ตอนที่ 746 ออกจากเมืองหลวง / ตอนที่ 747 แรกพบ

ชายาหยุดเย้าข้าเสียทีเถิด

ตอนที่ 746 ออกจากเมืองหลวง

 

 

เซียวหนิงดีใจจนแทบกระโดดโลดเต้น ในดวงตามีประกายวูบวาบขึ้น นางพยักหน้าอย่างแรง ขอแค่ได้ออกจากวัง ไม่ว่าตอนนี้หลิงอวี้จื้อจะให้นางทำอะไร นางล้วนพยักหน้าตอบรับทั้งสิ้น นางดีใจจนไม่มีสติไปคิดสิ่งใดให้มากแล้ว

 

 

เมื่อเห็นเซียวหนิงดีใจถึงเพียงนั้น หลิงอวี้จื้อก็ได้แต่ส่ายหน้า ในบรรดาบุตรทั้งสี่คนนั้น บุตรสาวผู้นี้มีอุปนิสัยคล้ายเธอที่สุด เธอสอนจนนางแทบจะกลายเป็นคนยุคปัจจุบันอยู่แล้ว

 

 

ส่วนเซียวอวี่บุตรชายคนโตนั้นคล้ายบิดาของเขายิ่ง เรียกได้ว่าเป็นเซียวเหยียนฉบับหนุ่มน้อยเลยเชียวล่ะ ทั้งยังดูนิ่งขรึมกว่าเซียวเหยี่ยนเสียอีก อายุยังน้อยแท้ๆ แต่เป็นผู้ใหญ่ยิ่ง ทำให้เธอผู้เป็นมารดาดูอุปนิสัยเด็กน้อยไปเลยทีเดียว

 

 

บุตรอีกสองคนเป็นแฝด หน้าตาเหมือนกันยิ่ง แต่อุปนิสัยนั้นไปคนละทิศ คนหนึ่งร่าเริงสนใด คนหนึ่งว่าง่ายนิ่งเงียบ เมื่อรวมกันแล้วกลับสมบูรณ์แบบ

 

 

เมื่อมีบุตรสี่คนนี้แล้วทำให้ชีวิตของเธอและเซียวเหยี่ยนมีความสุขขึ้นอีกมาก และแน่นอนว่ามันวุ่นวายไม่น้อยเช่นกัน คนทั้งสองมักจะถกเถียงกันในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่ไม่นานก็คืนดีกัน ส่วนมากเซียวเหยี่ยนจะเป็นคนอ่อนข้อให้เธอก่อน

 

 

ตอนนี้เธอแต่งกับเซียวเหยี่ยนมายี่สิบเอ็ดปีแล้ว บุตรของพวกเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว เวลาผ่านไปเร็วจนแทบไม่รู้ตัว เวลายี่สิบปีช่างสั้นนัก ชีวิตนี้ของเธอช่างมีความสุขจริงๆ เธอหวังว่าบุตรของเธอจะมีความสุขในชีวิตการแต่งงานของตนเช่นกัน

 

 

ผ่านไปอีกหลายวัน เซียวหนิงก็พาชุนฉินติดตามเซียวอวี่เดินทางออกนอกเมืองหลวงไป โดยทั้งสองแต่งกายเป็นหญิงรับใช้ เรื่องนี้เซียวเหยี่ยนย่อมต้องคัดค้านอย่างแน่นอน แต่เมื่อหลิงอวี้จื้ออนุญาต การคัดค้านของเซียวเหยี่ยนก็ไม่เป็นผล อย่างไรเขาก็ขัดหลิงอวี้จื้อไม่ได้

 

 

เซียวหนิงอารมณ์ดียิ่งมาตลอดทาง นางฮัมเพลงที่หลิงอวี้จื้อสอนให้ตน เซียวอวี่ที่นั่งอยู่ในรถม้าคันเดียวกันถึงกับขมวดคิ้วมุ่น สีหน้าเต็มไปด้วยความรังเกียจ “เลิกร้องเถิด ไม่ไพเราะเอาเสียเลย”

