ตอนที่ 583 รายงานชัยชนะ

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 583 รายงานชัยชนะ

รัชสมัยเซวียนลี่ที่สิบ เดือนสี่ วันที่หนึ่ง ในที่สุดช่วงครึ้มฝนของเมืองจินหลิงก็ผ่านพ้นไป แสงสุริยาที่หายไปเนิ่นนานได้ส่องสว่างไปทั่วทุกพื้นที่

ประชุมราชสำนักสิ้นสุดลงแล้ว ฮ่องเต้เรียกเยี่ยนเป่ยซี ต่งคังผิง และหนิงไท่ฟู่มาประชุมที่ห้องทรงพระอักษรต่อ

“ตามรายงานที่ส่งมาจากทางตะวันตกเฉียงใต้ตลอดหลายวันมานี้ การกวาดล้างกบฏเซวี๋ยถึงบทสรุปแล้ว ตอนนี้กบฏเซวี๋ยถูกโอบล้อมไว้ในเมืองเจี้ยนเหมิน การประหารคงจะเกิดขึ้นในมิช้านี้ วันนี้ข้าเรียกพวกเจ้ามารวมตัวกันเพราะมีบางเรื่องต้องหารือเป็นการส่วนตัว”

“ประการที่หนึ่ง กองทัพชายแดนตะวันตกบัดนี้เหลือทิ้งไว้เพียงนามเท่านั้น ต้องจัดตั้งกองทัพชายแดนตะวันตกขึ้นมาเสียใหม่ สมควรให้ผู้ใดเป็นแม่ทัพ ? ”

“ประการที่สอง ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวไว้ในจดหมายที่ส่งมาถึงข้าว่า สองตระกูลโจ่งและหยูจากเมืองหลินจื๋อเจี้ยนหนานตงเต้า ได้สร้างคุณงามความดีไว้ในชัยชนะของสงครามครานี้… ทั้งสองตระกูลระดมเงินออกมา 3,000,000 ตำลึง เกณฑ์ทหารมาราว 300,000 นาย นี่มิใช่เรื่องง่ายเลย ! ”

ฮ่องเต้ลูบเครา ตรัสด้วยความทอดถอนพระทัยอีกคราว่า “ผู้ใดบอกว่าพ่อค้าเห็นกำไรสำคัญกัน เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความถูกต้องและมิถูกต้อง ข้ากลับรู้สึกว่าพวกเขาเป็นพ่อค้าที่มีจิตใจคิดตอบแทนแคว้น เรื่องนี้ข้าได้ใคร่ครวญแล้ว มันสอดคล้องกับการเผยแพร่นโยบายใหม่สำหรับพ่อค้า เพื่อยกระดับพ่อค้าขึ้นไปอีกหนึ่งขั้น ให้ราษฎรในใต้หล้าเอาตระกูลโจ่งและหยูเป็นเยี่ยงอย่าง สร้างรายได้โดยมิลืมความทุกข์ยากของแคว้น พ่อค้าแบบนี้ ข้าย่อมสนับสนุนอย่างเต็มที่ ! ”

เยี่ยนเป่ยซีและคนอื่น ๆ ต่างก็เงยหน้าขึ้นมองฝ่าบาท พวกเขาย่อมมิมีคำทัดทานใดไปโดยปริยาย รับรู้เพียงแค่ว่านับแต่นี้ต่อไป ยุคสมัยใหม่จะเปิดม่านขึ้นโดยไร้สิ่งใดขัดขวาง

ลงนามรับรองพ่อค้าด้วยมติมหาชนของแคว้น สถานะชนชั้นในอดีตจะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน !

