ปลดล๊อคป้อมปราการ

เวลานั้นผ่านไปพอสมควรนับตั้งแต่ที่ซือเฟิงออกจากห้องรับรองไป ก่อนที่ฟีธาเลียและคนอื่นๆจะทันได้หายจากอาการตกตะลึง และเริ่มพูดคุยกันได้

“นี่หัวหน้ากิลแบล๊คเฟรมเป็นคนหุนหันพลันแล่นแบบนี้มาโดยตลอดเลยงั้นหรอ ?” ฟิธาเลียอดไม่ได้ที่จะถาม ขณะที่มองไปยังแม๊คอาฟรี่ และคริมสันวิช จิตใจของเธอนั้นไม่สามารถประมวลผลการเคลื่อนไหว และการกระทำของซือเฟิงได้ทันเลย

เมื่อต้องต่อสู้เพื่อผลประโยชน์กัน มหาอำนาจต่างๆนั้นแทบไม่เคยเริ่มต้นด้วยการประกาศสงครามเลย โดยทั่วไปพวกเขาจะเลือกที่จะจัดการสิ่งต่างๆด้วยการพูดคุย เฉพาะในกรณีที่การเจรจาล้มเหลวเท่านั้น พวกเขาจึงจะเริ่มเคลื่อนไหว เพราะท้ายที่สุดแล้วสงครามระหว่างมหาอำนาจสองกลุ่มนั้นไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลย ไม่ว่าผลลัพธ์จะจบลงแบบไหน ทั้งสองฝ่ายก็จะต้องทนทุกข์กับความสูญเสียอันมากมายมหาศาล และแทบไม่สามารถแก้ไขได้

ในขณะเดียวกันเธอเพียงแค่เสนอจะเจรจากับจักรวรรดิโลกใต้พิภพ และขอให้ซือเฟิงเตรียมสัมปทานเล็กน้อยให้พวกเขาเท่านั้น แต่ซือเฟิงกับปฎิเสธข้อเสนอทันที และเลือกจะปะทะกับซุเปอร์กิลๆนี้จนถึงที่สุด

นี่มันไม่ใช่การตัดสินใจของหัวหน้ากิลที่ดีเลย มีแต่คนโง่เท่านั้นที่เลือกจะทำแบบนี้

อย่างไรก็ตามเธอก็คิดว่าการตัดสินใจของซือเฟิงนั้นมันพอจะเข้าใจได้

สภาสิบแปดปีกนั้นใช้ความพยายามอย่างมากในการเข้ายึดป้อมปราการแสงดาว อย่างไรก็ตามในขณะที่พวกเขากำลังเริ่มจะเก็บเกี่ยวผลกำไร อยู่ๆมันก็มีคนจำนวนมากเข้ามาเรียกร้องส่วนแบ่งจากผลกำไรนี้ เป็นคนปกติก็จะโกรธกับเรื่องนี้แน่นอน ไม่ว่ามันจะเกิดขึ้นในโลกเกมเสมือนจริงหรือโลกจริง

อย่างไรก็ตามในสถานการณ์ที่ฝ่ายหนึ่งอ่อนแอกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง การเลือกจะปะทะกันนั้นไม่ใช่ความคิดที่ฉลาดเลย

นี่เป็นเรื่องจริงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนนี้ที่มหาอำนาจมากกว่าหนึ่งโหลกำลังตั้งเป้ามาที่ป้อมปราการแสงดาว และตราบใดที่หนึ่งในมหาอำนาจเหล่านี้เริ่มการโจมตีป้อมปราการแสงดาว กลุ่มอื่นๆก็จะตามมาอย่างไม่ลังเล ในเวลานั้นแม้ว่ามหาอำนาจต่างๆจะล้มเหลวในการเข้ายึดป้อมปราการแสงดาว แต่พวกเขาก็ยังจะทำให้ป้อมปราการอยู่ในสภาพพิการได้แน่นอน

