเขาด้วยท่าทางหยอกล้อ

ไม่ผิด คือหยอกล้อ ไม่ได้มีความรู้สึกสักนิด เป็นความต้องการที่จะหยอกล้อ

“เอ๊ะ ใครบอกว่าเจ้าคือผู้ชายที่เป็นเหมือนภูเขาน้ำแข็งนะ เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ร้อนแรงดั่งไฟนี่นา”

“เวินเส้าหยี เจ้าคงยังไม่ได้บริสุทธิ์อยู่หรอกนะ?”

“ดูท่าทางเช่นนี้ของเจ้า เหมือนว่าข้าจะเดาถูกแล้ว”

“แต่การตอบสนองเช่นนี้ของเจ้า แม้จะเป็นคนที่ช่ำชองเรื่องความรัก ก็ไม่ได้มีมากขนาดนี้หรอกนะ”

สายตาของกู้ชูหน่วนเคลื่อนลง การพูดหยอกล้อก็ยิ่งหนักขึ้น

เวินเส้าหยีโมโหเป็นอย่างมาก “กู้ชูหน่วน เจ้าฆ่าข้าไปเลยยังจะดีซะกว่า”

ตั้งแต่เด็กจนโต นี่เป็นครั้งแรกที่เขาถูกคนดูหมิ่นเช่นนี้

ที่น่าเจ็บแค้นยิ่งกว่าคือ เสื้อผ้าของเขาสามารถมองเห็นได้รางๆ จากมุมมองด้านบนมองเพียงรอบเดียวก็สามารถชื่นชมรูปร่างของเขาได้ทั้งหมดแล้ว

เขาจะทนได้อย่างไร

“โกรธแล้วจริงๆเหรอ? ข้ายังไม่ได้เริ่มลงมือเลยนะ”

“ครั้งก่อนที่ข้าพบผู้ชายบริสุทธิ์เป็นเมื่อไหร่กันน้า ข้าขอคิดหน่อย อ๋อ….คิดออกแล้ว ก็คือที่ฝืนใจเย่จิ่งหานบนภูเขาอันแห้ง เจ้าเป็นหัวหน้าเผ่าน้อยของเผ่าเทียนเฟิ่น คิดว่ามากน้อยก็คงได้ตรวจสอบเรื่องนี้แล้วสินะ”

“ไม่รู้ว่ารสชาติของเจ้าเทียบกับเขาแล้วจะเป็นอย่างไร จะรสชาติดีกว่าหน่อยหรือเปล่า”

“ดูเจ้าหน้าแดงซะ วางใจได้ พี่สาวจะเบาหน่อย มา พี่สาวช่วยถอดเสื้อผ้าให้เจ้า”

เวินเส้าหยีกล่าวด้วยความโกรธ “ข้าไม่รู้จริงๆว่าจะไปยังสถานที่บนแผนที่นั่นด้วยความเร็วที่สุดได้อย่างไร แต่บนตัวของข้ามียันต์แผ่นหนึ่ง สามารถเพิ่มความเร็วได้ ข้ายังรู้อีกว่าคิดจะไปจุดเหนือสุดบนแผนที่ ยังต้องผ่านด่านอีกด่านหนึ่ง”

“ด่านอะไร?”

“แคว้นคนแคระ”

“แคว้นคนแคระ? ผู้คนที่นั่นล้วนมีรูปร่างเตี้ยกันทั้งหมดเลยหรือ?”

“เกือบจะละมั้ง วิทยายุทธของพวกเขาไม่ได้สูงมาก แต่มีความยืดหยุ่นสูง ไม่กลัวความเป็นตาย โดยปกติจะปิดแคว้น ไม่ไปมาหาสู่กับคนภายนอก สามารถพูดได้ว่าเป็นโลกตัวเอง อาณาเขตของแคว้นคนแคระกว้างใหญ่ ไม่ผ่านแคว้นคนแคระ ก็ไม่มีทางจะไปถึงจุดเหนือสุดได้”

“เจ้ารู้ได้อย่างไร?”