บัณฑิต เกษตรกร กรรมกร และพ่อค้า การยกระดับครานี้ อย่างน้อยพ่อค้าก็จะถูกจัดวางไว้หลังบัณฑิต

สอดคล้องกับการสร้างศูนย์กลางโครงร่างของเศรษฐกิจที่ฟู่เสี่ยวกวนเคยเสนอเอาไว้ เยี่ยงนั้นการผลักดันนโยบายใหม่ ก็จะไหลไปราวกับกระแสน้ำ และมิมีผู้ใดสามารถขัดขวางได้อีก

“ประการที่สาม การไปสนามรบด้วยตนเองของฟู่เสี่ยวกวนครานี้ สูญเสียทหารดาบเทวะไปเพียง 9 นายเท่านั้น ทหารดาบเทวะกองกำลังที่สามภายใต้การบัญชาของเขา ได้กวาดล้างกองทัพ 130,000 นายของสีฮวาที่ด่านชีผาน… ข้าชักจะปวดหัวขึ้นมาเล็กน้อยแล้วสิ ข้าควรจะตอบแทนเยี่ยงไรดี ? ”

ฮ่องเต้กวาดสายตามองคนทั้งสาม “ว่ามา พวกเจ้าลองกล่าวมาเถอะ”

นี่… ฟู่เสี่ยวกวนเพิ่งจะได้เลื่อนยศเป็นจึเจวี๋ย เลื่อนให้เป็นป๋อเจวี๋ยในตอนนี้เลยเยี่ยงนั้นหรือ ?

พวกเยี่ยนเป่ยซีมองหน้ากัน รู้สึกว่าเรื่องนี้ค่อนข้างยุ่งยาก

พวกข้าดิ้นรนมาทั้งชีวิต ยังมิได้แม้แต่หนานเจวี๋ย แต่ช่วงระยะเวลาสั้น ๆ เพียงสองสามเดือน เจ้าฟู่เสี่ยวกวนก็จะเลื่อนยศอีกแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?

ทั้งสามต่างรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย เยี่ยนเป่ยซีจึงจัดการปัญหาที่หนึ่งก่อน โดยกล่าวว่า “ในความคิดเห็นของกระหม่อม ตำแหน่งแม่ทัพกองทัพชายแดนตะวันตก ให้เฟ่ยอันเป็นผู้รับผิดชอบจะเหมาะสมที่สุดพ่ะย่ะค่ะ”

หนิงไท่ฟู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ตระกูลเฟ่ย… เคยกระทำเรื่องที่มิอาจแก้ไขได้ ข้ากลับคิดว่าให้ฮั่วหวยจิ่นบุตรของกษัตริย์แห่งเจิ้นซีมารับตำแหน่งจะเหมาะสมกว่า”

“ฮั่วหวยจิ่นยังเด็กจนเกินไป ถึงแม้ตระกูลเฟ่ยจะกระทำเรื่องที่มิอาจแก้ไขได้ แต่เฟ่ยอันก็ผ่านการทดสอบความจงรักภักดีที่มีต่อฝ่าบาทแล้ว เขาต่อสู้อย่างกล้าหาญในศึกของกองทัพชายแดนตะวันออก และยังช่วยเหลือองค์ชายใหญ่จนประสบความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ อีกทั้งเขายังเคยดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ของกองทัพชายแดนใต้มาก่อน เขาย่อมเข้าใจเรื่องกองทัพชายแดนเป็นอย่างดี

ข้าคิดเช่นนี้ ตอนนี้เขามีกองทัพใหญ่จากสองฟากฝั่งเจี้ยนหนานจำนวน 400,000 นายอยู่ในมือ เมื่อตัดจำนวนคนที่อยากลาออกไปแล้ว คาดว่าจะมีจำนวนเหลืออยู่ราวสามแสนกว่านายได้ เมื่อรวมกับทหารที่ยอมแพ้ของกองทัพชายแดนตะวันตก ก็สามารถรับช่วงต่อกองกำลังป้องกันชายแดนตะวันตกได้พอดี ฝ่าบาทโปรดพิจารณา”

ฮ่องเต้ครุ่นคิดอยู่ชั่วครูก่อนจะพยักหน้าขึ้นลงเล็กน้อย “เฟ่ยอันเป็นสหายร่วมชั้นของข้า หากข้ามิเชื่อในตัวเขา ก็คงมิส่งเขาไปยังเจี้ยนหนานหรอก… ตัดสินเยี่ยงนี้เลยก็แล้วกัน ให้เฟ่ยอันดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพชายแดนตะวันตก ตอนนี้พวกเจ้าลองกล่าวมาสิว่าจะตกรางวัลให้ตระกูลโจ่งและตระกูลหยูเยี่ยงไร ? ”