มันไม่เหมือนกับป้อมปราการอื่นๆ ป้อมปราการแสงดาวนั้นไม่มีทหาร NPC คอยช่วยเหลือในการจัดการ ผู้เล่นจะต้องพึ่งพาตัวเองทั้งหมด ยิ่งไปกว่านั้นผู้เล่นที่มีอำนาจในการปกครองป้อมปราการจะมีอำนาจเหนือป้อมปราการเพียงแค่บางส่วนเท่านั้น และไม่สามารถจะทำการแบน หรือห้ามไม่ให้ผู้เล่นบางคนเข้าสู่ป้อมปราการได้ และหากผู้เล่นที่ปกครองป้อมปราการอยู่ต้องการจะป้องกันไม่ให้ผู้เล่นบางส่วนเข้ามา พวกเขาก็จะพึ่งพาได้แค่พลังของตัวเองเท่านั้น นี่เป็นกรณีที่เกิดการต่อสู้ขึ้นภายในป้อมปราการ

ในขณะเดียวกันตอนนี้มหาอำนาจมากกว่าหนึ่งโหลก็กำลังตั้งเป้ามาที่ป้อมปราการแสงดาว ซึ่งนี่รวมไปถึงจักรวรรดิโลกใต้พิภพด้วย และตราบใดที่มหาอำนาจเหล่านี้ส่งผู้เชี่ยวชาญเข้ามาเพื่อก่อให้เกิดความวุ่นวายในป้อมปราการแสงดาวนั้น การจะหยุดยั้งพวกเขาให้ได้ มันจะเป็นไปไม่ได้เลยด้วยกำลังพลและความแข็งแกร่งที่สภาสิบแปดปีกกับเผ่าศักสิทธิ์มีอยู่ ในความเป็นจริงต้องบอกว่าสภาสิบแปดปีกและเผ่าศักสิทธิ์จะไม่สามารถหยุดไม่ให้มหาอำนาจต่างๆเข้าสู่ป้อมปราการได้เลยด้วยซ้ำ

ซึ่งหากสถานการณ์ยังคงเป็นแบบนี้ใครกันที่จะกล้าเข้ามาที่ป้อมปราการแสงดาว

“หัวหน้ากิลแบล๊คเฟรมนั้นเป็นคนที่ตรงไปตรงมามากๆ อย่างไรก็ตามฉันไม่คิดเลยว่าเขาจะมีจุดยืนที่แน่วแน่มากขนาดนี้ ถึงขนาดที่จะไม่ยอมเจรจาด้วยซ้ำ” แม๊คอาฟรี่กล่าวในทำนองเดียวกัน การตอบสนองที่เด็ดขาดของซือเฟิงนั้นไปไกลเกินกว่าความคาดหมายของเขามาก

“ผู้บัญชาการ ฟิธาเลีย เราจะทำยังไงกันต่อไป ? มันดูจะไม่มีที่ว่างสำหรับการเจรจาเลยในด้านของสภาสิบแปดปีก นี่เราจะต้องปะทะกับมหาอำนาจต่างๆจริงๆงั้นหรอ ?” คริมสันวิชถามอย่างเป็นกังวล

หลังจากร่วมมือกับสภาสิบแปดปีกแล้ว เผ่าศักสิทธิ์ก็ได้ลงทุนทรัพยากรจำนวนมากเพื่อพัฒนาสถานที่พักกิลชั่วคราวในป้อมปราการแสงดาว และเผ่าศักสิทธืิ์ก็ได้ร่างแผนปฎิบัติการที่จะทำรอบๆป้อมปราการแสงดาวไว้แล้ว และยังลงทุนทรัพยากรส่วนใหญ่ของกิลเข้ามาที่นี่แล้ว

หากป้อมปราการแสงดาวต้องกลายเป็นดินแดนที่ไม่มีมนุษย์ผู้ใดสามารถเป็นเจ้าของได้ การลงทุนทั้งหมดของเผ่าศักสิทธิ์ก็จะไร้ค่าไปเลย
“ฉันนั้นคุ้นเคยกับเฮลรัช ผู้บัญชาการกองกำลังหลักที่จักรวรรดิโลกใต้พิภพส่งมาอยู่บ้าง เนื่องจากเขานำกองกำลังหลักนี้มาเป็นการส่วนตัว ฉันจะพยายามไปเจรจากับเขาดู …” ฟิธาเลียพูดพลางหัวเราะเบาๆ เมื่อเธอเห็นสีหน้ากังวลของคริมสันวิช “ยิ่งไปกว่านั้น เรายังไม่ได้ไปถึงจุดนั้น เมื่อสมาชิกของมหาอำนาจต่างๆและของจักรวรรดิโลกใต้พิภพมาถึง หัวหน้ากิลอาจตระหนักได้ว่าการตัดสินใจของเขานั้นไม่ฉลาดเลย และในตอนนั้นเราน่าจะพอทำอะไรได้บ้าง …”

