ลูกข่างมิติ

“ผมมีลูกข่างมิติอยู่อันหนึ่ง สามารถประเมินความแข็งแกร่งของมิติและชี้วัดระดับความสามารถของคนๆหนึ่งในการควบคุมมิติได้ ใครที่สามารถทำให้ลูกข่างนี้ตั้งตรงอยู่ได้นานที่สุดก็แปลว่าเป็นผู้ที่มีความเข้าใจเรื่องมิติล้ำลึกที่สุด”

ขณะที่หนานกงหยวนเฟิงพูด เขาก็กระดิกนิ้ว แล้วลูกข่างที่มีความยาวราว 1 สือก็ปรากฏตรงหน้า มันยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่บนแท่นนั้น และแม้จะไม่มีพลังงานแผ่ออกมา แต่ก็มีรอยแยกบางๆของมิติอยู่รอบตัวมัน

การปรากฏขึ้นของรอยแยกแห่งมิติบ่งบอกว่ามิตินั้นไม่เสถียรนัก การที่จะทำให้ลูกข่างมิติตั้งตรงอยู่ได้ ผู้นั้นจะต้องทำให้มิติเกิดความเสถียรขึ้นมาใหม่ หรือพูดให้ง่ายขึ้นก็คือ ซ่อมแซมรอยแยกแห่งมิติที่อยู่รอบๆนั่นเอง

ฟังเหมือนง่าย แต่อันที่จริงแล้วพูดนั้นง่ายกว่าทำ การซ่อมแซมรอยแยกแห่งมิติต้องการความรู้ถึงขั้น 4 ของศาสตร์แห่งมิติเทียบฟ้า คือการสรรค์สร้าง

“เอ่อ…” หลัวกั้นเจินเข้าใจสิ่งนี้เช่นกัน สีหน้าของเขาดูไม่ดีนัก

ถึงเหล่าทายาทตระกูลหลัวจะมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเรื่องกฎเกณฑ์แห่งมิติ โดยเฉพาะเมื่อสายเลือดของพวกเขามาพร้อมกับความถนัดในด้านนี้โดยธรรมชาติ แต่ก็ยังเป็นเรื่องยากที่จะประสบความสำเร็จ

ถ้าลูกศิษย์ของหนานกงหยวนเฟิงปฏิบัติภารกิจนี้สำเร็จจริงๆ ทุกอย่างก็จะดูแย่สำหรับพวกเขา

“โม่เอ๋อ คุณออกไปก่อนเลย สาธิตให้เหล่าผู้เชี่ยวชาญของตระกูลหลัวได้เห็นหน่อย!” หนานกงหยวนเฟิงชำเลืองมองสีหน้าเคร่งเครียดของหลัวกั้นเจิน เขาหัวเราะหึๆก่อนจะสั่งการให้หนึ่งในชายหนุ่มทั้ง 4 ที่มาด้วยกันก้าวออกมา

“ขอรับ!”

ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าโม่เอ๋อดูจะมีอายุราว 20 ปลายๆ เขาก้าวออกมาจากกลุ่มอย่างภาคภูมิใจ จากนั้นก็เดินไปที่ลูกข่างมิติ แล้วกำหมัดแน่น

เกิดเสียงหึ่งเบาๆกลางอากาศขณะที่กระแสของพลังงานมิติตรงเข้าโอบล้อมลูกข่างมิติไว้

ในชั่วพริบตา พื้นที่ที่แตกร้าวซึ่งอยู่รอบลูกข่างมิติก็ได้รับการซ่อมแซม จากนั้นลูกข่างก็ค่อยๆตั้งขึ้น แต่มันก็อยู่ได้ไม่ถึง 3 วินาที ก็ล้มลงและกลับไปแน่นิ่งอยู่กับพื้นดังเดิม

ฟู่!

กว่าจะเสร็จสิ้นการสาธิต ร่างของชายหนุ่มที่ชื่อโม่เอ๋อก็ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อและหายใจหอบด้วยความเหนื่อย เขาหันไปประสานมือให้พวกตระกูลหลัว ก่อนจะถอยกลับเข้ากลุ่มของตัวเอง

“โม่เอ๋อคือลูกศิษย์ที่อ่อนด้อยที่สุดในบรรดาทั้ง 4 คนที่อยู่ตรงนี้ จึงออกจะยากสำหรับเขาที่จะทำให้ลูกข่างมิติตั้งตรงได้ ผมต้องขออภัยพวกคุณสำหรับการสาธิตอันน่าอับอายครั้งนี้ด้วย!” หนานกงหยวนเฟิงหัวเราะหึๆขณะประกาศกับฝูงชน จากนั้นก็หันมาพูดกับหลัวกั้นเจิน “รองหัวหน้าหลัว เราจะเริ่มการดวลได้หรือยัง?”

