ตอนที่ 2 ซื้อขาย โดย Ink Stone_Fantasy
ท่ามกลางอากาศอันสับสนอลหม่านที่กว้างใหญ่ บนแผ่นดินอลหม่านแห่งหนึ่งกลับมีรอยอักขระเปลวเพลิงสายแล้วสายเล่าอยู่ อักขระเปลวเพลิงจำนวนนับไม่ถ้วนแผ่คลุมไปทั่วทั้งแผ่นดินอลหม่าน กลางแผ่นดินแห่งหนึ่ง ร่างศิลาของผู้แกร่งกล้าท่านหนึ่งยืนอยู่กลางอากาศ เขาหลับตา เหนือผิวกายมีมังกรเพลิงจำนวนนับไม่ถ้วนบินออกมาแล้วบินเข้าไปท่ามกลางค่ายกลของแผ่นดินอลหม่านแห่งนี้
เหนือผิวร่างศิลาของผู้แกร่งกล้ายังมีเกราะสีดำทะมึนปกคลุมอยู่ มีเพียงส่วนเล็กๆ อย่างแขนและศีรษะเท่านั้นที่โผล่ออกมา
“เพลิงเกลา” เสียงหนึ่งดังก้องขึ้น
บุรุษหินที่ยืนอยู่กลางอากาศค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ หน้าตาและดวงตาของเขาล้วนแต่เป็นศิลา เพียงแต่กลางดวงตามีเปลวเพลิงหมุนเวียนอยู่ บุรุษหินมองไปข้างกาย ซึ่งมีเงารางของความสับสนอลหม่านปรากฏขึ้นอย่างเลือนราง คือชายชราผมดำท่านหนึ่งนั่นเอง
“อลหม่าน มีเรื่องอันใดหรือ” มุมปากของบุรุษหินยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเล็กน้อย เขาและประมุขตำหนักอลหม่านเป็นตาเฒ่าที่มีชีวิตอยู่มาตั้งแต่โลกทิพย์โบราณยุคแรกเริ่ม พวกเขาทั้งสองไม่เพียงมีชีวิตอยู่มานาน พลังก็ยังแข็งแกร่งอย่างยิ่งด้วย ผู้ที่สามารถทำให้เขา เพลิงเกลาเป็นสหายได้นั้นมีไม่มากนัก โดยทั่วไปก็เป็นตาเฒ่าที่อยู่ในยุคเดียวกัน หรือไม่ก็ต้องมีพลังที่สามารถทำให้เขายอมรับได้
“มาหาเจ้าย่อมต้องีเรื่องดีอยู่แล้ว” เงารางของประมุขตำหนักอลหม่านเอ่ย “วังทวีสูญของเรามีเจ้าหนุ่มวัยเยาว์คนหนึ่งนามตงป๋อเสวี่ยอิง เขาได้ศาสตร์ลับวิชาหนึ่งที่มีชื่อว่าโลกอนธการมา หลังจากได้ศาสตร์ลับโลกอนธการมาแล้ว เขาก็สามารถสำเร็จขั้นรวมเป็นหนึ่งได้ภายในแสนปี ทั้งยังมีพลังระดับเจดีย์ดาวชั้นที่ห้าอีกด้วย”
“อะไรนะ” บุรุษหินตกใจอยู่บ้าง “ได้ศาสตร์ลับมา แล้วสำเร็จขั้นรวมเป็นหนึ่งได้ภายในแสนปีทั้งยังมีพลังระดับเจดีย์ดาวชั้นที่ห้าด้วยอย่างนั้นหรือ มีการเร่งเวลาด้วยหรือไม่”
“ไม่มี! สำหรับเจ้า จะตรวจสอบเรื่องพวกนี้ก็ไม่ยากอยู่แล้ว ข้าจะโกหกพกลมไปไย” ประมุขตำหนักอลหม่านเอ่ย
“โลกอนธการคือศาสตร์ลับที่เจ้าหนุ่มชื่อประมุขโลกอนธการนั่นคิดค้นขึ้นมาหรือ” บุรุษหินเอ่ยถาม
“ถูกต้อง”
เงารางของประมุขตำหนักอลหม่านพูดต่อไป “ข้าเองก็ได้ลองศึกษาศาสตร์ลับนี้ดูแล้ว น่าสนใจมาก เป็นการสร้างโลกอันพิสดารหาใดเปรียบใบหนึ่งขึ้นมาก็เพื่อที่จะบ่มเพาะท่าไม้ตายกระบวนท่าหนึ่ง บัดนี้เจ้าและข้าล้วนติดอยู่ที่ขั้นสุดท้าย ต้องบุกเบิกจักรวาลขึ้นมาจากความอลหม่าน ข้ารู้สึกว่าเจ้าสามารถลองรับรู้การ ‘สร้างโลก’ ของศาสตร์ลับนี้ดูได้ อาจจะพอช่วยเจ้าได้บ้าง”
“พอแล้ว หากอยากศึกษาก็รีบไปยังวังทวีสูญก็แล้วกัน ไม่มีการต่อรอง ศิลาปฐมโลกาหนึ่งร้อยห้าสิบก้อนสำหรับการศึกษาหนึ่งครั้ง” ประมุขตำหนักอลหม่านกล่าว “เมื่อมาแล้วก็สามารถกินดื่มพูดคุยกับข้าต่อได้อีก พวกเรามิได้พบกันตั้งนานแล้ว”
บุรุษหินครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะออกมา “ได้ ข้าจะรีบไปโดยเร็วที่สุด”
เขาเชื่อว่าด้วยสถานะของประมุขตำหนักอลหม่านแล้ว คงคร้านที่จะโป้ปดเพื่อศิลาปฐมโลกาเพียงน้อยนิดเท่านี้
หากที่พูดมามิใช่คำลวง เขาจะต้องสนใจเป็นอย่างมากแน่นอน!