เธอนั้นเคยเห็นผู้คนมากมายแบบซือเฟิงมาก่อน เพราะท้ายที่สุดแล้วผู้เชี่ยวชาญระดับสัตว์ประหลาดทุกคนล้วนหยิ่งผยองอย่างมาก ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่สภาสิบแปดปีกสามารถยึดป้อมปราการแสงดาวได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่มหาอำนาจในทวีปด้านตะวันตกนั้นยังไม่สามารถจะทำได้เลย มันจึงเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับซือเฟิงที่จะมั่นใจในความแข็งแกร่งของกิลตัวเอง และเลือกจะต่อสู้กับมหาอำนาจต่างๆ

อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้เชี่ยวชาญของมหาอำนาจต่างๆมารวมตัวกัน และซือเฟิงได้สัมผัสกับความแข็งแกร่งของมหาอำนาจเหล่านี้เป็นการส่วนตัว มันก็ไม่แปลกหากเขาจะเปลี่ยนใจ เพราะท้ายที่สุดแล้ว เขาพึ่งจะมาถึงทวีปด้านตะวันตกเมื่อไม่นานมานี้ และก็ไม่ได้เข้าใจเลยว่ามหาอำนาจต่างๆที่นี่นั้นมีอำนาจมากขนาดไหน นอกจากนี้เขาก็ยังไม่ได้รู้ด้วยว่าจักรวรรดิโลกใต้พิภพนั้นน่ากลัวขนาดไหน

ในขณะที่ฟิธาเลียและคนอื่นๆกำลังพูดคุยกันว่าจะจัดการกับมหาอำนาจต่างๆอย่างไร ซือเฟิงก็ได้มาถึงออฟฟิศหลักในคฤหาสถ์ของลอร์ดผู้ปกครองที่ทำหน้าที่ควบคุมป้อมปราการแสงดาวทั้งหมด

ก่อนหน้านี้แม้ว่าเขาจะปลดผนึกวงเวทย์ของคฤหาสถ์ลอร์ดผู้ปกครองได้แล้ว และได้อนุญาติให้ไฟเออร์แดนซ์กับคนอื่นๆเข้าใช้ห้องมรดกได้แล้ว แต่เขาก็ยังไม่ได้มารับการควบคุมป้อมปราการแสงดาวตามที่เขามีสิท

นั่นเป็นเพราะโทเค่นลอร์ดแห่งป้อมปราการโบราณแบบนี้นั้นไม่ได้ให้สิทในการปกครองแก่ผู้ถือครองโดยอัตโนมัติ ผู้เล่นยังคงต้องผ่านขั้นตอนบางอย่างที่ไม่ยากมากนักก่อนด้วย

เมื่อซือเฟิงเปิดประตูเข้าไปในออฟฟิศหลัก เขาก็ได้รับการต้อนรับจากสายตาของชายสูงอายุในชุดพ่อบ้านที่ยืนอยู่ในออฟฟิศหลักที่เก่าและล้าสมัย

แม้ว่าชายชราคนนี้จะเป็นเพียงร่างวิญญาณ และไม่ได้มีออร่าที่เปล่งประกายใดๆ แต่ซือเฟิงก็รู้ดีว่าเขาจัดว่าเป็นอมตะเลยในคฤหาสถ์แห่งนี้ และในเวลาเดียวกัน เขาก็คือผู้ปกครองที่แท้จริงของป้อมปราการแสงดาวทั้งหมด

“ผู้ครอบครองโทเค่นลอร์ดแห่งป้อมปราการ ฉันคือออสเซ็ท ผู้ดูแลระบบของป้อมปราการแสงดาวทั้งหมด มีอะไรให้ฉันรับใช้ ?” ออสเซ็ทถามด้วยความเคารพ เมื่อเขาเห็นซือเฟิงเดินเข้ามา

“ฉันต้องการได้รับสิทในการควบคุมป้อมปราการแสงดาวอย่างแท้จริง” ซือเฟิงกล่าวความตั้งใจของเขา

