บทที่ 4 บทที่ 74 สนทนาหลังเที่ยงคืน (1)

สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด

บทที่ 74 สนทนาหลังเที่ยงคืน (1) โดย Ink Stone_Fantasy

เดี๋ยวหัวเราะร่าเริง เดี๋ยวตกใจกลัว เดี๋ยวสายตาเลื่อนลอย เดี๋ยวสายตาว่อกแว่ก แต่สติกลับดูไม่อยู่กับร่องกับรอย เดี๋ยวไม่แน่ใจว่าตัวเองเป็นใคร เดี๋ยวก็คิดว่าตัวเองเป็นอีกคน

ในที่สุดเธอก็ยืนนิ่งตรงนั้นราวกับรูปปั้น แล้วยังรู้สึกอีกว่า ‘ให้เธอยืนตรงนี้ต่อไปก็ไม่มีปัญหา’

สาวน้อยเห็นภาพนี้ก็หวาดกลัวทันที รีบยืนแนบชิดไปกับขาของพี่สาว ทั้งยังคว้ากระโปรงของพี่สาวคนสวยเอาไว้ด้วย

เย็นเฉียบเสียจน…แทบจะรู้สึกเย็นยะเยือก

ตอนนี้อเล็กซ์ค่อยๆ หลับตาลง สีหน้าคล้ายกำลังฟังอะไรอย่างเพลิดเพลิน…แล้วเขาฟังอะไรกันแน่นะ?

ลั่วชิวอยากรู้เหลือเกิน

ฉับพลันเขาก็เริ่มรู้สึกว่า อเล็กซ์ก็เหมือนกระจกเงาสะท้อนให้เขาเห็นท่าทีของตัวเองในบางครั้ง

จริงสิ นี่เหมือนตอนที่เขาได้เห็นสีสันอันงดงาม และเป็นอีกครั้งที่เขาหักห้ามความอยากรู้ไม่ได้ เหมือนกับตอนที่เขาเดินเข้าไปในสมาคมครั้งแรก

เขาก็ค่อยๆ หลับตาลงเช่นกัน เพราะเขารู้ว่าถ้าเขาอยากฟัง เขาก็จะได้ยินเหมือนกัน

 “ขัดจังหวะความสุขของคนอื่น เป็นพฤติกรรมที่ไร้มารยาทมากเลยนะครับ”

นั่นเป็นเสียงของอเล็กซ์ “ถึงแม้คุณจะมีพลังแข็งแกร่งมาก จนขนาดทำให้ผมไม่สามารถหยุดสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ได้ อีกอย่างผมคิดว่า คุณจะไม่สนเรื่องพวกนี้เหมือนเจ้าของสมาคมคนก่อนเสียอีก”

ลั่วชิวค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา พร้อมกับยิ้มน้อยๆ เขามองเธอที่ยังยืนนิ่งไม่ไหวติงแวบหนึ่ง จากนั้นก็นั่งลงอีกครั้งแล้วชี้ไปที่เก้าอี้ข้างๆ แสดงท่าทางให้ ‘นั่ง’

สาวน้อยเงยหน้าขึ้นมามองแวบหนึ่ง แต่เธอก็รู้สึกง่วงงัวเงียฉับพลัน จากนั้นก็ผล็อยหลับไป

“ในที่สุดก็ได้คุยกันเต็มที่สักหน่อย แต่ว่าก่อนหน้านั้น ได้โปรดให้ผมรับประทานอาหารก่อนได้หรือเปล่าครับ?”