เดิมทีศาสตร์ลับโลกอนธการก็คิดค้นขึ้นโดยขั้นรวมเป็นหนึ่งผู้มีพรสวรรค์ไร้เทียมทานคนหนึ่งอยู่แล้ว
บัดนี้ผู้มีพรสวรรค์อีกคนได้มา สามารถสำเร็จขั้นรวมเป็นหนึ่งได้ภายในแสนปีทั้งยังอาศัยสิ่งนี้จนมีพลังระดับเจดีย์ดาวชั้นที่ห้า ศาสตร์ลับนี้จะศึกษาได้ง่ายถึงเพียงนั้นเชียวหรือ
นอกจากนี้หากมีความพิเศษด้านการสร้างโลกมากจริงๆ…ก็อาจจะมีส่วนช่วยเรื่องการบุกเบิกจักรวาลจากความอลหม่านได้จริงๆ ขอเพียงสามารถช่วยได้สักเล็กน้อยก็คุ้มค่ามากแล้ว
……
ภายในตำหนักหมื่นรูปแห่งวังทวีสูญ
ตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งบรรลุขั้นรวมเป็นหนึ่งแล้วก็มายังตำหนักหมื่นรูปเพื่อพลิกอ่านตำราที่บรรดาผู้แกร่งกล้าเหล่านี้เขียนขึ้นด้วยตนเอง หลังจากได้รับข้อมูลเหล่านั้นแล้ว ลำพังแค่กลิ่นอายเล็กน้อยที่ผู้แกร่งกล้าเหล่านั้นทิ้งเอาไว้ภายใต้ฝีพู่กันก็ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงได้อะไรขึ้นมาบ้างแล้ว
“ผู้อาวุโสตงป๋อ มาหาข้าที” ประมุขตำหนักอลหม่านถ่ายเสียงพูด “นำโลกอนธการเล่มจริงของเจ้ามาด้วย”
“ได้ขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงนัยน์ตาเป็นประกาย รีบออกจากตำหนักหมื่นรูปไปทันที
ไม่นานนัก
เมื่อมาถึงตำหนักอลหม่าน บริเวณที่ประมุขตำหนักอยู่ตอนนี้ก็คือภายในลานแห่งหนึ่ง เงาร่างสองสายนั่งอยู่ตรงข้ามกัน ตรงหน้ามีโต๊ะยาวซึ่งมีสุราชั้นเลิศวางอยู่ พวกเขาทั้งสองกำลังร่ำสุราพลางพูดคุยอย่างออกรสชาติ
“ผู้อาวุโสตงป๋อ” ประมุขตำหนักอลหม่านมองเห็นตงป๋อเสวี่ยอิงก็รีบทักทาย
ตงป๋อเสวี่ยอิงรีบเดินไป ขณะเดียวกันก็สังเกตเห็นบุรุษที่อยู่ตรงข้ามประมุขตำหนักอลหม่าน เป็นบุรุษร่างผอมซูบผิวขาวซีดเขามีเขี้ยวคมสองข้างโผล่ออกมาข้างนอก แต่กลับเก็บงำกลิ่นอายเป็นอันมาก
“ประมุขวังครองขวาน” ตงป๋อเสวี่ยอิงจำได้ทันที
ครองขวาน
คือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาทายาทรุ่นหลังผู้สืบสายโลหิตของท่านบรรพชนคีรีมาร และยังเป็นขั้นอลวนที่แข็งแกร่งที่สุดคนหนึ่งของ ‘เกาะปฐมบรรพชน’ ในทุกวันนี้ อาศัยระบบการบำเพ็ญสายโลหิต บรรลุขั้นอลวนก็คือจุดสิ้นสุดแล้ว ประมุขวังครองขวานผู้นี้ยังบำเพ็ญระบบการบำเพ็ญพลรบซึ่งแกร่งที่สุดไปควบคู่กันด้วย ดังนั้นอย่าได้เห็นว่าร่างกายเขาผอมซูบซีดเซียวแล้วเหมือนจะอ่อนแอ เพราะในความเป็นจริงแล้ว ร่างกายของเขายังน่าหวาดหวั่นกว่าอาวุธเทพอากาศชั้นบนของตงป๋อเสวี่ยอิงมากทีเดียว
นี่คือชายชราที่มีพลังใกล้เคียงกับประมุขตำหนักอลหม่านคนหนึ่ง
“นี่คือศิลาปฐมโลกาหนึ่งร้อยห้าสิบก้อน” ประมุขวังครองขวานตรงไปตรงมานัก เขาโบกมือคราหนึ่งก็ทำให้ศิลาปฐมโลกากองหนึ่งลอยมา
เมื่ออีกฝ่ายตรงไปตรงมา ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ย่อมตรงไปตรงมามากเช่นเดียวกัน
