ปู่ฉินหน้าบึ้ง จ้องมองผู้ช่วยอย่างแค้นเคือง ผู้ช่วยกลัวสายตาเย็นเยือกที่จ้องมองมาจึงรีบกล่าวว่า “ผมจะไปหาท่านผู้บังคับการตำรวจเอง นายท่านโปรดรอสักครู่” 

 

 

ปู่ฉินส่งเสียงฮึดฮัดเป็นคำตอบ เดินไปนั่งลงที่โซฟา แล้วประสานมือไว้บนไม้เท้า หลับตาพักผ่อน พร้อมกับปลดปล่อยรัศมีความไม่เป็นมิตรออกมารอบกาย 

 

 

ผู้ช่วยขึ้นไปชั้นที่เป็นห้องทำงานผู้บังคับการตำรวจ เลขานุการเห็นเขาขึ้นมาอีกก็ขมวดคิ้ว กล่าวอย่างไม่พอใจ “คุณมาอีกทำไม ผมบอกแล้วว่าท่านผู้บังคับการของเราเป็นคนเที่ยงธรรมและเป็นกลาง ท่านไม่รับสินบนของคุณ! เพราะฉะนั้นอย่ามารบกวนการทำงานของเรา ไม่อย่างนั้นผมจะจับคุณ!” 

 

 

ผู้ช่วยคิดว่าเลขานุการต้องการเงินมากกว่านี้ เขาจึงรีบหยิบเช็คมูลค่าห้าหมื่นยูโรมาใส่ในในมือเลขานุการ แล้วกล่าวเสียงต่ำเบาๆ ว่า “ท่านครับ ช่วยผมหน่อยเถอะ ขอให้ผมได้เข้าไปพูดกับท่านผู้บังคับการตำรวจด้วย ผมไม่ให้ท่านเสียเวลานานหรอก…” 

 

 

เลขานุการมองเช็คแล้วกลืนน้ำลายด้วยความโลภ เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะบังคับตัวเองให้หดมือกลับและละสายตาไปทางอื่น ผู้ช่วยสังเกตเห็นการต่อสู้กับตัวเองของเขา จึงยื่นเช็คเข้าไปวางใกล้ๆ เขา แล้วกล่าวอีกครั้งว่า “นี่เป็นแค่สินน้ำใจ ถ้าเราได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว เราจะจ่ายให้อีกห้าหมื่นยูโร” 

 

 

เลขานุการตาลุกโพลง มองผู้ช่วยด้วยความประหลาดใจ ผู้หญิงบ้าบอที่พวกเขาพยายามช่วยคือใครกัน คนพวกนี้ยอมจ่ายเงินมากมายขนาดนี้เพื่อช่วยเธออย่างนั้นหรือ! 

 

 

เลขานุการจ้องมองเช็ค ในที่สุดเขาก็ถอนหายใจและกล่าวว่า “ผมทำได้แค่เข้าไปแจ้งแก่ท่านผู้บังคับการ แต่ผมไม่แน่ใจว่าท่านจะให้คุณเข้าพบหรือเปล่า อย่าเพิ่งให้เงินผมตอนนี้ รอดูก่อนว่าท่านผู้บังคับการจะยอมให้คุณเข้าพบไหม” เขามองเช็คอีกครั้ง… แล้วดันเช็คบนโต๊ะกลับไปอย่างไม่เต็มใจ 

 

 

ผู้ช่วยมองหน้าเลขานุการด้วยความประหลาดใจ เลขานุการเม้มริมฝีปาก แล้วบอกว่า “รออยู่ตรงนี้นะ” 

 

 

จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปในห้องทำงานของผู้บังคับการตำรวจ เพียงหนึ่งนาทีต่อมาก็ได้ยินเสียงคำรามอย่างหมดความอดทนของผู้บังคับการ เขาพูดเป็นภาษาฝรั่งเศส ผู้ช่วยจึงไม่รู้ว่าเขาพูดอะไร แต่เมื่อเห็นเลขานุการเดินคอตกออกมาจากห้องทำงานนั้น ผู้ช่วยก็รู้ว่าเขาล้มเหลว… 

 

 

เนื่องจากเขาถูกผู้บังคับการตำรวจดุ เลขานุการจึงจ้องมองผู้ช่วยด้วยความโกรธ เขากล่าวกับผู้ช่วยด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ผมขอแนะนำให้คุณล้มเลิกความคิดเถอะ เว้นแต่คุณจะสามารถโน้มน้าวผู้บังคับบัญชาของท่านผู้บังคับการได้ ไม่อย่างนั้นท่านก็จะไม่เปลี่ยนใจ เงินน่ะเหรอ ท่านผู้บังคับการของเราเห็นเป็นแค่เศษสวะ! ออกไปได้แล้ว!” 