ป้อมปราการโบราณนั้นแตกต่างจากป้อมปราการอื่นๆ อำนาจเหนือป้อมปราการทั้งหมดนั้นมันตกเป็นของผู้ดูแลระบบ ดังนั้นป้อมปราการแบบนี้จึงมักจะอยู่ในสภาพกึ่งถูกควบคุมเสมอ

หากผู้เล่นที่ถือครองโทเค่นลอร์ดแห่งป้อมปราการต้องการจะได้รับสิทในการควบคุมป้อมปราการ ผู้เล่นก็จะต้องมาหาผู้ดูแลระบบ ซึ่งผู้ดูแลระบบจะส่งต่ออำนาจของตนก็ต่อเมื่อได้ตรวจสอบเครื่องหมายที่ได้รับมาจากประตูมรดกบนโทเค่นของผู้ถือครองโทเค่นเรียบร้อยแล้ว ไม่งั้นผู้เล่นจะเป็นเพียงลอร์ดผู้ปกครองปลอมๆที่สามารถถูกแทนที่ได้ตลอดเวลา

ก่อนที่ผู้เล่นจะได้รับอำนาจจากผู้ดูแลระบบของป้อมปราการจริงๆนั้น ผู้ดูแลระบบจะรู้สึกได้แต่ตัวตนของโทเค่นลอร์ดแห่งป้อมปราการอย่างเดียวเท่านั้น ไม่ใช่ผู้ถือครอง ยิ่งไปกว่านั้นโทเค่นลอร์ดแห่งป้อมปราการนั้นยังไม่ได้ให้ความคุ้มครองแก่ผู้เล่นด้วย และที่แย่กว่านั้นคือผู้เล่นต้องเก็บโทเค่นลอร์ดแห่งป้อมปราการไว้ตลอดเวลา หากโทเค่นถูกนำออกจากป้อมเป็นเวลานานเกินไป มันจะถูกส่งกลับมาป้อมโดยอัตโนมัติ และปรากฎขึ้นในตำแหน่งแบบสุ่มภายในป้อม

มีเพียงการได้รับเครื่องหมายมาบนโทเค่นลอร์ดแห่งป้อมปราการเท่านั้น ผู้ดูแลระบบจึงจะถือว่าผู้เล่นที่ถือครองโทเค่นได้รับอำนาจบางส่วนในการปกครองป้อมปราการโบราณ จากนั้นผู้เล่นก็จะสามารถเก็บโทเค่นลอร์ดแห่งป้อมปราการไว้ในห้องหลักของคฤหาสถ์ลอร์ดผู้ปกครองได้ และก็จะสามารถพึ่งพาวงเวทย์ป้องกันของคฤหาสถ์เพื่อปกป้องมันได้

หากไม่มีใครโจมตีคฤหาสถ์ลอร์ดผู้ปกครอง และขโมยโทเค่นไปได้ ผู้เล่นก็จะไม่จำเป็นต้องกังวลถึงการจะสูญเสียการควบคุมป้อมปราการของตนอีกต่อไป

ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากได้รับอำนาจและสิทในการควบคุมป้อมปราการบางส่วนมา ผู้เล่นก็จะสามารถเปิดใช้งานฟังชั่นบางอย่างของป้อมปราการได้ด้วย และในหมู่ฟังชั่นเหล่านี้ที่สำคัญที่สุดก็คือคุกป้อมปราการ

ซึ่งนี่มันนับเป็นฟังชั่นที่น่าทึ่ง และไม่มีป้อมปราการใดในปัจจุบันที่มีมัน

ฟังชั่นนี้นั้นมันเหลือเชื่อมาก เพราะมันจะทำให้ผู้เล่นผู้ปกครองป้อมปราการสามารถจะกักขังผู้เล่นได้ ซึ่งตราบใดที่ผู้เล่นถูกกักขังนั้น พวกเขาก็จะต้องเผชิญหน้ากับชะตากรรมที่เลวร้ายยิ่งกว่าความตาย ผู้เล่นที่ถูกกักขังจะไม่สามารถออกจากคุกป้อมปราการได้ และแม้แต่การฆ่าตัวตายก็ไม่ใช่ทางออก เพราะผู้เล่นจะมาเกิดใหม่ทันทีในคุกเช่นเดิม

การถูกกักขังนั้นนับเป็นบทลงโทษที่โหดร้ายมากๆสำหรับผู้เล่น เพราะท้ายที่สุดแล้วใน God domain เวลาคือเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ้งสำหรับผู้เล่นชั้นแนวหน้า การถูกกักขังและไม่ให้ทำอะไรเป็นเวลาหลายวันจะทำให้พวกเขาตามหลังคนอื่นๆอย่างมาก

ในขณะเดียวกันคุกป้อมปราการในป้อมปราการขนาดเล็กแบบป้อมปราการแสงดาวนี้ก็จะสามารถกักขังผู้เล่นได้สูงสุดแปดวัน

แปดวัน !!