“เชิญครับ”

พอเห็นอเล็กซ์เดินไปตรงหน้าเธอที่ยืนนิ่งราวกับรูปปั้น ดวงตาของเขาก็มีลำแสงเล็กๆ สีม่วงฉายออกมาอย่างน่าประหลาด

ดูเหมือนว่าเขากำลังกลืนกินอะไรบางอย่างจากตัวเด็กสาวคนนี้ นี่ทำให้ลั่วชิวยิ่งอยากรู้มากกว่าเดิม…สิ่งที่กลืนกินนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อเด็กสาวเลย แต่กลับเป็นบางสิ่งที่ไม่ดีต่อตัวเธอต่างหาก

อเล็กซ์กำลังกลืนกินความฝันของอีกฝ่าย หรือก็คือ ฝันร้าย

“ร่างเดิมอเล็กซ์คือบากุ*ปีศาจกินฝันร้ายค่ะ เกรงว่าจะเป็นปีศาจบากุตัวสุดท้ายที่เหลือรอดอยู่ล่ะมั้งคะ” คุณสาวใช้กระซิบเบาๆ ข้างหูเจ้าของร้านลั่ว

ก็เหมือนโบโลดอฟ ลั่วชิวไม่แปลกใจเลยว่าทำไมโยวเย่ถึงรู้เรื่องพวกนี้ นั่นก็เพราะเขาเคยเป็นลูกค้าของสมาคมมาก่อน

คาดไม่ถึงว่าในตอนนี้เองอเล็กซ์จะหันมาพูดตรงๆ ต่อหน้าว่า “ไม่ใช่แบบนั้นซะทีเดียวหรอกครับคุณโยวเย่ ผมไม่ใช่ตัวสุดท้าย ควรพูดว่าเป็นตัวสุดท้ายกับอีกครึ่งต่างหาก เพราะผมกำลังพยายามเก็บออมค่าธรรมเนียมเพื่อหาเพื่อนร่วมทางสักคนจากสมาคม ในเมื่อผมคิดแบบนี้ ก็แสดงว่าบนโลกใบนี้มีอีกครึ่งตัวไม่ใช่เหรอครับ?”

…คุณเป็นลูกค้า คุณมีความสุขก็ดีแล้ว

ลั่วชิวแอบคิด

เพียงแต่

ปีศาจบากุดูดกินฝันร้ายของพวกมนุษย์โดยเฉพาะ แล้วก็เหลือไว้แต่ฝันดี…งั้นเหรอ?

บนใบหน้าของเธอค่อยๆ ปรากฏรอยยิ้มน้อยๆ ก่อนหลับตาลงช้าๆ ด้วยสีหน้าสบายใจ แล้วล้มตัวลงไปในอ้อมแขนของอเล็กซ์

หลังจากอเล็กซ์วางเด็กสาวลงบนโซฟา และปล่อยให้นอนหลับอย่างสงบสุขแบบนี้แล้ว เขาถึงได้นั่งลงตรงหน้าลั่วชิว

ใบหน้าของเขายังเหลือร่องรอยความพึงพอใจหลังมื้ออาหารอันโอชะ

แล้วเขาก็เหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ จึงล้วงซองสีดำซองหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ “จริงสิ นี่ถือเป็นค่าตอบแทนของผม ยังไงผมก็สัญญากับคุณสาวใช้คนสวยแล้วว่าจะจ่ายค่าตอบแทนให้”

คุณสาวใช้รับซองมาจากมืออเล็กซ์ แล้วก็ยื่นไปตรงหน้านายท่านของตัวเอง ลั่วชิวไม่ได้รับมา หลังจากเขามองดูมันแวบหนึ่ง ก็มองอเล็กซ์อีกครั้งแล้วพูดว่า “พวกเราไม่ได้ทำอะไรเลยนี่ครับ”

“แต่ก็ทำไปแล้วนี่ครับ”

อเล็กซ์ยิ้มน้อยๆ พูดว่า “ขอเพียงสถานที่นั้นมีเจ้าของสมาคมอยู่ด้วย ก็เป็นเหมือนกระจกเงาส่องให้เห็นความปรารถนาและความชั่วร้ายภายในจิตใจของคน แม้ว่าเจ้าของร้านลั่วไม่ได้ทำอะไรเลยก็จริง แต่แค่อยู่ใกล้ๆ คุณ ก็ลดเรื่องยุ่งยากของผมไปได้พอสมควรเลยนะครับ”

ลั่วชิวพยักหน้าเล็กน้อย “เพราะงั้นคุณถึงได้ตั้งใจพาคุณผู้หญิงคนนี้มาถึงที่นี่…แล้วยืมพลังของผม?”