 

 

ผู้ช่วยลูบจมูกอย่างอับอาย และจากไปด้วยความลำบากใจ เมื่อกลับไปที่ห้องโถงชั้นหนึ่ง และเห็นปู่ฉินนั่งอยู่ท่าทางเหมือนงีบหลับเขาก็ลังเล ไม่กล้าเข้าไปหา ปู่ฉินดูเหมือนจะรู้สึกได้ถึงสายตาที่จ้องมองมา จึงลืมตาขึ้นมองผู้ช่วย ซึ่งรีบเข้ามารายงานว่าเมื่อครู่นี้เกิดอะไรขึ้น สีหน้าปู่ฉินเข้มคล้ำขึ้นทันที เขาลุกขึ้นยืนและกล่าวอย่างเย็นชา “ไปสถานทูตกัน” 

 

 

ผู้ช่วยพยักหน้าแล้วรีบเดินตามออกไป 

 

 

ในร้านกาแฟแห่งหนึ่งไม่ไกลจากสถานีตำรวจ อาห้าหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาเฉียวเหลียง “นายน้อยครับ พวกเขาออกไปแล้ว เราจะไปที่สถานทูตกันไหมครับ” 

 

 

เฉียวเหลียงซึ่งกำลังดื่มกาแฟอยู่กับท่านทูต ค่อยๆ วางถ้วยกาแฟลง แล้วกล่าวว่า “ฉันอยู่ที่สถานทูตแล้ว” 

 

 

อาห้าถามว่า “ให้ผมตามไปไหมครับ” 

 

 

“ไม่ต้อง” เฉียวเหลียงวางสาย แล้วหันไปมองท่านทูตด้วยรอยยิ้ม “ท่านทูตเกาครับ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้พบท่าน นับตั้งแต่ท่านจากประเทศจีนมาเมื่อห้าปีก่อน” 

 

 

“ใช่แล้ว คุณเฉียว ผมยังจำได้ ตอนนั้นเราอยู่ในงานเลี้ยงของรัฐบาล เมื่อเราพบกันครั้งสุดท้าย คุณได้จัดหาเครื่องบินขับไล่สองลำที่หลงเซี่ยวกรุปออกแบบพัฒนาขึ้นมาใหม่ให้กับประเทศเรา แม้จะมีเจ้าหน้าที่ทหารระดับสูงหลายคนในงานเลี้ยงของรัฐบาลในครั้งนั้น แต่คุณคือดาวเด่นของงาน ผมได้พูดคุยกับคุณ โดยท่านนายพลหวังเป็นผู้แนะนำให้ผมรู้จักคุณ ผมไม่คิดว่าคุณจะยังจำผมได้ และมาเยี่ยมผมเป็นพิเศษเช่นนี้ ผมปลาบปลื้มมาก” ชายวัยกลางคนผู้อ่อนโยนวางถ้วยชาลง แล้วกล่าวกับเฉียวเหลียงซึ่งนั่งอยู่ตรงกันข้ามด้วยรอยยิ้มให้ 

 

 

“ท่านทูตเกา ผมก็ปลาบปลื้มเช่นกันครับ ถ้าผมยอดเยี่ยมได้เท่าท่าน ผมจะไม่อยู่ในแวดวงธุรกิจ น่าเสียดายที่ผมไม่เก่งพอที่จะเข้าทำงานในหน่วยงานของรัฐบาล” เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “และเป็นเกียรติของผมที่ได้รับใช้ชาติ ผมดีใจที่ทางกองทัพชอบยุทโธปกรณ์ของเราครับ” 

 

 