“ก่อนหน้านี้เคยอยากข้ามผ่านแคว้นคนแคระ เคยคบค้าสมาคมกับพวกเขาอยู่บ้าง”

“ดังนั้น เจ้าก็คุ้นเคยกับพวกเขามาก?”

“ไม่คุ้นเคย”

คนพวกนั้นไร้เหตุผลเป็นอย่างมาก เขาแทบจะออกมาไม่ได้อยู่แล้ว

จะมีอะไรดีที่จะให้คุ้นเคยกันอีกล่ะ?

กู้ชูหน่วนคลำหาบนตัวเขาอีกครู่หนึ่งจนทำให้ทั้งร่างกายของเวินเส้าหยีสั่นเทาไม่หยุด

“ที่ควรพูดข้าก็พูดไปหมดแล้ว เจ้ายังจะไม่ปล่อยข้าอีก”

“เป็นยันต์แผ่นนี้หรือ?” กู้ชูหน่วนยกขึ้นมา ยิ้มแล้วกล่าว

“ใช่”

“ใช้ยังไง?”

“แปะใต้เท้า แล้วท่องมนต์ทันที”

“มีเพียงแผ่นเดียวหรือ? ยังมีมากกว่านี้อีกหรือไม่?”

“ไม่มี”

ยันต์แผ่นนี้เป็นของที่หัวหน้าเผ่าให้เขา ทั้งเผ่าเทียนเฟิ่นก็มีไม่เกินสามแผ่น

นั้นเป็นของที่หัวหน้าเผ่าให้เขาไว้ใช้เพื่อรักษาชีวิต

นอกจากหัวหน้าเผ่าแล้ว ก็ไม่มีคนรู้ว่าบนตัวของเขามียันต์แผ่นนี้

นางทำเหมือนเป็นหัวผักกาดขาวหรือไง อยากจะได้เท่าไหร่ก็มีเท่านั้น

“เจ้าคนนี้เนี่ยน้า เจ้าอยากจะพูดก็พูดมาตรงๆสิ พี่สาวจะพยายามทำแม้ว่าจะเหลือบ่ากว่าแรง ก็ยังจะสามารถเอ็นดูเจ้าให้ดีๆได้”

“……”

“ช่างเถอะ เห็นแก่ที่เจ้าให้ยันต์เพิ่มความเร็วกับข้า ทั้งยังบอกความลับของแคว้นคนแคระกับข้า ครั้งนี้พี่สาวจะไม่กินเจ้าก่อน รอวันไหนที่พี่สาวเกิดความสนใจขึ้นมา ค่อยปรนเปรอเจ้าด้วยความอ่อนโยน รับรองว่าจะทำให้เจ้าเหมือนคนเมาและอยู่ในโลกแห่งความฝันไปเลย”

“…..”

เวินเส้าหยีรับประกัน

เขาเป็นคนที่โมโหน้อยมาก แต่อยู่กับนาง

เขาไร้หนทางที่จะควบคุมอารมณ์ตัวเองได้

ผู้หญิงคนนี้ ไม่ใช่มนุษย์โดยแท้จริง แต่เป็นสัตว์เดรัจฉาน

สิ่งที่ทำให้เขาเบาใจได้คือ หลังจากที่กู้ชูหน่วนลวนลามเขาเสร็จ เอาเสื้อผ้าออกมาจากแหวนมิติชุดหนึ่ง ช่วยเขาสวม นี่จึงทำให้เขาคลายความอับอายลงได้เล็กน้อย

“เม็ดนั้นที่เจ้ากินไปเมื่อครู่ เป็นยาพิษลับเฉพาะที่ข้าหลอม ภายในสองวัน จะต้องกินยาถอนพิษหนึ่งเม็ด ไม่เช่นนั้นข้ารับรองได้ว่าเจ้าจะร้องขอชีวิตก็ไม่ได้ ร้องขอความตายก็ไม่สามารถเป็นแน่”