“นายท่านคะ เมื่อก่อนเวลาคุณอเล็กซ์หิวแต่ไม่อยากลงมือเอง เขาก็มักจะส่งคนมาอยู่ใกล้ๆ กับพวกเราค่ะ แน่นอนว่าคุณอเล็กซ์จะจ่ายค่าตอบแทนให้ทุกครั้ง” โยวเย่พูดอธิบายเสียงเบา

ทำไมถึงได้รู้สึกว่าเจ้านี่เป็นแขกที่เอาวัตถุดิบมาเอง แล้วกลายเป็นผู้ช่วยเชฟคอยใส่วัตถุดิบอาหารเองเลยล่ะ?

อเล็กซ์แย้มยิ้มแล้วพูดว่า “คุณผู้หญิงคนนี้น่าจะเป็นเหตุบังเอิญน่ะครับ ผมเจอระหว่างทาง…และใกล้ถึงเวลาที่ผมต้องรับประทานอาหารพอดี ความจริงแล้ว ตอนแรกผมแค่จะส่งข่าวมาให้เจ้าของร้านลั่วเท่านั้นครับ”

“ข่าว?” ลั่วชิวได้ยินก็อึ้งไป

เป็นไปไม่ได้ที่คนข้างกายของเขาจะฝากข่าวผ่านมาทางอเล็กซ์ แน่นอนว่าที่พูดนั้นหมายถึงในฐานะที่เขาเป็นลั่วชิว

งั้นก็หมายความว่าเกี่ยวข้องกับอีกบทบาทหนึ่งของเขา

“ใครครับ?”

“เจ้าของร้านคนก่อนของคุณครับ”

“ลองว่ามาสิครับ”

แล้วอเล็กซ์ก็พูดเป็นเชิงชื่นชม “เจ้าของร้านลั่วใจเย็นกว่าที่ผมคิดไว้อีกนะครับ ตอนแรกผมนึกว่าคุณจะตกใจกว่านี้เสียอีก”

ลั่วชิวกลับพูดอย่างนิ่งเฉย “ตอนที่ผมยังอยู่มอสโก ก็บังเอิญเจอลูกค้าเก่าของสมาคมคนหนึ่ง เขาเป็นคนมอบบ้านพักริมทะเลสาบหลังนี้ให้ แม้ว่าจะมอบให้ในนามโยวเย่ก็ตาม แต่…”

ลั่วชิวมองโยวเย่แวบหนึ่ง “ที่จริงผมคิดว่าที่นี่ออกจะเงียบสงบเกินไป คงมีแค่เจ้าของร้านคนก่อนถึงจะอยู่ที่นี่โดยสงบใจได้ แล้วที่ลูกค้าคนนั้นมอบบ้านพักหลังนี้ให้เขา…บางที พวกเขาคงเคยคุยกันก่อนที่ผมจะมา เกรงว่าคุณผู้ชายคนนั้นคงแอบจำเอาไว้…แต่ที่จริงก็ใช้เวลาเตรียมการอยู่นานมากเลยครับ”

ลั่วชิวยิ้มแล้วพูดอีกว่า “เวลาผ่านไปไม่นานเหมือนลางสังหรณ์ของผมจะชัดเจนขึ้นทุกวัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเจ้าของร้านคนก่อนที่ดำรงตำแหน่งนี้มานานกว่าผม ผมคิดว่าเขาก็น่าจะมีลางสังหรณ์บางอย่างเหมือนกัน…ในเมื่อเขารู้ล่วงหน้าว่าผมจะมาถึงที่นี่ อย่างนั้นเขาจะวานให้ใครมาส่งข่าวกับผมก็ไม่น่าตกใจอะไรนี่ครับ จะว่าไปแล้ว….”

