ส่วนที่ 4 ตอนที่ 70 หญิงสวยกับหยกงาม

ความลับแห่งจินเหลียน

ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง ครอบงำแสงไฟที่ถูกประดับไว้ในเมืองใหญ่แห่งความลุ่มหลง ซีเหมินจินเหลียนยืนอยู่ที่ข้างหน้าหน้าต่าง คฤหาสน์ในย่านหลานกุ้ยต่างอยู่บนเนินเขา เธอยืนอยู่ที่หน้าต่างของชั้นสอง ทำให้สามารถมองเห็นไปได้ไกลแสนไกล 

 

 

การมองเห็นแสงไฟทั้งแถบนั้น สามารถสะท้อนทำให้จิตใจของเธอสงบลงได้ 

 

 

จ่านป๋ายออกไปแล้ว คืนนี้ท่ามกลางคฤหาสน์ที่กว้างใหญ่ เหลือเพียงแต่เธอที่เคว้งคว้างอย่างเงียบเหงาอยู่คนเดียว แต่เธอไม่มีโอกาสที่จะได้ลิ้มลองความโดดเดี่ยวอ้างว้าง เวลานี้ซีเหมินจินเหลียนร้อนรนใจเหลือเกิน 

 

 

เธอไม่ได้เป็นกังวลเรื่องจ่านป๋าย ถึงแม้ตระกูลหลินจะหาจ่านป๋ายเจอ แต่ก็คงไม่ทำอะไรเขา ยิ่งไปกว่านั้นถ้าหากชายชราหลินตายเพราะมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น เวลานี้พวกเขาคงปิดอะไรไม่ทัน คงจะไม่พยายามทำเรื่องอะไรเพิ่มอีก 

 

 

แม้แต่ตัวของซีเหมินจินเหลียนเองก็พูดได้ไม่เต็มปากว่าเธอกำลังกังวลใจกับอะไรอยู่กันแน่ 

 

 

ราชาหยก? ราชางู? 

 

 

ตามที่ฉินเฉ่าเคยอธิบายไว้ ตอนแรกหลินเสวียเหวินขโมยของไปจากผู้อาวุโสหู ไม่ใช่แค่หยกฮกลกซิ่วที่ทำการเจียระไนหินแล้ว แต่ยังมีหินหยกที่ยังไม่ได้เจียระไนอีกก้อนหนึ่ง แถมก้อนนี้ถึงเรียกว่าราชาหยกที่รัก 

 

 

ไม่ว่าจะเป็นผู้อาวุโสหูหรือตัวหลินเสวียเหวินเอง พวกเขาก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องราชาหยกให้เธอฟัง แม้กระทั่งหลินเสวียนหลานก็อาจจะไม่รู้ว่ามีราชาหยกอยู่จริง ถ้าอย่างนั้นหยกก้อนนี้เปิดเจียระไนออกมาแล้วหรือยัง แล้วลักษณะเป็นอย่างไร หรือจะเป็นเหมือนราชางูที่ทำให้คนครุ่นคิดว้าวุ่นไปหมด? 

 

 

โทรศัพท์ส่งเสียงดังขึ้น ซีเหมินจินเหลียนรีบเดินไปหยิบโทรศัพท์ โดยปกติคนส่วนมากมักจะโทรมาทางมือถือ แต่เวลานี้เป็นใครกันที่โทรหาเธอด้วยเบอร์บ้าน 

 

 

เมื่อรับสายก็มีเสียงจากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของหมู่บ้านพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสุภาพ “คุณซีเหมินหรือเปล่าครับ? มีเพื่อนของคุณที่ชื่อจ่านมู่ฮวา เขาอยากจะขอพบคุณครับ” 

 

 

ซีเหมินจินเหลียนตกใจ เมื่อเริ่มย้ายมาอยู่ที่ย่านหลานกุ้ยแรกๆ เธอก็ไม่คุ้นชินเวลาที่ต้องเจอกับแขกเป็นอย่างมาก เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมักจะโทรมาถามเธอก่อนตลอด เพราะอย่างนั้นเธอจึงกำชับกับเจ้าหน้าที่ไว้ว่า ถ้าหากมีใครมาหาเธออีกก็ไม่ต้องโทรเข้ามา ให้พวกเขาเข้ามาได้เลย เพราะว่าคนที่มาหาเธอ ก็มีอยู่แค่ไม่กี่คน… 