สีหน้าของหลัวกั้นเจินย่ำแย่อย่างหนัก

อีกฝ่ายต้อนเขาให้จนมุมได้จริงๆ

ด้วยการสาธิตที่เพิ่งเกิดขึ้น มันจะส่งผลกระทบอันย่ำแย่ต่อตระกูลหลัวหากพวกเขาปฏิเสธไม่ยอมรับคำท้าดวล ไม่ว่าจะอยากหรือไม่อยาก ก็จำเป็นต้องรับคำท้าครั้งนี้

“รองหัวหน้า ขอผมลองดู!”

1 ใน 2 ผู้อาวุโสที่เสนอตัวเข้ารับการท้าทายเมื่อครู่ก่อนประสานมือและอาสาออกไป

“ผมขอรบกวนคุณด้วย ผู้อาวุโสหลัวฝู!” หลัวกั้นเจินพยักหน้า

 

ผู้อาวุโสหลัวฝูก้าวออกไปและสูดหายใจลึกก่อนจะกำหมัดแน่นเหมือนกับที่โม่เอ๋อทำเมื่อครู่

เกิดเสียงหึ่งแบบเดียวกันดังขึ้นรอบลูกข่าง มันสั่นสะท้านเล็กน้อย

เหงื่อหยดเป็นทางจากศีรษะของเขา ผู้อาวุโสหลัวฝูสำแดงพละกำลังเต็มพิกัดจนถึงจุดที่เขากระอักเลือดออกมาและเซถอยหลังไปอย่างอ่อนแรง

แต่จนแล้วจนรอด ลูกข่างมิติก็ไม่สามารถตั้งตรงได้

ผู้อาวุโสหลัวฝูหน้าซีดเผือดและตัวสั่น เขาเอ่ยปากขอโทษอย่างอ่อนแรง “ผมเสียใจ, รองหัวหน้า”

ตอนที่เขาเห็นโม่เอ๋อคนนั้นทำสำเร็จได้อย่างง่ายดาย ก็คิดว่าตัวเองคงจะทำได้ไม่ยาก แต่ทั้งๆที่ใช้พละกำลังเต็มพิกัดแล้ว ก็ยังไม่สามารถบังคับลูกข่างมิติให้ตั้งตรงได้ ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไม 100 สำนักแห่งนักปราชญ์จึงกล้าท้าทายตระกูลหลัวในด้านที่พวกเขาถนัด เพราะคนพวกนี้มั่นใจว่าจะคว้าชัยชนะได้นี่เอง!

“ขอผมลองดู!”

ผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งของตระกูลหลัวก้าวออกมาและพยายามประสานรอยร้าวแห่งมิติที่อยู่รอบลูกข่างนั้น แต่แล้วครู่ต่อมาเขาก็กระอักเลือดเหมือนกับผู้อาวุโสหลัวฝู ไม่สามารถทำให้ลูกข่างมิติตั้งตรงได้เช่นกัน

นี่คือการท้าทายที่ดูเผินๆแล้วเหมือนจะง่าย มีแต่ผู้ที่ได้ทดลองใช้ประสิทธิภาพด้านมิติของตัวเองเพื่อยกลูกข่างมิติให้ตั้งตรงแล้วเท่านั้นถึงจะเข้าใจว่ามันหนักยิ่งกว่าภูเขา! หากความรู้ความเข้าใจเรื่องกฎเกณฑ์แห่งมิติของผู้นั้นไม่ล้ำลึกพอ อย่าว่าแต่จะทำให้มันตั้งตรงเลย แค่จะทำให้มันขยับก็ถือเป็นภารกิจที่ยากมากแล้ว

เห็นสมาชิก 2 คนของตระกูลหลัวล้มเหลว หลัวกั้นเจินมีสีหน้าเคร่งเครียดยิ่งขึ้นไปอีก

100 สำนักแห่งนักปราชญ์จงใจมาเยือนตระกูลของเขาเพื่อฉกฉวยเครื่องรางฟ้าประทานในตำนาน แต่เมื่อคำนึงถึงว่าเหล่าบรรพบุรุษของพวกเขาต้องฝ่าฟันอันตรายมากมายเพียงใดเพื่อให้ได้มันมา ก็ย่อมไม่มีทางที่ตระกูลหลัวจะมอบมันให้อีกฝ่ายโดยง่ายแน่