ลั่วชิวบอกว่า “ในเมื่อคุณอเล็กซ์มาส่งข่าวให้ผมถึงที่นี่ได้ ก็น่าจะมีคนบอกที่อยู่ของผมกับคุณไม่ใช่เหรอครับ?”

อเล็กซ์นิ่งฟังจนจบ เขาไม่ยอมรับ แล้วก็เปลี่ยนเรื่องพูด “พวกเราคุยส่วนตัวกันสักครู่ได้ไหมครับ?”

“เป็นความต้องการของคุณลูกค้าเหรอครับ?” ลั่วชิวเอ่ยถามด้วยท่าทางเฉยเมย

“เปล่าครับ…” อเล็กซ์หรี่ตาพูด “ผมแค่คิดว่าแบบนี้คงดีกว่าน่ะครับ หรือเจ้าของร้านลั่วไม่คิดว่า เราควรคุยกันเป็นการส่วนตัวหรือครับ?”

“นายท่านคะ ฉันไปเตรียมที่นอนให้ก่อนนะคะ” คุณสาวใช้กระซิบบอกเบาๆ ข้างหูลั่วชิว

“ไม่ต้องหรอก” ลั่วชิวส่ายหน้า “ไม่มีอะไรที่เธอรู้ไม่ได้ อีกอย่างเขาคงไม่ได้คิดจะให้เธอปลีกตัวออกไปจริงๆ หรอก”

“เฮ้อ…” ตอนนี้อเล็กซ์ถอนหายใจ แล้วพูดอย่างจนใจว่า “เพราะงั้นผมเลยไม่ค่อยอยากมาติดต่อกับเจ้าของสมาคม เพราะถึงแม้พวกเราเป็นลูกค้า แต่ก็ปิดบังความลับกับเจ้าของร้านไม่ได้เลย”

อเล็กซ์พูดถึงตรงนี้แล้ว ก็เขยิบตัวเข้ามาใกล้ทันที เขาพิจารณาลั่วชิวอย่างละเอียดพร้อมถามว่า “แบบนี้ไม่คิดว่าหมดสนุกเหรอครับ? ผมหมายถึงคุณเล่นรู้ทุกอย่างที่อยากรู้ไปซะหมดน่ะ”

“เจ้าของร้านคนก่อนอยากบอกอะไรผมครับ?” ลั่วชิวไม่ตอบคำถาม

“อย่างแรกคือส่งจดหมายฉบับนี้ให้คุณ” อเล็กซ์ยิ้มแล้วพูดอีกว่า “ดังนั้นค่าธรรมที่ผมจะจ่าย ก็คือค่าตอบแทนที่ผมจะได้รับจากการส่งจดหมายให้คุณครั้งนี้ เจ้าของร้านลั่วคงไม่ถือสาใช่ไหมครับ?”

เจ้าของร้านลั่วพยักหน้า แล้วก็ไม่ได้พูดอะไร…ความจริงเจ้านี่ไม่ถึงกับต้องจ่ายค่าธรรมเนียเลยด้วยซ้ำ เพราะขั้นตอนทั้งหมดนี้ ทั้งสองฝ่ายไม่ได้อยู่ในกฎการแลกเปลี่ยนที่สมาคมกำหนดไว้

“อย่างที่สอง เขาบอกว่า…” อเล็กซ์ทำท่านึกย้อน และมีท่าทีลังเล

แล้วเขาก็พูดขึ้นช้าๆ ว่า “…อย่าคิดจะดูอนาคต”

อย่า…ดูอนาคต?

