บทที่ 4 บทที่ 75 สนทนาหลังเที่ยงคืน (2)

สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด

บทที่ 75 สนทนาหลังเที่ยงคืน (2) โดย Ink Stone_Fantasy

ตอนที่อเล็กซ์หันตัวกำลังจะเดินออกไป ลั่วชิวก็ได้เห็นบางอย่างกับตาตัวเอง

ที่แท้…ตัวจริงของปีศาจบากุก็คือสมเสร็จสินะ? ตอนนี้ตัวของอเล็กซ์เหมือนจะพองใหญ่ขึ้น

สองมือที่โผล่พ้นแขนเสื้อออกมาเริ่มเปลี่ยนเป็นอุ้งเท้า และจมูกก็ยาวขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ยังสั้นกว่าจมูกของช้างอยู่มากนัก

ลั่วชิวได้แต่ยืนกะพริบตาปริบๆ มองดูร่างของอเล็กซ์กลับคืนสู่สภาพปกติ แล้วเขาก็เปิดประตูออกไปโดยไม่คิดจะหันกลับมาอีก

เขาทำภารกิจส่งข้อความให้เจ้าของคนใหม่สำเร็จแล้ว ทั้งยังบังเอิญได้กินมื้ออาหารอันโอชะอีกด้วย

ตอนนี้เขาคงอารมณ์ดีเลยสินะ แต่ออกไปแบบนี้ก็เหมือนทิ้งปัญหาให้คนเบื้องหลังจัดการต่อไม่ใช่เหรอ?

“ลูกค้าเก่ามีแต่พวกเอาแต่ใจทั้งนั้นเหรอ?” ลั่วชิวเริ่มถามอย่างสงสัย

คุณสาวใช้ไม่ได้คิดจะให้ร้ายลูกค้า แต่เธอพยายามจะพูดจากมุมมองบุคคลที่สาม “คุณอเล็กซ์ค่อนข้างพิเศษกว่าลูกค้าท่านอื่นค่ะ เขาจะไม่อยู่ที่เดิมนาน แต่จะเดินทางท่องเที่ยวไปเรื่อยๆ ค่ะ”

แล้วลั่วชิวก็มองไปทางหญิงสาวที่นอนอยู่บนโซฟาทันที หลังจากอเล็กซ์กินฝันร้ายของเธอ ตอนนี้เธอก็ได้นอนสงบสักที

จากนั้นคุณสาวใช้ก็โพล่งพูดอีกว่า “แต่ถึงแม้บากุจะกินฝันร้ายไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะฝันดีนะคะ”

ลั่วชิวได้แต่มองคุณสาวใช้ด้วยหน้าตาสงสัย

“เขากินแค่ความฝันส่วนนี้ ก็จะทำให้คนที่ถูกกินฝันคิดว่า ‘จะไม่ฝันเรื่องขึ้นอีก’ ดังนั้นสิ่งที่บากุกินไปอาจจะเป็นแค่ ‘หวังว่าจะไม่เกิดขึ้นอีก’ แต่ฝันร้ายก็ยังหลงเหลืออยู่ในส่วนลึกของผู้ฝันค่ะ”

พอคุณสาวใช้เห็นนายท่านเหมือนยังไม่เข้าใจ เธอจึงอธิบายเพิ่มอีก “ยกตัวอย่างเช่น เวลาปลูกต้นผลไม้ ทุกครั้งที่มันออกผลก็จะไปเก็บมาใช่ไหมคะ แต่ถึงอย่างนั้นต้นไม้ก็ยังออกผลเรื่อยๆ…หรือว่าโยวเย่ยกตัวอย่างไม่ดีหรือเปล่าคะ?”

ลั่วชิวส่ายหน้า “เปล่าหรอก ฉันแค่คิดว่าเธอรู้ไปซะทุกเรื่องเลย…หืม เธอตื่นขึ้นมาแล้ว”

ถึงแม้เธอจะถูกกินฝันร้ายไปแล้ว ทว่ากลับไม่ได้ดูสดชื่นนัก…เธอนวดคลึงขมับตัวเองเบาๆ พร้อมกับมองไปรอบห้อง

เจ้าของบ้าน คุณสาวใช้ และสาวน้อยลีน่าที่ยังหลับสนิทอยู่พร้อมหน้ากันในห้องรับแขก จริงสิ ยังมีกลอเรียนอนอยู่บนโซฟาฝั่งตรงข้ามด้วย

“เผลอหลับไปเหรอเนี่ย…” เอลลีลูบหัวตัวเองเบาๆ “สงสัยฉันคงฝันไป มันค่อนข้าง…”

เธอเริ่มมึนงงเล็กน้อย

แล้วลั่วชิวก็เอ่ยปากถามเธอว่า “มันค่อนข้างอะไรครับ?”