ทั้งสองตระกูลต่างก็เป็นสองในห้าตระกูลพ่อค้าใหญ่ของราชวงศ์หยู คิดว่าเยี่ยงไรก็คงมิได้ขาดแคลนเงินทอง พ่อค้าถูกกดหัวมาเนิ่นนาน สิ่งที่พวกเขาปรารถนาย่อมเป็นชื่อเสียง…

“เยี่ยงนั้น ก็ให้ป้ายประกาศเกียรติคุณที่ฝ่าบาทลงพระหัตถ์ด้วยพระองค์เอง 2 แผ่น และให้ตัวแทนพระองค์นำไปมอบให้ เป็นเยี่ยงไรพ่ะย่ะค่ะ ? ” หนิงไท่ฟู่กล่าว

“นี่… น้อยเกินไปหรือไม่ ? ”

“หากฝ่าบาทคิดว่าน้อยเกินไป เยี่ยงนั้นก็พระราชทานอักขระประดิษฐ์สิพ่ะย่ะค่ะ”

ฝ่าบาทครุ่นคิด ข้าในวันนี้มีเงินทองแล้ว หากจะลงมือก็มิสามารถคิดเล็กคิดน้อยได้ พวกเขาออกเงินตั้ง 3,000,000 ตำลึง หากให้เงินน้อยไปก็จะดูมิดี มากไปข้าก็ปวดใจ มิสามารถตกรางวัลเป็นทองได้ แต่ก็ต้องให้พวกเขาทราบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณบ้าง… สถานทูตของแคว้นหลิวถูกสร้างขึ้นมาแล้ว คนของแคว้นหลิวได้มอบสาวงามของแคว้นให้ข้าถึง 2 คน ช่างงดงามยิ่ง แต่ข้าทำได้เพียงมองเท่านั้น

มองไปก็ลำบากใจเสียเปล่า ๆ หลายวันมานี้รสชาติน้ำแกงที่ฮองเฮาซั่งทำให้ก็มิอร่อยเหมือนในอดีต อืม… นำพวกนางไปไว้ที่วังหลังก็จะเกิดหายนะ สู้พระราชทานให้ทั้งสองตระกูลนี้ยังจะดีเสียกว่า !

เมื่อตัดสินใจได้แล้ว ฮ่องเต้ก็ยิ้มออกมาทันที “ดี ! เช่นนี้เรื่องก็จบลงตรงนี้ ต่อจากนี้ พวกเจ้าลองกล่าวมาสิว่าจะตกรางวัลให้ฟู่เสี่ยวกวนเยี่ยงไรดี ? ”

นี่ต่างหากคือปัญหาน่าปวดหัวอย่างแท้จริง ฟู่เสี่ยวกวนในวันนี้ เป็นหัวหน้าของกรมการค้า ทั้งยังเป็นเต้าถายของว่อเฟิงเต้า ได้รับยศเป็นจึเจวี๋ยแล้ว หากในตอนนี้แต่งตั้งให้เขาเป็นป๋อเจวี๋ย เด็กที่เพิ่งจะอายุครบ 18 ปี การรับยศกงเจวี๋ยก็เป็นเรื่องในเร็ววันแล้วมิใช่หรือ ?

“…ในความคิดของกระหม่อม ครานี้ ก็ช่างมันเถอะ” เยี่ยนเป่ยซียังสามารถกล่าวอันใดได้อีกเล่า

ทว่าหนิงไท่ฟู่กลับส่ายหน้า “ที่สงครามนี้สามารถยุติลงได้อย่างรวดเร็ว ถือเป็นความดีความชอบคราใหญ่ของท่านเสี่ยวกวน พวกท่านลองครุ่นคิดดูเถิด หากทัพของสีฮวายึดด่านชีผานได้และรวมตัวกับกบฏเซวี๋ย ทหารใหม่ 400,000 นายของแม่ทัพใหญ่เฟ่ยจะสามารถสกัดกั้นพวกเขาได้เยี่ยงนั้นหรือ ?