หลังจากลั่วชิวนิ่งเงียบไปพักหนึ่งถึงได้พยักหน้าเล็กน้อย

เขาไม่ได้แสดงความเห็นต่อข้อความจากเจ้าของร้านคนก่อนเลย แค่รับซองสีดำนั้นมาไว้ในมือแล้วพูดอย่างเฉยเมยว่า “ซองนี่ ผมขอรับไว้แล้วกันนะครับ”

“อีกอย่างครับ”

ลั่วชิวพูดต่อว่า “คุณไปเจอเขาที่ไหนเหรอครับ?”

“เจอกันที่รัฐวาติกันครับ” อเล็กซ์ยักไหล่ตอบ “แต่ผมคิดว่าเขารอผมอยู่ที่นั่นมากกว่า แล้วก็ไหว้วานเรื่องนี้กับผม เพียงแต่ว่า ผมคิดว่าถึงคุณจะไปวาติกัน ก็คงจะหาเขาไม่พบแล้ว”

ลั่วชิวไม่มีทางหาตัวเจ้าของร้านคนก่อนเจอได้ง่ายอยู่แล้ว

ก็เหมือนที่เขาเคยเห็นตัวหนังสือในห้องเจ้าของร้านคนก่อน เหมือนว่าค่าธรรมเนียมที่ต้องแลกกับข้อมูลทั้งหมดจะสูงลิ่วอย่างไม่สมเหตุสมผล ข้อมูลใดๆ ที่ดูมีส่วนเกี่ยวกับเจ้าของร้านคนก่อนก็ถือเป็นค่าใช้ไปอย่างคาดไม่ถึง

นอกจากได้ยินเรื่องราวของเจ้าของร้านคนก่อนจากปากโยวเย่มาบ้างแล้ว ดูเหมือนว่าเขาคงเข้าใจเรื่องของเจ้าของร้านคนก่อนไม่ได้มากกว่านี้อีกแล้ว

“เขายังสบายดีไหมครับ?”

ลั่วชิวคิดว่าบางทีเจ้าของร้านคนก่อนก็เข้าใจสถานการณ์ และดูเหมือนตั้งใจทิ้งปริศนาลับนี้ไว้ให้เขา เขาจึงแอบตั้งตารออยู่บ้าง

หากเขาไม่พึ่งพาข้อมูลจากสมาคม แต่กลับหาตัวเจ้าของร้านคนก่อนเจอในสักวัน  แบบนั้นจะเกิดอะไรขึ้นนะ?

“เขาแก่แล้วครับ”

อเล็กซ์หลับตาลง “ถึงแม้จะยืนตรงหน้าผม พูดคุยกับผม แต่เวลาของเขาก็ลดลงไปทุกนาที ทุกวินาที  ความชรา ความอ่อนแอ ใกล้ตาย ดับสูญ…”

จู่ๆ อเล็กซ์ก็ลืมตาขึ้นแล้วยิ้ม

พอเขาลุกขึ้นยืน ก็เก็บหมวกขึ้นมาสวมอีกครั้ง แล้วเดินไปสะพายกระเป๋าหนังใบใหญ่ของเขาขึ้นมา

เขาไม่ได้ขอบคุณโอเวอร์เหมือนตอนแรกที่เขาเข้ามา แต่กลับพูดช้าๆ ว่า “ถ้าเช่นนั้น ขอบพระคุณเจ้าของร้านสำหรับการดูแลต้อนรับในค่ำคืนนี้นะครับ ผมจะกลับไปในที่ของผมอีกครั้ง แต่หวังว่าเจอกันครั้งหน้า ผมจะได้แลกเปลี่ยนกับคุณบ้างนะครับ”

*บากุเป็นปีศาจในความเชื่อของชาวญี่ปุ่น เป็นปีศาจที่คอยกินฝันร้ายของผู้คน มีรูปร่างคล้ายหมี และมีส่วนผสมของสัตว์หลายชนิด เช่น มีหน้าผากมีนอคล้ายแรด มีจมูกเป็นงวงคล้ายช้าง มีเท้าเหมือนเสือ มีหางเหมือนวัว