เขารับศิลาปฐมโลกามาแล้วก็หยิบคัมภีร์โลกอนธการเล่มจริงออกมามอบให้ประมุขวังครองขวาน
หลังจากประมุขวังครองขวานรับไปแล้วก็พลิกอ่านครู่หนึ่ง จากนั้นก็ปิดลง
“อื้ม น่าสนใจดี” ประมุขวังครองขวานโยนคัมภีร์คืนไปให้ตงป๋อเสวี่ยอิง ขณะเดียวกันก็ส่ายหน้าพลางพูดกับประมุขตำหนักอลหม่านว่า “อลหม่าน แม้ศาสตร์ลับนี้จะมีเอกลักษณ์ด้านโครงสร้างโลก แต่ความยากกลับไม่ใช่น้อยๆ เลย”
“แต่ไหนแต่ไรข้าก็ไม่เคยพูดว่าความยากน้อยอยู่แล้วนี่นา” ประมุขตำหนักอลหม่านเอ่ย
“เจ้ามิได้พูด แต่เจ้าพูดว่าหลังจากเขาได้มาแล้วก็สามารถฝึกขั้นรวมเป็นหนึ่งสำเร็จได้ภายในแสนปี อีกทั้งพลังยังบรรลุถึงเจดีย์ดาวชั้นที่ห้า จงใจทำให้ข้าเชื่อว่า…ศาสตร์ลับนี้มีความพิเศษเฉพาะตัว และเข้าถึงได้รวดเร็วมาก” ประมุขวังครองขวานกล่าว
“เรื่องนี้เป็นเจ้าที่คิดไปเอง จะตำหนิข้ามิได้หรอกนะ” ประมุขตำหนักอลหม่านกล่าว
แม้ประมุขวังครองขวานจะกำลังพูดกับประมุขตำหนักอลหม่าน ทว่ากลับมิได้โกรธแต่อย่างใด เพราะแม้ ‘ศาสตร์ลับโลกอนธการ’ นี้จะสร้างขึ้นโดยขั้นรวมเป็นหนึ่ง แต่ในด้านการสร้างโลกกลับมีลักษณะพิเศษอย่างแท้จริง เป็นการสร้างขึ้นมาจากอีกแนวทางหนึ่ง ทั้งยังมีกระบวนท่าที่หนึ่งและกระบวนท่าที่สอง ด้วยพลังของพวกเขาแล้วหากตามทิศทางนี้ไปย่อมสามารถค้นคว้าต่อไปได้…
มีความเกี่ยวโยงกับการบุกเบิกจักรวาลจากความอลหม่านของพวกเขาอย่างแท้จริง
“ผู้อาวุโสทั้งสอง ข้าขอตัวก่อนนะขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองออกว่าประมุขวังครองขวานมิได้มีความสนใจที่จะพูดคุยกับตนแต่อย่างใด จึงย่อมไม่ทำตัวเกะกะอยู่ที่นี่ เพราะถึงอย่างไรก็ได้ศิลาปฐมโลกามาอยู่ในมือแล้ว
……
เวลาล่วงเลยไป
แม้ประมุขตำหนักอลหม่านจะช่วยตงป๋อเสวี่ยอิงเผยแพร่ข่าวออกไปเป็นวงกว้าง บอกสิ่งมีชีวิตขั้นอลวนระดับยอดสุดทั้งหลาย เมื่อนับรวมประมุขตำหนักอลหม่านด้วยแล้ว ภายในระยะเวลาพันกว่าปี ก็มียักษ์ใหญ่ขั้นอลวนทั้งหมดห้าท่านที่ศึกษาศาสตร์ลับนี้
ที่พวกเขาศึกษา
ข้อแรกก็เพราะประมุขตำหนักอลหม่านเอ่ยปาก พวกเขาเชื่อมั่นในตัวประมุขตำหนักอลหม่านเป็นอันมาก ข้อสองก็คือศาสตร์ลับจำพวกการสร้างโลกนั้นมีจุดเหมือนกับการที่พวกเขาจะบรรลุขั้นสุดท้ายอยู่ ข้อสามก็เพราะตงป๋อเสวี่ยอิงบำเพ็ญได้รวดเร็วเกินไปแล้วจริงๆ สามารถบรรลุขั้นรวมเป็นหนึ่งได้ภายในแสนปี ก็เพียงพอจะทำให้พวกเขาอยากรู้อยากเห็นได้แล้ว ศาสตร์ลับที่ขั้นรวมเป็นหนึ่งคนหนึ่งสร้างขึ้นมา ขั้นรวมเป็นหนึ่งอีกคนสามารถฝึกได้สำเร็จรวดเร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ ที่แท้แล้วมีสิ่งใดที่พิเศษกันแน่
เหตุผลทั้งสามด้านทำให้พวกเขาทั้งหลายมาศึกษา!