“ค่อนข้าง…” เอลลีขมวดคิ้วครุ่นคิด จากนั้นก็ส่ายหัว “ไม่มีอะไรค่ะ…แล้วเลห์แมนกับคนอื่นยังไม่กลับมาอีกเหรอคะ?”

ลั่วชิวส่ายหน้า “ที่จริงผมยังไม่เคยเห็นคุณเลห์แมนกับคุณไรอันเลยนะครับ”

“งั้นเหรอคะ…”

เธอเข้าใจเอาเองว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดหมายถึง เลห์แมนกับไรอันยังไม่กลับมา…บางทีที่ฟังดูแปลกอาจเพราะชาวตะวันออกไม่คุ้นเคยกับไวยากรณ์ภาษารัสเซียก็ได้

แม้ว่าเธอจะตกใจกับสำเนียงเหมือนคนรัสเซียของเจ้าของบ้านก็ตาม

“จริงสิ ฉันหลับไปตั้งแต่เมื่อไรคะ?” เอลลีพยายามนึกย้อน “จะว่าไป เมื่อกี้คุณถามอะไรฉันหรือเปล่าคะ?”

“คุณคือ…คุณเอลลีใช่ไหมครับ?” ลั่วชิวถามคำถามกะทันหัน

“ฉันก็แนะนำตัวไปแล้วไม่ใช่เหรอคะ?” เอลลีทำหน้าประหลาดใจ แล้วส่ายหัว “คุณถามแปลกจริงๆ”

ลั่วชิวกลับยิ้มแล้วพูดว่า “ขอโทษด้วยครับ คิดซะว่าผมติดโรคนี้เป็นนิสัยแล้วกันครับ ผมมักจะถามคำถามลูกค้าบ่อยๆ…อืม งานให้คำปรึกษาน่ะครับ ส่วนมากลูกค้าของผมมีความต้องการบางอย่าง แต่พวกเขาไม่ค่อยรู้ว่าตัวเองต้องการอะไรจริงๆ”

เอลลีทำท่าครุ่นคิด “แต่ก็ยังไม่แน่ว่าสิ่งที่คุณโน้มน้าวพวกเขาจะเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องการจริงๆ นี่คะ…แบบนี้ไม่ใช่ว่าคุณคิดไปเองเหรอ?”

“ผู้มองมักเห็นบางอย่างชัดกว่าเจ้าตัวนะครับ” แล้วลั่วชิวก็พูดต่ออย่างนิ่มนวล “แต่คุณเอลลีก็พูดถูกนะครับ บางทีผมอาจจะยืนยันไม่ได้ ยังไงตัวลูกค้าเองก็รู้มันดีที่สุด”

“หรือว่าคุณ…เป็นนักจิตวิทยาเหรอคะ?” เอลลียิ้มแล้วพูดต่อ “ฉันรู้สึกแบบนั้นจากตัวคุณน่ะค่ะ แน่นอน ฉันไม่ได้พูดเล่นนะคะ ที่จริงฉันสนุกมากที่ได้พูดคุยกับคุณค่ะ”

“ขอบคุณครับ”

เอลลียืดบิดขี้เกียจเล็กน้อย คล้ายว่าเริ่มได้สติกลับมาบ้างแล้ว “เหมือนที่เลห์แมนพูดไว้เลย โลกตะวันออกลึกลับจริงๆ พวกคุณเหมือนไม่ใช่คนธรรมดาเลยล่ะค่ะ”

คำพูดนี้เหมือนพูดเล่นๆ…สำหรับเอลลีแล้ว เธอก็แค่พูดให้บรรยากาศผ่อนคลายเท่านั้น

ลั่วชิวมองออกไปนอกหน้าต่างห้องรับแขก ก่อนหันกลับมามองเอลลีแล้วพูดว่า “หรือว่า…พวกเราขายทุกอย่างที่ลูกค้าต้องการจะดูธรรมดางั้นเหรอครับ?”