 

 

แต่นับตั้งแต่ที่จินอ้ายหัวและหลิงซูฟางมาบ้านเธอครั้งนั้น ซีเหมินจินเหลียนก็มีอารมณ์ทำตัวไม่ถูก เพราะฉะนั้นเธอจึงแจ้งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอีกครั้งว่าถ้ามีแขกมาหาให้โทรเข้ามาแจ้งเธอสักหน่อยจะดีที่สุด 

 

 

จ่านมู่ฮวาอย่างนั้นเหรอ 

 

 

ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกสับสน ผู้ชายที่หน้าสวยคนนั้น พี่ชายของจ่านป๋าย? แต่เมื่อมองจากภายนอกก็ดูไม่เหมือนกันเลยสักนิด จ่านมู่ฮวาดูแล้วเหมือนจะมีอายุแค่สิบเจ็ดหรือสิบแปดปีเท่านั้น ให้ความรู้สึกเหมือนคนที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ แต่แววตาของเขาบางครั้งก็มีเงามืดดำครอบงำอยู่ มักจะทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัว 

 

 

เขาก็เป็นผู้ชายที่สวยและอันตรายคนหนึ่ง! 

 

 

“ไม่ต้องให้เข้ามาค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนปฏิเสธไป ดึกดื่นแบบนี้แล้ว อีกทั้งเธอก็อยู่ตัวคนเดียว แล้วจะให้ผู้ชายที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความอันตรายเข้ามาในบ้านเธอได้อย่างไรกัน นั่นมันก็ไม่ใช่ตัวเลือกที่ชาญฉลาดเลย 

 

 

เมื่อวางสายโทรศัพท์แล้ว ซีเหมินจินเหลียนก็ยืนเหม่อลอยอยู่ข้างหน้าหน้าต่างต่อไป 

 

 

เวลาผ่านไปประมาณห้านาที มือถือของซีเหมินจินเหลียนก็ดังขึ้นอีกครั้ง เธอหยิบมือถือขึ้นมาด้วยความสงสัยและสับสนในเบอร์แปลกที่โทรเข้ามา 

 

 

“สวัสดีค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนกดรับสาย 

 

 

“ผมเอง! ผมอยู่หน้าบ้านของคุณแล้ว” เสียงของจ่านมู่ฮวาดังเข้ามาผ่านมือถือ 

 

 

“คุณ…” ซีเหมินจินเหลียนตกตะลึง เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนนั้นฟังไม่รู้เรื่องหรืออย่างไร? เธออุตส่าห์บอกไปแล้วว่าไม่พบเขา 

 

 

จ่านมู่ฮวาคาดเดาความคิดในใจของเธอได้ จึงได้แต่ยิ้มหัวเราะ “ผมให้เช็คกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยไปน่ะ เพื่อทำสัญญาพิเศษกับเขา พรุ่งนี้เขาสามารถไปเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่บริษัทผมได้ เงินเดือนเพิ่มขึ้นเท่าตัว แน่นอนว่าเขาต้องยอมปล่อยผมเข้ามาอยู่แล้ว ฮ่าๆ อายุเท่านั้น แม้ว่าเงินจะไม่ใช่ปัจจัยของทุกสิ่ง แต่เรื่องทุกเรื่องก็ใช้เงินมาแก้ไขปัญหาได้ คุณซีเหมิน คุณจะเปิดประตูด้วยตัวเองดีๆ หรือจะให้ผมพังประตูเข้าไปครับ?” 

 

 

“คุณมันหน้าไม่อาย!” ซีเหมินจินเหลียนด่าเขาไปหนึ่งประโยค พร้อมวางมือถือไปอีกฝั่ง 

 

 

เธอไม่รู้ว่าจ่านมู่ฮวาให้เงินเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยไปเท่าไหร่ แต่เธอก็เข้าใจว่าถ้าหากอยากจะซื้อตัวรปภ.คนหนึ่ง นี่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร โดยเฉพาะคนแบบเขา 

 

 

พังประตู? จ่านป๋ายเคยพูดว่า ถ้าทำไม่ดีก็อาจจะระเบิดได้… 

 

 

ซีเหมินจินเหลียนคิดได้เท่านี้ก็ตกใจขึ้น เธอยังไม่อยากตายนะ และก็ยังไม่อยากตายด้วยการถูกเผาไหม้อยู่ในบ้านหลังนี้ 

