ตอนที่ 426 คุณเฉียวโกรธแล้ว

ปาฏิหาริย์รัก เทพธิดาจำแลง

ท่านทูตเการู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ท่านกับฉินเย่ว์เป็นเพื่อนกันมานานหลายปี หลานสาวเขามีเรื่องเดือดร้อนเมื่อวานนี้ และฉินเย่ว์โทรมาขอความช่วยเหลือ ซึ่งท่านได้ตกลงช่วยเหลือไปแล้ว เนื่องจากความสัมพันธ์ฉันมิตรที่มีต่อกัน แล้วนี่หลานสาวฉินเย่ว์ไปก่อเรื่องเดือดร้อนขึ้นอีกแล้วหรือ

 

 

“ผมไม่เข้าใจ นี่คุณหมายถึงอะไรเหรอ คุณเฉียว” ท่านทูตเกาแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจคำพูดของเฉียวเหลียง

 

 

เฉียวเหลียงเหลือบมองท่าน ขยับยิ้มมุมปากเล็กน้อย แล้วหยิบกล่องกลับคืนมา กล่าวพร้อมด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านทูตเกา ในเมื่อท่านมีความสัมพันธ์อันดีกับปู่ฉิน ดีจนถึงขนาดยอมแลกชีวิตภรรยาท่านเองกับหลานสาวเขา ผมก็ต้องขอยอมแพ้ ผมลาละครับ”

 

 

ท่านทูตเกาชะงัก รีบคว้ากล่องนั้นไว้ อ้อนวอนเฉียวเหลียงว่า “คุณเฉียว อย่าเพิ่งเข้าใจผมผิด ฉินเย่ว์เป็นแค่คนรู้จัก ที่ผมถามก็เพราะผมไม่รู้จริงๆ ว่าคุณต้องการให้ผมทำอะไร”

 

 

คุณเฉียวคนนี้ไม่ยอมรักษาหน้าท่านเลย ชายผู้นี้เป็นคนลึกลับ ไม่เคยมีใครสืบรู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของเขาคือใคร ไม่มีใครรู้จักครอบครัวเขา หรือข้อมูลอื่นใดเกี่ยวกับตัวเขา นอกเสียจากสิ่งเดียวคือ เขาเป็นนายใหญ่ของหลงเซี่ยวกรุป

 

 

เฉียวเหลียงมองท่านทูตเกา เขาคลายมือออก แล้วกลับลงไปนั่ง ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้ม “อ้อ เข้าใจแล้วครับ ผมคิดไปเองว่าท่าน…”

 

 

ก่อนที่เฉียวเหลียงจะพูดจบ ท่านทูตเกาก็รีบขัดขึ้น “ไม่เลย ฉินเย่ว์กับผมไม่ได้เป็นเพื่อนกัน ถึงแม้จะเป็นเพื่อน แต่ในฐานะทูต ผมก็จะไม่ให้อภิสิทธิ์กับใคร ผมรู้สึกสำนึกบุญคุณคุณมาก ที่ช่วยให้ภรรยาผมได้มีโอกาสรอดชีวิต แน่นอนว่าผมไม่อาจปฏิเสธคำขอของคุณ”

 

 

เมื่อได้รับคำมั่นสัญญาเช่นนี้ เฉียวเหลียงก็ยิ้ม “ผมดีใจที่ได้ยินแบบนี้ ขอบคุณมากนะครับ ท่านทูตเกา”

 

 

ท่านทูตเกามองดูกล่องที่ตนถืออยู่ในมือ ท่านส่ายศีรษะพร้อมด้วยรอยยิ้ม “ไม่หรอกครับ ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณ คุณเฉียว”

 

 

“ครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวกลับก่อน” เมื่อได้บรรลุในสิ่งที่มุ่งหมายแล้ว เฉียวเหลียงก็เหลือบมองนาฬิกาข้อมือ ยิ้มและกล่าวว่า “ไม่ต้องลำบากออกไปส่งหรอกครับ”

 

 

ท่านทูตเกายิ้ม “ให้ผมไปส่งคุณเถอะ ผมต้องเอายาสมุนไพรนี้ไปส่งที่โรงพยาบาลด้วย”

 

 

เฉียวเหลียงขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาชะงักเท้า หันกลับไปมองท่านทูตเกา ถามขึ้นว่า “ภรรยาท่านเข้ารับการรักษาที่ไหนหรือครับ ที่ประเทศจีนหรือฝรั่งเศส”

 

 

“ครั้งก่อนเธอเข้ารับการรักษาในฝรั่งเศส ครั้งนี้จึงต้องเข้าโรงพยาบาลที่ฝรั่งเศสเหมือนกัน…” ท่านทูตเกาตอบยิ้มๆ

 

 

เฉียวเหลียงยังคงนิ่วหน้ามองท่านทูต เขากัดริมฝีปาก “มีเพียงหมอที่เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรจีนดั้งเดิมเท่านั้นจึงจะรู้วิธีใช้ยาสมุนไพรนี้ จะเป็นการสูญเสียยาสมุนไพรไปโดยเปล่าประโยชน์ หากท่านนำยาไปมอบให้หมอที่ไม่รู้จักสมุนไพรจีนดั้งเดิมเป็นอย่างดี ขอให้ท่านทูตเกาโปรดระมัดระวังด้วย”

 

 

“ผมทราบดี แต่ไม่มีทางเลือกอื่น” ท่านทูตเกาถอนหายใจ กำลังขยับจะพูดต่อ เมื่อเฉียวเหลียงหยิบปากกาออกมา เขียนที่อยู่ลงบนกระดาษแผ่นหนึ่ง และส่งให้ท่านเสียก่อน “เท่าที่ทราบ โรงพยาบาลนี้ไม่เลวเลย ที่นี่มีหมอที่เก่งเฉพาะทางหลายคน ถ้าท่านเชื่อใจผม ก็ลองไปที่โรงพยาบาลนี้นะครับ”

 

 

ท่านทูตเกาก้มลงมองที่อยู่บนแผ่นกระดาษแล้วยิ้ม ท่านรู้จักโรงพยาบาลนี้ดีว่าเป็นโรงพยาบาลที่มีชื่อเสียงมากในปารีส มีชื่อเสียงไปทั่วทั้งฝรั่งเศสเลยด้วยซ้ำ แต่ที่นี่เป็นโรงพยาบาลเอกชน ท่านเลือกไปโรงพยาบาลของรัฐแทนที่จะไปที่นี่ตั้งแต่แรก เพราะเกรงจะเกิดการผิดพลาดในการให้ยาและการรักษา ท่านเงยขึ้นมองเฉียวเหลียง…

 

 

เฉียวเหลียงขมวดคิ้ว “เก็บที่อยู่ไว้เถอะครับ หากท่านเชื่อใจผมก็ลองไปที่นี่ดู แต่ถ้าไม่ไว้ใจ ก็แล้วแต่ท่านจะตัดสินใจ”

 

 

เฉียวเหลียงกล่าวจบ ก็เดินออกไปข้างนอก ท่านทูตเการีบเดินตามไป “คุณเฉียว อย่าเพิ่งเข้าใจผมผิด ผมซาบซึ้งใจมากในความช่วยเหลือของคุณ ผมจะพาภรรยาไปที่โรงพยาบาลที่คุณแนะนำ ผมเชื่อใจคุณ ขอบคุณมากที่ช่วยแนะนำโรงพยาบาลนี้ให้ผม”

 

 

เฉียวเหลียงก้าวเดินต่อไปเรื่อยๆ ด้วยสีหน้าปราศจากความรู้สึก ส่วนท่านทูตเกาก็ยังคงกล่าวขอบคุณเขาไปเรื่อยๆ เช่นกัน จนเฉียวเหลียงเกือบทนฟังคำขอบคุณของท่านไม่ไหว เขาหยุดเดิน หันกลับมามองท่านทูตแล้วกล่าวขึ้นว่า “ท่านทูตเกา ไม่ต้องขอบคุณผมหรอกครับ เราแค่ช่วยเหลือซึ่งกันและกันเท่านั้นเอง”

 

 

 

 

ถังซีนั่งรอเฉียวเหลียงอยู่ในรถ เฉียวเหลียงเดินออกจากสถานทูตแล้วตรงมาขึ้นรถ ท่านทูตเกาตามหลังเขาออกมาจากสถานทูต แล้วบอกให้เลขานุการไปเตรียมรถให้ รวมทั้งบอกต่ออีกด้วยว่าจะรีบกลับบ้านเพื่อไปแจ้งข่าวดีให้ภรรยาทราบ