 

 

“เจ้าร้องแย่กว่าข้าเสียอีก ยังมีหน้ามารังเกียจข้า”

 

 

“ท่านพี่ ท่านไม่เคยฟังข้าร้องเพลงเลย รู้ได้อย่างไรว่าไม่ไพเราะ”

 

 

เซียวหนิงหัวเราะคิกคักพลางเอ่ยว่า “แม้แต่พูดเจ้ายังไม่กล้าพูด ยังจะกล้าบอกว่าตนเองร้องเพลงเพราะอีกหรือ”

 

 

“น่าเบื่อจริงๆ”

 

 

“ไม่น่าเบื่อเท่าเจ้าหรอก”

 

 

เซียวอวี่จึงเลิกสนใจเซียวหนิงไปเสีย สองพี่น้องมักจะมีปากเสียงกันเช่นนี้อยู่เปล่าครั้ง ทุกครั้งจะเป็นเซียวอวี่ที่เสียเปรียบ หากพูดถึงการต่อปากต่อคำ เขาย่อมไม่สู้เซียวหนิง อีกทั้งเซียวหนิงยังถือว่าตนเองเป็นพี่อีกด้วย แต่ไม่ใช่พี่ที่ดูแลน้องทว่าเป้นพี่ที่รังแกน้องมากกว่า

 

 

เมื่อเห็นว่าเซียวอวี่ไม่พูดจา เซียวหนิงก็หัวเราะฮ่าๆ “น้องชายคนดี เจ้าโกรธหรือ เจ้าไม่รู้จักพูดจาเช่นนี้ ต่อไปจะเอาใจสตรีได้อย่างไร ข้าไม่สอนเจ้าหรอกนะ”

 

 

“ข้าไม่จำเป็นต้องเอาใจสตรี”

 

 

“ใช่แล้ว เจ้าเป็นถึงรัชทายาท ตามหลักพวกนางต้องเอาใจเจ้า แต่เช่นนั้นคงน่าเบื่อมากแน่ เช่นนี้มิเท่ากับถูกผู้อื่นปฏิบัติต่อเจ้าราวเป็นสตรีหรอกหรือ เจ้าควรเรียนรู้จากเสด็จพ่อ ดูว่าเสด็จพ่อคอยเอาใจเสด็จแม่อย่างไรบ้าง”

 

 

“ไม่มีใครควรค่าให้ข้าต้องทำเช่นนั้น”

 

 

เซียวหนิงพิงเข้ากับรถม้า “เจ้าแค่ปากแข็ง รอเจ้าได้เจอคนในดวงใจ ข้าจะเอาคำพูดของเจ้าไปบอกแก่นาง”

 

 

“เมื่อไปถึงเฉาโจว ท่านต้องเชื่อฟังข้า ไม่เช่นนั้นข้าจะให้คนส่งท่านกลับทันที”

 

 

“เพคะ องค์รัชทายาท หม่อมฉันจะเชื่อฟังพระองค์ทุกอย่างเพคะ”

 

 

ยามนี้ไม่ควรยั่วโทสะเซียวอวี่เป็นดีที่สุด เขาจะได้ไม่โกรธแล้วส่งนางกลับเมืองหลวง ไม่ง่ายเลยที่นางจะมีโอกาสนี้ นางไม่อยากกลับไปจริงๆ ที่นี่แตกต่างจากในวังโดยสิ้นเชิง แม้แต่อากาศยังสดชื่นกว่าเมืองหลวงมาก

 

 

ไม่รู้ว่าจะเจอเรื่องอะไรที่เฉาโจวบ้าง เซียวหนิงรู้สึกตื่นเต้นอย่างยิ่ง

 

 

ผ่านไปครึ่งเดือนพวกเขาก็เดินทางไปถึงเฉาโจว ครั้งนี้ที่มาเฉาโจว เซียวอวี่มาเพื่อตรวจสอบเรื่องการปล้นเสบียงและเงินที่จะนำมาช่วยราษฎรที่ประสบภัย เมื่อไปถึงเฉาโจวก็ยุ่งกับการทำงานนี้ทันที