 

 

เช่นนั้นเธอจึงรีบหยิบมือถือขึ้นมา ซีเหมินจินเหลียนกระวนกระวายใจโทรไปหาเบอร์เมื่อสักครู่ ในมือถือมีเสียงเจ้าเล่ห์ของจ่านมู่ฮวาส่งเข้ามาว่า “คุณอย่าพูดจาไร้สาระอย่างเช่นว่าคุณไม่ได้อยู่บ้านนะครับ” 

 

 

“คุณต่างหากที่ไร้สาระ!” ซีเหมินจินเหลียนด่า “คุณอย่าพังประตูนะ เดี๋ยวฉันลงไป” 

 

 

“ถ้าอย่างนั้นก็รีบหน่อยนะครับ ผมกำลังเตรียมตัวอยู่เลย!” จ่านมู่ฮวาหัวเราะ 

 

 

“คุณรอฉัน!แป็บนึง” ซีเหมินจินเหลียนร้อนรนใจวิ่งลงมาจากด้านบน แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะหยิบมีดผลไม้ที่พึ่งซื้อมาซ่อนไว้ในกระเป๋าเสื้อ กันไว้เผื่อเกิดเรื่องอะไรขึ้น ถ้าหากผู้ชายคนนี้พูดๆ แล้วกลับไปก็โอเค แต่ถ้าไม่ใช่เธอก็จะทำเขาให้เหมือนกับกระทำงูของเด็กผู้ชายข้างบ้าน ปักมีดลงบนตัวเขาสักเล่ม 

 

 

เมื่อเดินมาเปิดประตูข้างหน้าแล้ว ในใจของซีเหมินจินเหลียนก็ได้แต่เสียใจ นี่มันก็เหมือนกับปล่อยให้จิ้งจอกเข้าบ้านชัดๆ 

 

 

จ่านมู่ฮวาสวมใส่เสื้อคลุมสีขาว ในมือโอบอุ้มดอกกุหลาบสีแดงสดเอาไว้ เมื่อเห็นซีเหมินจินเหลียนเขาก็ได้ใจนำดอกไม้ที่อยู่ในมือส่งต่อให้เธอแล้วยิ้ม “นี่ให้คุณครับ” 

 

 

ซีเหมินจินเหลียนเหลือบไปมองดอกกุหลาบแวบหนึ่ง ก่อนจะมองไปที่จ่านมู่ฮวาอีกครั้ง พร้อมส่ายหน้า “คุณมาที่นี่ทำไม ฉันไม่ต้อนรับคุณหรอกนะ” 

 

 

“คุณจะให้ผมพูดข้างนอกตรงนี้เหรอ?” จ่านมู่ฮวาไม่มีความสำนึกผิดใดๆ เลยสักนิด เขาเดินผ่านซีเหมินจินเหลียนเข้าไปข้างใน “คุณตกแต่งที่นี่ได้สวยไม่เบาเลย สไตล์คลาสสิค คุณผู้หญิงคนสวย ผมสามารถไปเยี่ยมชมห้องนอนของคุณได้ไหมครับ” 

 

 

“ไสหัวไปให้พ้น!” ซีเหมินจินเหลียนสะบัดประตูอย่างแรง สีหน้าโกรธจัด เขายังมีหน้ากล้าพูดประโยคแบบนี้อีก อยากจะขอเยี่ยมชมห้องนอนเธออย่างนั้นเหรอ? 

 

 

“อารมณ์รุนแรงจังเลยนะ” จ่านมู่ฮวายิ้มด้วยสีหน้าเช่นเดิม มองไปรอบด้านแล้วเห็นฝั่งหนึ่ง ที่มีดอกคาลล่าลิลลีสีขาวอยู่ในแจกัน เขานำดอกไม้พวกนั้นทิ้งลงไปในถังขยะ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นดอกกุหลาบที่ถือเอาไว้เข้าไปปักใส่ในแจกันแทน และยิ้มถาม “ใครให้ดอกไม้นี้กับคุณเหรอ ดูไม่มีระดับเลย?” 