แน่นอนว่าก็มีเพียงไม่กี่ท่านนี้เท่านั้น ศิลาปฐมโลกาหนึ่งร้อยห้าสิบก้อน…ไม่มากแต่ก็ไม่น้อย
“ที่ควรมาก็มาหมดแล้ว คนอื่นๆ ก็ไม่ได้ยินว่าจะมาอีก” ประมุขตำหนักอลหม่านถ่ายเสียงให้ตงป๋อเสวี่ยอิง “เกรงว่าการขายโลกอนธการของเจ้านี่คงจะทำต่อไปไม่ได้อีกแล้วล่ะ”
“เพียงพอแล้วขอรับ โชคดีเพียงใดที่มีประมุขตำหนักอยู่” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงพูด
“ฮ่าฮ่า ไปเถิดๆ” ประมุขตำหนักอลหม่านยิ้มพลางกำชับ
ยามนี้เขากำลังอยู่เป็นเพื่อนสหายสี่คน
สิ่งมีชีวิตซึ่งพลังบรรลุถึงขั้นสุดของขั้นอลวนห้าท่านกำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนานตามอำเภอใจ
ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงก็จากไปพร้อมกับความยินดีที่ได้ศิลาปฐมโลกามาเป็นจำนวนมาก
“ได้กำไรแล้วๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงคิดคำนวณขณะออกจากตำหนักอลหม่าน “แม้จะซื้อศาสตร์ลับนี้มาด้วยศิลาปฐมโลกาห้าร้อยเอ็ดก้อน แต่บรรพชนเฉวียนโหมวก็จ่ายมาตั้งสองร้อยสามสิบห้าก้อน ขั้นอลวนสี่คนมอบศิลาปฐมโลกามาหกร้อยก้อน ประมุขตำหนักอลหม่านให้แต้มความดีความชอบมาให้หนึ่งล้านห้าแสนแต้ม…เมื่อคำนวณดูแล้ว ข้ายังได้กำไรเป็นศิลาปฐมโลกาสามร้อยสามสิบสี่ก้อนบวกกับแต้มความดีความชอบอีกหนึ่งล้านห้าแสนแต้ม และยังได้ศาสตร์ลับเล่มจริงนี้มาด้วย”
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เข้าใจ
ที่ตนได้ศึกษาศาสตร์ลับทั้งยังได้กำไรขึ้นมาอีกนั้นก็เพราะมีประมุขตำหนักอลหม่านช่วยเหลือเป็นหลัก หากตนเป็นผู้ปล่อยข่าวออกไปเอง พวกประมุขวังครองขวานสี่คนมีสักคนหนึ่งที่มาศึกษาก็ถือว่าไม่เลวแล้ว
“ควรไปยังเจดีย์ดาวได้แล้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเงยหน้า มองไปยังเจดีย์ดาวสูงตระหง่านนั้น
เจดีย์ดาวชั้นที่ห้าเกี่ยวโยงกับความลับอันใหญ่หลวง แม้แต่ท่านอาจารย์กู่ฉีก็ยังมิได้บอกตนเอาไว้ในรายงาน จะต้องผ่านเจดีย์ดาวชั้นที่ห้าให้ได้ก่อนจึงมีคุณสมบัติพอจะล่วงรู้ได้! ก่อนหน้านี้ตนพลิกอ่านคัมภีร์ไปพลางรอคอยยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนเหล่านั้นไปพลาง เมื่อห้ามผู้อื่นมิให้มา แต่ตนกลับมิอาจเร่งไปถึงได้ในทันที ก็เป็นการทำให้ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนเหล่านั้นเสียเวลาแล้ว
สวบ
ตงป๋อเสวี่ยอิงแปรเป็นลำแสงแล้วพุ่งทะยานไปทางเจดีย์ดาวทันที
………………………………….