หากผู้เล่นที่เป็นระดับผู้เชี่ยวชาญต้องเสียเวลาแปดวันไปอย่างกระทันหัน พวกเขาส่วนใหญ่จะสูญเสียความตั้งใจที่จะมีชีวิตต่อไปเลยด้วยซ้ำ นี่คือเหตุผลที่ซือเฟิงกล้าที่จะต่อต้านมหาอำนาจต่างๆ

แล้วจะเป็นอย่างไรหากมหาอำนาจต่างๆมีผู้เชี่ยวชาญจำนวนมาก ?

หากพวกเขากล้าสร้างความวุ่นวายในป้อมปราการ พวกเขาก็จะต้องถูกกักขังทั้งหมด และเขาก็ตื่นเต้นมากจริงๆที่จะได้ดูว่ามีผู้เชี่ยวชาญขั้นสามของมหาอำนาจต่างๆกี่คนกันที่จะยอมมาให้เขากักขังเป็นเวลาแปดวัน

สำหรับการทำลายคุกป้อมปราการ และเข้ามาปลดปล่อยผู้เล่นที่ถูกกักขังนั้น มหาอำนาจต่างๆจะทำได้แค่ฝันเท่านั้น

คุกป้อมปราการนั้นมีวงเวทย์ป้องกันที่ทรงพลังอย่างน่าเหลือเชื่อ และเมื่อเปิดใช้งานแล้วแม้แต่ตัวตนขั้นห้าก็ยังยากที่จะทำลายมันได้ ในความเป็นจริงการบุกเข้าคฤหาสถ์ลอร์ดผู้ปกครองป้อมปราการยังจะง่ายกว่าการบุกทำลายคุกนี้ซะอีก

“ยอดเยี่ยม” ออสเซ็ทได้ทำการอัญเชิญวงเวทย์ที่ซ้อนทับกันสี่ชั้นขึ้นมาที่ใต้เท้าของซือเฟิงทันที จากนั้นเขาก็พูดต่อ “จากการตรวจสอบดูเหมือนว่าคุณจะมีเครื่องหมายระดับทองแดงหนึ่งอัน และเครื่องหมายระดับเงินหนึ่งอัน ดังนั้นคุณจะสามารถเปิดใช้งานสิทธิพิเศษของเครื่องหมายระดับทองแดงได้หนึ่งสิท และสิทธิพิเศษของเครื่องหมายระดับเงินได้หนึ่งสิท คุณต้องการจะใช้สิทในตอนนี้ใช่ไหม ?”

“ใช่” ซือเฟิงกล่าวพลางพยักหน้า

“นี่คือรายการสิทธิพิเศษระดับทองแดง และระดับเงินที่มีให้ คุณสามารถเลือกมาได้หนึ่งอย่างจากแต่ละระดับ” ออสเซ็ทกล่าวพลางโบกมือ ทันใดนั้นหน้าจอโปร่งแสงก็ปรากฎขึ้นตรงหน้าของซือเฟิง

ในช่วงเวลาต่อมาตัวเลือกทั้งสองระดับก็ปรากฎขึ้นมาให้ซือเฟิงเลือก

โดยตัวเลือกของระดับทองแดงนั้นมีอยู่สามตัวเลือก คือ คุกป้อมปราการ ร้านอาหารป้อมปราการ และโรงแรมป้อมปราการ

ขณะที่ตัวเลือกของระดับเงินนั้นก็มีอยู่สามตัวเลือกเช่นกัน หอคอย Manafication หอคอย Object Creation และหอคอยอัญเชิญ

นี่คือสิทธิพิเศษของเครื่องหมายระดับเงินงั้นหรอ ? ความประหลาดใจปรากฎขึ้นในดวงตาของซือเฟิง ขณะที่เขามองไปยังตัวเลือกทั้งสามตัวเลือกของระดับเงิน