 

 

“ฉันไม่ชอบดอกกุหลาบ” ซีเหมินจินเหลียนพูดอย่างหมดอารมณ์ 

 

 

“ผมรู้ คุณชอบดอกบัว” จ่านมู่ฮวาพูดพลางมองสำรวจห้องโดยรอบ จากนั้นก็เจตนาถามขึ้นว่า “น้องชายผมไม่อยู่เหรอ” 

 

 

“รู้แล้วยังจะถามอีก!” ซีเหมินจินเหลียนกล้าเดิมพันเลยว่าเขาก็รู้ว่าจ่านป๋ายไม่อยู่ถึงได้มาที่นี่ 

 

 

“ฮ่าๆ คุณนี่ฉลาดจริงๆ นะ!” จ่านมู่ฮวาเดินมาถึงโซฟาแล้วนั่งลงไขว่ห้าง “ถ้าเขาอยู่ ผมคงไม่มาหาคุณหรอก ผมจะบอกอะไรให้ ตอนนี้ตระกูลหลินก็วุ่นวายมาก” 

 

 

ซีเหมินจินเหลียนใจเต้นแรง ก่อนถามออกไป “เกิดอะไรขึ้นกับตระกูลหลิน” 

 

 

จ่านมู่ฮวาเพียงแต่หัวเราะอย่างเดียวไม่ยอมพูด ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกเกลียดเขาจนตัวสั่นไปหมด แล้ว เธอรู้สึกเป็นห่วงจ่านป๋ายเล็กน้อย จึงรีบคว้ามือถือโทรไปหาเขา แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงก็คือ มือถือของเขากลับปิดเครื่องเสียอย่างนั้น… 

 

 

ขณะที่กำลังคิดจะโทรไปหาหลินเสวียนหลาน แต่เขาเองก็ปิดเครื่องเช่นกัน สีหน้าของซีเหมินจินเหลียนบอกบุญไม่รับ เมื่อเห็นรอยยิ้มที่ดูผิดสังเกตบนใบหน้าของจ่านมู่ฮวา ในใจก็ได้แต่กังวลไม่หยุด ถามอย่างสงสัยว่า “คุณทำอะไรไป?” 

 

 

“ผมสาบานได้ว่าผมไม่ได้ทำอะไรเลย” จ่านมู่ฮวาแกล้งทำเป็นโบกมืออย่างไม่รู้ความ เขาไม่ได้ทำอะไรจริงๆ “ผมแค่อยากจะจีบคุณ หรือนี่มันก็ผิดด้วยเหรอ?” 

 

 

ซีเหมินจินเหลียนโกรธจนขบฟันแน่น ในใจไม่ได้กังวลห่วงแค่จ่านป๋าย แต่ยังมีหลินเสวียนหลานอีกคน 

 

 

เธอเดินช้าๆ ไปข้างหน้าจ่านมู่ฮวาแล้วคว้ามีดผลไม้ออกมา พร้อมพูดจาดุดันขึ้น “คุณบอกฉันมาดีๆ เถอะ ไม่อย่างนั้นมีดเล่มเล็กของฉันมันก็คมไม่น้อยเลย” 

 

 

จ่านมู่ฮวาให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เขาไม่แม้แต่ขยับเขยื้อนร่างกายเลยสักนิด มุมปากเหลือแต่รอยยิ้มจางๆ “ผมไม่ได้ทำอะไรจริงๆ ผมแค่เอาดอกกุหลาบมาจีบคุณเท่านั้น…” 

 

 

“เกิดอะไรขึ้นกับบ้านตระกูลหลิน?” ซีเหมินจินเหลียนถาม 

 

 

“ผมได้ยินว่าชายชราหลินตายแล้ว” จ่านมู่ฮวาตอบตามความจริง “คุณก็เอามีดถอยไปหน่อย ผมไม่หนีไปไหนหรอก” 

 

 

“ฉันรู้แล้วว่าคุณปู่หลินตายแล้ว” ซีเหมินจินเหลียนมีความเคลือบแคลงใจ หลินเสวียเหวินเป็นคนสูงส่งโด่งดังคนหนึ่ง แต่ไม่ได้มีจุดจบที่ดี “ฉันถามคุณว่าเสี่ยวป๋ายเป็นอะไร” 

 

 

“เสี่ยวป๋าย?” จ่านมู่ฮวาสับสนพร้อมยิ้ม “มู่หรงน่ะเหรอ” 

 

 

“ไร้สาระ!” ซีเหมินจินเหลียนด่าอย่างหมดอารมณ์ 

 

 

“มู่หรงไม่เป็นอะไรหรอก ถึงแม้ผมจะอยากให้มันตายก็เถอะ!” จ่านมู่ฮวาพูดความจริง 

 