“คุณเฉียว คุณถ่อมตัวเกินไป” ท่านเอกอัครราชทูตเกาส่ายศีรษะพร้อมกับยิ้ม “ถ้าผมทำได้อย่างคุณเมื่อผมยังหนุ่ม ผมก็จะเลือกเส้นทางเดียวกับคุณ” 

 

 

เฉียวเหลียงยิ้ม หยิบกล่องใบหนึ่งออกมา ส่งให้เอกอัครราชทูตเกาด้วยรอยยิ้ม และกล่าวว่า “ผมได้ยินมาว่าท่านกำลังมองหาสมุนไพรสำหรับภรรยาของท่าน สมุนไพรชนิดนั้นหายากมาก และท่านยังหาไม่ได้ บังเอิญผมได้รับสมุนไพรชนิดนี้มาจากเพื่อน ผมจึงนำมาให้ท่านครับ” 

 

 

เอกอัครราชทูตเกาซึ่งนั่งอยู่ในท่าสบายๆ ยืดตัวขึ้นตรงทันที ท่านรักภรรยามาก และพาภรรยามาด้วยเมื่อต้องมาประจำที่ปารีส แต่เมื่อสามปีก่อนปรากฏว่าภรรยาท่านป่วยเป็นมะเร็ง เธอลองเข้ารับการผ่าตัด ใช้เคมีบำบัด และใช้วิธีอื่นๆ มาหมดแล้ว แต่อาการก็ยังแย่ลง ท่านได้ยินมาว่ามีสมุนไพรชนิดหนึ่งสามารถป้องกันการลุกลามของโรคที่เธอเป็นได้ สมุนไพรชนิดนี้จะเติบโตลึกลงไปใต้ทะเลทรายเท่านั้น ท่านพยายามทุกวิถีทางที่จะค้นหาสมุนไพรชนิดนี้ แต่ก็ยังหาไม่ได้ 

 

 

ท่านไม่คาดคิดว่าคุณเฉียวจะมีสมุนไพรชนิดนี้ และนำมาให้ท่าน! 

 

 

ท่านเอกอัครราชทูตเกามองหน้าเฉียวเหลียงด้วยความประหลาดใจ “คุณเฉียว ผมจะรับของขวัญล้ำค่าเช่นนี้จากคุณได้อย่างไร” 

 

 

เฉียวเหลียงยิ้ม “ไม่หรอกครับท่าน ของสิ่งนี้มีค่าไม่เทียบเท่ากับสิ่งที่ผมอยากจะขอรบกวนท่านหรอกครับ ท่านเอกอัครราชทูตเกา” 

 

 

ท่านทูตเกาละสายตาจากสมุนไพร รอยยิ้มบนใบหน้าท่านค่อยๆ หายไป ท่านหันไปมองเฉียวเหลียง และขมวดคิ้ว “จะให้ผมช่วยอะไรเหรอ คุณเฉียว” 

 

 

เฉียวเหลียงมองหน้าเอกอัครราชทูตเกา ซึ่งเห็นได้ชัดว่าท่านตื่นตระหนก เขาเลิกคิ้วพร้อมกับยิ้ม “ท่านทูตเกาไม่ต้องตกใจหรอกครับ เป็นเพียงเรื่องขอร้องเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น เพื่อนผมถูกทำร้ายร่างกายเมื่อคืนนี้ ตอนนี้คนร้ายถูกคุมขังอยู่ที่สถานีตำรวจ แต่เธอเป็นหลานสาวเพื่อนเก่าของท่าน ฉินเย่ว์น่ะครับ บางทีเขาอาจจะมาพบท่านเร็วๆ นี้ เพื่อขอให้ท่านกดดันให้ตำรวจโอนคดีไปให้ตำรวจจีน ท่านก็ทราบดีว่าผมไม่ชอบมีปัญหาคาราคาซัง หากมีการโอนคดี คดีนี้จะต้องส่งฟ้องศาลภายในปีหรือสองปี แล้วถ้าคนร้ายได้รับการประกันตัว เธอก็จะไม่ได้รับการลงโทษใดๆ เลย ผมหวังว่าท่านเอกอัครราชทูตเกา จะไม่เข้ามาเกี่ยวข้องกับคดีนี้ เท่านั้นแหละครับ”