“ทุกอย่าง…” เอลลีอ้าปากค้าง คล้ายพยายามคิดว่า ‘ทุกอย่าง’ นี่มันมากขนาดไหนกันแน่

“ใช่ครับ พวกเราขายทุกอย่าง ตราบเท่าที่ลูกค้าจะจินตนาการได้และจ่ายค่าตอบแทนได้ครับ แน่นอนว่าลูกค้าเลือกจะไม่ซื้อก็ได้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับลูกค้าครับ”

เอลลีกะพริบตาปริบๆ ก่อนเริ่มกัดเล็บมือตัวเอง “เอ่อ…พูดอะไรผิดไปหรือเปล่าคะ อย่างเช่น ลูกค้ามีสิทธิ์เลือกจะซื้อหรือไม่ซื้อสินค้าก็ได้…แต่ถ้าลูกค้าหาซื้อสินค้านั้นที่อื่นไม่ได้แล้วล่ะคะ? อืม ในกรณีแบบนี้ ถึงแม้พวกเขาจะมีสิทธิ์เลือก แต่สุดท้ายก็เหมือนไม่มีทางเลือกอยู่ดีไม่ใช่เหรอ ยังไงถ้าพวกเขาต้องการมันจริงๆ สุดท้ายก็ต้องซื้ออยู่ดีไม่ใช่เหรอคะ? ยังไงก็เหมือนการค้าผูกขาดดีๆ นี่เอง”

เธอเป็นลูกค้าคนแรกที่มานั่งถกเรื่องนี้กับเจ้าของร้านลั่วอย่างจริงจัง

…เปิดโหมดเด็กหัวกะทิหรือไง?

เอลลียิ้มแล้วพูดต่อ “ก็หมายความว่าคุณขายทุกอย่างไม่ได้หรอกค่ะ มันดูจะโอเวอร์ไปนะคะ ถ้าพูดให้ถูก คุณจะขายของที่ลูกค้าจ่ายคุณได้ แต่ถ้าพวกเขาจ่ายคุณไม่ได้ งั้นมันก็จะไม่มีอยู่…เพราะฉะนั้น ที่คุณบอกว่า ‘ขายทุกอย่าง’ ก็เป็นแค่โฆษณาชวนเชื่อเท่านั้นค่ะ”

“พวกเราขายทุกอย่างจริงๆ นะครับ” แล้วลั่วชิวก็ค่อยๆ พูดต่อ “ลูกค้าทุกคนมีกำลังซื้อต่างกัน แต่สำหรับพวกเราที่เป็นคนจัดหาสินค้ากลับไม่เคยมีความคิดที่ว่า ‘ไม่มี’ เลยนะครับ อย่างน้อยจากประสบการณ์ที่ผ่านมาก็เป็นอย่างนั้นครับ”

“พูดเหมือนจริงเลยนะคะเนี่ย” เอลลีส่ายหัวก่อนพูดขอไปที “ถ้าฉันคิดว่าชีวิตฉันมันห่วยแตก แล้วคุณจะขายชีวิตดีๆ ให้ฉันได้ไหมล่ะคะ? แล้วฉันต้องจ่ายมันในราคาเท่าไร? ถ้าชีวิตตีค่าเป็นเงินได้ แล้วฉันยังมีกำลังซื้อมันด้วย งั้นทำไมฉันต้องซื้อจากคุณด้วยล่ะ?”

“เรื่องพวกนี้” ลั่วชิวคลี่ยิ้มน้อยๆ “พวกเราไม่รับเป็นเงินหรอกครับ”

“ไม่รับเงิน?” เอลลีทำหน้าสงสัย “แล้วคุณจะเอากำไรมาจากไหนล่ะคะ?”

“สุขภาพ สติปัญญา มิตรภาพ ความรัก…” แล้วลั่วชิวก็พูดเนิบช้าลง “แม้กระทั่งดวงวิญญาณก็เป็นกำไรทั้งนั้นครับ”

ฉับพลันนั้นเอลลีก็เสียวสันหลังวาบ

เธอรู้สึกชาไปทั้งตัว ตั้งแต่ขา น่อง ผิวหนังใต้เสื้อผ้า หน้าผาก ไปจนถึงแก้ม

ทันใดนั้นเธอก็คิดว่ามันอาจเป็นเรื่องจริง แต่ไม่นานเสียงเคาะประตูถี่รัวก็ดังขึ้น

เอลลีรีบลุกขึ้นทันที “ต้องเป็นพวกเลห์แมนแน่ๆ พวกเขากลับมาแล้ว! ฉันไปเปิดประตูก่อนนะคะ”

“เลห์แมน…” ทันทีที่เอลลีเปิดประตู เธอก็ต้องชะงักกึก

คนที่เธอเห็นตรงหน้าไม่ใช่พวกเลห์แมน แต่เป็นนายตำรวจในชุดเครื่องแบบสองนาย…พอพวกเขาเห็นเอลลีก็รีบกดตัวเธอลงกับพื้น พร้อมทั้งใส่กุญแจมือบนข้อมือทั้งสองข้างของเธอ

“ในที่สุดก็จับโรคจิตนี่ได้สักที” นายตำรวจคนหนึ่งถอนใจโล่งอกทันที