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 747 แรกพบ

 

 

ลี่โจวที่อยู่ติดกับเฉาโจวเกิดภัยแล้งครั้งใหญ่ เซียวเหยี่ยนจึงนำเสบียงและเงินจำนวนมากเพื่อมาช่วยเหลือ แต่ผู้ใดจะคิดว่าระหว่างทางที่ผ่านเฉาโจวกลับถูกดักปล้น ทหารที่คุ้มกันเสบียงถูกสังหารจนหมด เหลือเพียงทหารส่งสารคนเดียวเท่านั้น ส่วนเสบียงและเงินก็ไม่รู้หายสาบสูญไปทิศใด

 

 

ของพวกนี้ล้วนเป็นเสบียงและเงินที่จะนำมาช่วยคนในลี่โจว เมื่อเซียวเหยี่ยนทราบเรื่องก็โมโหยิ่ง จึงส่งเซียวอวี่มาตรวจสอบเรื่องนี้

 

 

เมื่อเซียวอวี่ไปตรวจสอบเรื่องพวกนี้เขาย่อมไปพาเซียวหนิงไปด้วยอย่างแน่นอน เซียวหนิงอยู่ในจวนได้สองวันก็เริ่มนั่งไม่ติดที่ จึงฉวยโอกาสออกไปข้างนอกกับชุนหลิงหลังจากเซียวอวี่ออกไปจากจวนแล้ว

 

 

เฉาโจวไม่ได้เจริญเหมือนเมืองหลวง และเล็กกว่าเมืองหลวงมาก แต่กลับได้ความรู้สึกอีกชนิดหนึ่ง ตามถนนมีขนมหลายอย่างที่เซียวหนิงไม่เคยเห็น เซียวหนิงจึงถูกขนมหลากชนิดนี้ดึงดูดทันที ครู่เดียวก็ซื้อไว้ตั้งมากมาย ชุนฉินแทบจะถือไม่ไหวแล้ว จึงเอ่ยเตือนด้วยสีหน้าขมขื่นว่า “องค์หญิง ท่านกินหมดหรือเพคะ”

 

 

“อาอวี่ยุ่งเพียงนี้ ย่อมไม่มีเวลามาหาชิมของอร่อยในเฉาโจวแน่ ที่เหลือนี่ก็เอากลับไปให้อาอวี่ชิมดูสักหน่อยแล้วกัน”

 

 

“องค์หญิงกับไท่จื่อ แม้จะชอบทะเลาะกัน แต่ก็ยังทรงคิดถึงไท่จื่อเสมอ”

 

 

“ทะเลาะก็ส่วนทะเลาะ คนละเรื่องกัน” เซียวหนิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม แล้วหยิบขนมใส่ปากตน “ขนมนี้เหนียวติดฟัน ทำจากอะไรหรือ”

 

 

“แม่นาง ขนมนี้ทำจากธัญพืช” คนที่ยืนอยู่ข้างๆ เห็นเซียวหนิงหน้าตางดงามจึงเอ่ยอธิบายให้นางฟังอย่างมีน้ำใจ

 

 

เซียวหนิงพยักหน้าแล้วเดินต่อไป ขณะกำลังมองไปข้างหน้าก็มีคนผู้หนึ่งเดินมาชนไหล่นาง ขนมในมือตกกระจายเต็มพื้น คนผู้นั้นรู้ตัวว่าชนเซียวหนิงก็หยุดแล้วเก็บขนมบนพื้นคืนให้เซียวหนิง

 

 

“ชิ้นนี้สกปรกแล้ว กินไม่ได้แล้ว”

 

 

ผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเซียวหนิงคือบุรุษหนุ่มผู้หนึ่ง เพราะเขาก้มหน้า นางจึงไม่เห็นหน้าตาเขาชัดนัก แต่พิจารณาจากเสื้อผ้า คนผู้นี้น่าจะอายุไม่มาก และต้องเป็นคุณชายตระกูลร่ำรวย เพราะเสื้อผ้าสิ่งของที่ใช้ดูประณีตงดงาม

 

 

เขาไม่ได้พูดอะไรแต่เดินไปหยุดตรงแผงขายของ ล้วงเอาเงินออกมาซื้อขนมชิ้นหนึ่งให้เซียวหนิงใหม่ เมื่อซื้อเสร็จก็ยัดใส่มือนางแล้วเดินจากไป โดยที่ไม่พูดอะไรสักคำ

 

 

เซียวหนิงรู้สึกว่าคนผู้นี้แปลกประหลาดยิ่ง หลังจากที่เขาเดินจากไป นางก็ร้องเรียกว่า “ขอบคุณท่านมาก”

 

 

คนผู้นั้นชะงักไปครู่หนึ่ง แต่ไม่ได้พูดอะไร แล้วเดินจากไปโดยไม่แม้จะหันกลับมามอง

 

 

“คนผู้นี้แปลกจริงๆ”

 

 

“องค์หญิง เขาอาจจะเป็นใบ้ก็ได้เพคะ” ชุนฉินขยับเข้ามาเอ่ยข้างหู

 

 

เห็นชัดว่าคนขายขนมรู้จักบุรุษหนุ่มผู้นั้น เขาเอ่ยด้วยสีหน้าภูมิใจว่า “พวกเจ้ามีตาแต่มองไม่เห็นเขาไท่ซาน เขาคือคุณชายตระกูลมู่หรงอย่างไรเล่า ได้ยินว่าเป็นคนไม่ชอบพูดจามาตั้งแต่เล็กแล้ว แต่ฉลาดหลักแหลมยิ่ง การค้าของตระกูลมู่หรงก็เป็นเขาที่คอยควบคุมอยู่เบื้องหลัง จนยามนี้ร้านขายผ้าไหมแพรพรรณของตระกูลมู่หรงได้เปิดไปทั่วแดนใต้แล้ว”

 

 

“ตระกูลมู่หรงหรือ”

 

 

“ใช่แล้ว แต่ไม่รู้ว่าเป็นทายาทของตระกูลมู่หรงในรัชสมัยก่อนหรือไม่ แต่อยู่ที่เฉาโจว มีผู้ใดบ้างไม่รู้จักตระกูลมู่หรง แม่นาง เจ้ามาจากที่อื่นใช่หรือไม่”

 

 

“อืม ข้ามาจากที่อื่นจริงๆ มาเยี่ยมญาติที่เฉาโจวน่ะ”

 

 

“มิน่าเล่า เขาเองก็เพ่งมาที่เฉาโจวได้ไม่นาน ไม่แปลกที่พวกเจ้าไม่รู้จักคนของตระกูลมู่หรง”

 

 

“ตระกูลมู่หรง”

 

 

เซียวหนิงพึมพำกับตัวเอง หรือจะเป็นตระกูลมู่หรงตระกูลนั้น แต่ก็ไม่แน่ ใต้หล้านี้มีคนแซ่มู่หรงตั้งมากมาย

 

 

“ชุนฉิน เรากลับกันเถิด”

 

 

เซียวหนิงเอ่ยขึ้นพร้อมเตรียมตัวกลับจวน นางต้องเอาขนมกลับไปที่จวนก่อน เมื่อเซียวอวี่กลับมาก็จะได้กินทันที

 

 

ตอนนี้เซียวหนิงนั้นยังไม่รู้ว่า การพบกันโดยบังเอิญนี้จะกลายเป็นพันธะที่สลัดไม่หลุดไปชั่วชีวิต

 

 

เซียวอวี่กลับมาถึงในตอนดึก หลังจากกลับมาก็เอ่ยกับเซียวหนิงด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า “ท่านพี่ พรุ่งนี้ข้าจะไปส่งท่านไว้ที่แห่งหนึ่ง”