เขานั้นเคยเห็นสิทธิพิเศษของเครื่องหมายระดับเงินของป้อมปราการโบราณมาบ้าง อย่างไรก็ตามตอนนี้เขาสามารถพูดได้เลยว่าสิทธิพิเศษของเครื่องหมายระดับเงินของป้อมปราการแสงดาวนั้นมันสามารถจะเทียบเท่ากับป้อมปราการขนาดใหญ่ได้เลย

หอคอย Manafication เป็นสิ่งที่สามารถช่วยเพิ่มความหนาแน่นของมาาโดยรอบป้อมปราการได้

แม้ว่าความหนาแน่นของมานาของป้อมปราการแสงดาวจะสูงมากอยู่แล้ว แต่หากรวมเข้ากับผลของหอคอย Manafication ความหนาแน่นของมานาภายในป้อมปราการนี้นั้นก็จะมากพอที่จะอยู่เหนือเมืองสภาสิบแปดปีกได้สบายๆเลย

ขณะที่หอคอย Object Creation นั้นมันก็นับเป็นสนามฝึกศักสิทธิ์สำหรับผู้เล่นสายอาชีพเลย เพราะมันเป็นที่ตั้งของห้องสมาธิขั้นสูง และห้องวิจัยขั้นกลาง แม้แต่ผู้เล่นที่มีพรสวรรค์ต่ำนั้นก็มีสิทจะกลายเป็นผู้เล่นสายอาชีพระดับปรมาจารย์ได้ หากพวกเขาได้ฝึกอยู่ในหอคอย Object Creation ตลอดเวลา

ขณะที่หอคอยอัญเชิญนั้นเป็นสิ่งที่ซือเฟิงเคยเห็นเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น และเขาก็เคยเห็นในป้อมปราการขนาดกลาง อย่างไรก็ตามตอนนั้นหอคอยอัญเชิญถูกจัดอยู่ในสิทธิพิเศษระดับทองเลยทีเดียวตอนนั้น

ซึ่งก็ตามชื่อเลยหอคอยอัญเชิญนั้นมีหน้าที่อัญเชิญสิ่งมีชีวิต

เมื่อจัดเตรียมสื่อกลางทุกอย่างได้เหมาะสมแล้ว หอคอยอัญเชิญจะสามารถอัญเชิญสิ่งมีชีวิตที่มีเผ่าพันธุ์คล้ายกันมาทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์ป้อมปราการได้ และยิ่งสื่อกลางแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ สิ่งมีชีวิตที่ถูกอัญเชิญมาก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นมากเท่านั้น และสามารถเรียกออกมาได้หนึ่งตัวในหนึ่งเดือน และมันก็สามารถจะดำรงชีวิตได้อยู่แค่ช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น

ความสามารถนี้อาจดูเหมือนไม่มากนัก แต่มันทรงพลังอย่างน่าเหลือเชื่อในความเป็นจริง

เนื่องจากมันไม่มีข้อจำกัดเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตที่สามารถอัญเชิญได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือถ้าผู้เล่นสามารถได้รับซากศพของเทพขั้นหกมา พวกเขาก็จะสามารถอัญเชิญเทพขั้นหกมาปกป้องป้อมปราการของพวกเขาได้

เทพขั้นหก !!

นี่คือตัวตนที่แม้แต่ผู้เล่นขั้นหก ขอบเขตพระเจ้าก็ยังจะต้องหลีกเลี่ยง หากป้อมปราการมีเทพขั้นหกคอยเป็นผู้พิทักษ์ นับประสาอะไรกับการก่อความวุ่นวายในป้อมปราการ แม้แต่ในแผนที่ที่ป้อมปราการตั้งอยู่เหล่าผู้เล่นก็จะไม่กล้าก่อปัญหาแน่นอน เพราะท้ายที่สุดแล้วระยะของผู้พิทักษ์นั้นกินพื้นที่ทั่วทั้งแผนที่ที่ป้อมปราการตั้งอยู่

“ผู้ถือครองโทเค่น โปรดตัดสินใจด้วย …” ออสเซ็ทกล่าวเตือนซือเฟิง หลังจากเห็นเขาเงียบไปนาน