 

 

เลขานุการมองดูนาฬิกา เห็นว่าใกล้เวลาปิดทำการของสถานทูตแล้ว เขาพยักหน้าและไปขับรถออกมารอรับ ทันทีที่รถท่านทูตเกาขับออกไป ปู่ฉินกับผู้ช่วยก็มาถึงหน้าสถานทูต

 

 

ภายในรถ ถังซีซึ่งทำหน้าที่คนขับ มองสีหน้าที่เคร่งเครียดของเฉียวเหลียง เธอเลิกคิ้ว ถามเขายิ้มๆ ว่า “เกิดอะไรขึ้น คุณรับมือท่านทูตไม่ไหวเหรอ ท่านปฏิเสธนายน้อยของเราอย่างนั้นเหรอ”

 

 

เฉียวเหลียงเหลือบมองเธอด้วยหางตาอย่างหยิ่งๆ คล้ายจะบอกว่าจะเป็นอย่างนั้นไปได้อย่างไร

 

 

ถังซีหัวเราะอยู่ในลำคอ “แล้วทำไมถึงทำหน้าเครียด”

 

 

“เขาพูดมากเหลือเกิน” เฉียวเหลียงหน้านิ่วคิ้วขมวด

 

 

เขากังวลว่าท่านทูตเกาจะเผลอพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไป

 

 

ถังซีนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วนึกรู้ว่าเฉียวเหลียงกำลังกังวลใจว่าท่านทูตเกาซึ่งเป็นคนช่างพูด อาจเผลอเปิดเผยความลับของเขาออกไป เธอหัวเราะคิก ดูเหมือนเขาจะรำคาญคนพูดมาก แต่ว่า…

 

 

“อย่ากังวลเลยค่ะ ท่านเป็นถึงท่านทูตนะ ท่านย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่าอะไรควรพูด อะไรไม่ควรพูด คุณไม่ต้องกังวลไปหรอก” ถังซีเอื้อมมากุมมือเฉียวเหลียง “คุณคงเหนื่อยแน่เลย เรารีบกลับไปพักผ่อนกันเถอะค่ะ ยังมีเรื่องยุ่งยากรอให้จัดการอีกเยอะ”

 

 

หลายวันนับจากนี้ไป เธอจะต้องจัดการเรื่องการจัดแฟชั่นโชว์ ไปพร้อมๆ กับดูแลการผลิตชิ้นงานที่โรงงานผลิตเสื้อผ้า แล้วยังมีคลิปวิดีโอเปิดตัวและโฆษณาแบรนด์อีก นอกจากนี้เธอยังต้องรับมือกับปู่ฉินด้วย เฮ้อ…เธอต้องยุ่งวุ่นวายอย่างที่สุด ในช่วงสองสามวันข้างหน้านี้!

 

 

เฉียวเหลียงพยักหน้า ดึงหน้ากากผิวหนังออกจากใบหน้า โยนไปไว้ข้างๆ ถังซีมองหน้าเขาแล้วอดถามไม่ได้ว่า “คุณสวมหน้ากากนี้เวลาไปที่หลงเซี่ยวด้วยหรือเปล่า”

 

 

ถ้าเขาสวม คนที่หลงเซี่ยวก็คงไม่มีใครจำเขาได้แน่ เวลาที่เขาไม่ได้สวมหน้ากาก

 

 

“เปล่า คนของเรารู้ว่าหน้าตาผมเป็นยังไง พวกเราสวมหน้ากากผิวหนังเฉพาะตอนออกไปเจอคนนอกเท่านั้น เราสวมหน้ากากนี้กันมานานหลายปีแล้ว หลายๆ คนที่รู้ว่านี่ไม่ใช่ใบหน้าที่แท้จริงของพวกเรา ก็จะไม่สงสัยในตัวตนที่แท้จริงของเรา”

 

 

แน่นอนว่าเขาไม่ได้ควบคุมหลงเซี่ยวกรุปด้วยใบหน้าที่แท้จริงอยู่แล้ว

 

 

ถังซีพยักหน้า เข้าใจดีว่าเขาหมายความว่าอย่างไร

 

 

“ฉันเข้าใจแล้ว”