 

“คุณ…” ซีเหมินจินเหลียนถูกทำให้โกรธไม่หยุด นี่เขาพูดอะไรของเขากัน? อย่างน้อยพวกเขาก็เป็นพี่น้องกันแท้ๆ นะ 

 

 

 “คุณให้ผมพูดความจริง ผมก็พูดความจริงแล้วไง ดูสิว่าผมเป็นเด็กดีขนาดไหน” จ่านมู่ฮวาทำเป็นหน้าตาใสซื่อไม่รู้เรื่อง เมื่อเสริมกับใบหน้าอ่อนเยาว์ของเขาแล้ว ซีเหมินจินเหลียนก็เกือบจะทนไม่ไหว 

 

 

“ตระกูลหลินเองเหมือนจะมีคนแจ้งความไปแล้ว บอกว่าชายชราหลินตายอย่างไม่ทราบสาเหตุ” จ่านมู่ฮวาถูกสะกดด้วยแววตาพิฆาตของซีเหมินจินเหลียนที่คอยจับจ้องอยู่ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะจิตใต้สำนึกที่ดีเผยขึ้นมาหรืออย่างไร จู่ๆ เขาถึงได้พูดออกมา 

 

 

ซีเหมินจินเหลียนไม่ได้พูดอะไรต่อ คิดไม่ถึงว่าคนในตระกูลหลินจะมีคนแจ้งความด้วย? เรื่องยิ่งวุ่นวายเข้าไปใหญ่ แต่เรื่องนี้จะโยงให้หลินเสวียนหลานกับจ่านป๋ายเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องหรือเปล่า ถ้าหากไปถึงตำรวจ เธอก็ยิ่งไม่รู้จะทำอย่างไร 

 

 

“คุณไม่ต้องเป็นห่วงมู่หรงหรอก มันไม่เป็นไรแน่ ถ้าหากเรื่องเล็กๆ แค่นี้มันยังจัดการไม่ได้ มันก็คงตายไปตั้งนานแล้วล่ะ” จ่านมู่ฮวาพูดขึ้นอีกครั้ง 

 

 

สำหรับคำพูดตรงไปตรงมา โผงผางของเขา ซีเหมินจินเหลียนกลับรู้สึกสงสัย “พวกคุณเป็นพี่น้องแท้ๆ ทำไมคุณถึงได้เกลียดเขาขนาดนั้น?” 

 

 

สำหรับคำถามนี้ จ่านมู่ฮวาหันหน้าไปทางอื่นไม่ตอบอะไร 

 

 

ซีเหมินจินเหลียนเก็บมีดผลไม้แล้วนั่งลงบนโซฟา “ตระกูลหลินยังมีปัญหาอะไรอีก” 

 

 

“ราชาหยกคืออะไร” จ่านมู่ฮวาถาม 

 

 

“ที่แท้คุณก็มาเพราะอยากจะถามเรื่องนี้?” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มอย่างเยือกเย็น เดิมทีเธอก็นึกว่าเป็นเพราะเสน่ห์ที่ล้นหลามของเธอ แต่ที่แท้สิ่งที่รักเป็นหยกงาม ไม่ใช่หญิงสวย 

 

 

“คงจะอย่างนั้น!” จ่านมู่ฮวายิ้ม 

 

 

“ฉันไม่เคยได้ยินด้วยซ้ำว่าราชาหยกคืออะไร” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มขึ้นมา ขอแค่จ่านป๋ายและหลินเสวียนหลานไม่เป็นอะไร อย่างอื่นเธอไม่เกรงกลัวจ่านมู่ฮวา 

 

 

ผู้ชายแบบเขา คงจะไม่ถึงขั้นที่เห็นผู้หญิงแล้วกระหายอยากพุ่งเข้าใส่ 

 

 

“ผู้อาวุโสหูคนนั้น เป็นคุณปู่ของคุณจริงๆ อย่างนั้นเหรอ” จ่านมู่ฮวาถามอย่างสงสัย 

 

 

“ถ้าหากฉันจำไม่ผิด เหมือนคุณจะติดค้าง sm กับฉันอยู่ฉากหนึ่ง” ซีเหมินจินเหลียนรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ผู้อาวุโสหูกับเธอจะมีความสัมพันธ์กันอย่างไรแล้วเกี่ยวอะไรกับเขากัน ทำไมเธอต้องบอกเขาด้วย