ถึงแม้จะสามารถสกัดเอาไว้ได้ แต่จะมีคนตกตายไปเท่าใดกัน หากมิสามารถสกัดเอาไว้ได้ และกบฏเซวี๋ยได้เข้าไปยังเจี้ยนหนานตงเต้า ดังนั้นจะทำให้เจี้ยนหนานตงเต้าเกิดความสูญเสียมากมายเพียงใดพ่ะย่ะค่ะ ?

ดังนั้น กระหม่อมคิดว่าท่านเสี่ยวกวนควรจะได้รับรางวัล และควรเป็นรางวัลใหญ่ด้วยพ่ะย่ะค่ะ ! ”

ราชครูอาวุโสหนิงถอนหายใจออกมา จากนั้นก็ยกมือขึ้นคำนับฮ่องเต้ “ตอนนี้ตำแหน่งรองเสนาบดีการเมืองในสำนักอัครมหาเสนาบดีมิใช่ว่าว่างอยู่หรอกหรือ ? กระหม่อมรู้สึกว่าท่านเสี่ยวกวนมีความสามารถที่จะดำรงตำแหน่งนี้ ! ”

ทันทีที่กล่าวออกไป อย่าว่าแต่เยี่ยนเป่ยซีกับต่งคังผิงเลย แม้แต่ฮ่องเต้ก็ตื่นตกใจเสียยกใหญ่ จากรองเสนาบดีการเมืองขั้นสอง อยู่ห่างจากอัครมหาเสนาบดีของแคว้นเพียงครึ่งก้าวเท่านั้น… สูงเกินไปแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนยังเยาว์วัยเกินไป ยังมิได้ !

ฮ่องเต้ส่ายพระพักตร์ และปฏิเสธข้อเสนอนี้ “มิใช่ว่าข้าคิดว่าเขาไร้ความสามารถ แต่เขายังมิได้ไปจัดการว่อเฟิงเต้า ที่นั่นจะต้องทำให้เขาลงแรงอย่างมาก และกรมการค้าในตอนนี้ก็กำลังเตรียมสำนักงานการค้าทั่วทั้งแคว้น อย่างน้อยเขาก็ต้องทำให้การทำงานของกรมการค้านั่นเป็นไปได้อย่างราบรื่นเสียก่อน

ทั้งนี้เขาเพิ่งจะอายุ 18 ปี หากให้รับตำแหน่งรองเสนาบดีการเมือง ข้ากลัวว่าเขาจะถูกบดขยี้ ! ”

“นี่… ก็เหลือเพียงเลื่อนบรรดาศักดิ์ให้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“เยี่ยงนั้นก็แต่งตั้งให้ฟู่เสี่ยวกวนเป็นป๋อเจวี๋ย ! ”

ฮ่องเต้ตรัสออกมาพร้อมปรบพระหัตถ์ “รอให้เสี่ยวกวนกลับมาถึงราชสำนัก ข้าจะแต่งตั้งให้เขาเป็นติ้งอันป๋อต่อหน้าเหล่าพลเรือน ขุนนาง และเสนาบดีทั้งหมด ส่วนที่ดินพระราชทาน…หมู่บ้านเสี้ยชุน ณ หลินเจียง ! ”

ทันทีที่ฝ่าบาทตรัสจบ ขันทีเจี่ยก็ได้วิ่งเข้ามาพร้อมกับเอกสารหนึ่งฉบับด้วยสีหน้าระรื่น

“ทูลฝ่าบาท รายงานแห่งชัยชนะ ! ชัยชนะคราใหญ่ของแนวหน้าพ่ะย่ะค่ะ ! ”

ฮ่องเต้รู้สึกดีใจขึ้นมาทันพลัน รับรายงานชัยชนะนั้นมาทอดพระเนตร และแย้มพระสรวลออกมาทันใด “ศึกทางตะวันตกเฉียงใต้จบลงแล้ว ศีรษะของกบฏเซวี๋ยและกบฏสีกำลังเดินทางมายังจินหลิง…”

แต่แล้วรอยแย้มพระโอษฐ์ก็ค่อย ๆ จางหายไป “บัดซบ ! คาดมิถึงว่าจะยังมิยอมแพ้ ! ”

“รีบประกาศราชโองการออกไป ให้ฟู่เสี่ยวกวนจับกุมหยูเวิ่นชูกลับมา ! ”