แต่อีกฝ่ายก็ใช้ข้อกำหนดของเหล่านักปราชญ์โบราณที่บรรดาบรรพบุรุษของ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ทิ้งไว้ ซึ่งเป็นไปตามกฎที่ปรมาจารย์ขงได้ตั้งไว้ในยุคสมัยของเขา ตระกูลหลัวจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยอมรับคำท้าดวล

หลัวกั้นเจินคิดว่าต่อให้ไม่มีใครสักคนในตระกูลที่สำเร็จเคล็ดวิชาแก่นสารแห่งมิติและการสกัดกั้นมิติ แต่ด้วยความเชี่ยวชาญในกฎเกณฑ์แห่งมิติของพวกเขา การจะได้ชัยชนะก็คงไม่ยากเกินไป ใครจะไปคิดว่าพวกเขาจะมาพ่ายแพ้แบบนี้?

100 สำนักแห่งนักปราชญ์ช่างน่าสะพรึงจริงๆ!

“รองหัวหน้าหลัว ไม่มีทายาทตระกูลหลัวคนไหนทำให้ลูกข่างมิติตั้งตรงได้ใช่ไหม? ถ้าเป็นอย่างนั้น ผมก็จะไม่มีพิธีรีตองแล้วนะ!” เพราะคาดเดาไว้แล้วว่าจะได้ผลลัพธ์แบบนี้ หนานกงหยวนเฟิงลูบเคราและหัวเราะหึๆ

“เดี๋ยวก่อน!” เสียงตวาดเสียงหนึ่งดังมาจากยกพื้น แล้วหลัวชวนฉิงก็ก้าวเข้ามา “ลูกข่างมิติเป็นของล้ำค่าที่คุณนำมาเอง เพราะฉะนั้น ไม่มีทางที่เราจะแน่ใจได้เลยว่าคุณไม่ได้ทำอะไรกับมันไว้ เพื่อให้สมาชิกตระกูลหลัวของเราไม่สามารถทำให้มันตั้งตรงได้!”

“อีกอย่าง จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด คุณไม่คิดบ้างหรือว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในการสู้รบก็คือการที่นักรบสามารถใช้ศาสตร์แห่งมิติของตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำไมเราไม่ใช้การดวลแทนล่ะ? ลูกศิษย์ของคุณจะต้องลดระดับวรยุทธของพวกเขาเพื่อดวลกับเรา หากพวกเขาชนะ พวกเราก็จะยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ถ้าไม่อย่างนั้น ผมก็เกรงว่าเราคงไม่อาจยอมรับเกณฑ์การตัดสินของคุณได้!”

“คุณกำลังเสนอการดวลหรือ?” หนานกงหยวนเฟิงตั้งคำถาม

“ใช่แล้ว” หลัวชวนฉิงพยักหน้า

ถึงที่สุดแล้ว วัตถุประสงค์หลักของการทําความเข้าใจกฎเกณฑ์แห่งมิติก็เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการต่อสู้ และในเมื่อเป็นอย่างนั้น ทำไมตระกูลหลัวถึงจะต้องมาเสียเวลาและความพยายามในการทำอะไรไม่เข้าท่าอย่างการบังคับลูกข่างมิติ? การดวลน่าจะเป็นวิธีที่ตรงจุดมากกว่าที่จะวัดคุณสมบัติของพวกเขา

“ดูเหมือนคุณจะมั่นใจมากนะ ก็ได้…100 สำนักแห่งนักปราชญ์ของเราจะทำตามข้อเสนอของคุณ” หนานกงหยวนเฟิงหัวเราะอย่างมั่นใจ

มรดกตกทอดของ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์นั้นมีต้นกำเนิดจากปรมาจารย์ขง พวกเขาได้รับมรดกที่สมบูรณ์จากเหล่าบรรพบุรุษ อีกทั้งบรรดาลูกศิษย์ของเขาก็ล้วนมาจากสำนักขงจื๊อผู้ยิ่งใหญ่ พวกเขาเป็นชนชั้นสูงที่สามารถเล่นงานคนเป็นร้อยๆได้ด้วยตัวเอง ไม่มีทางที่จะหวาดกลัวการต่อสู้

การท้าพวกเขาดวลถือเป็นความโง่เง่าสิ้นดี!

“รองหัวหน้าหลัว ผมจะรับข้อเสนอของเขานะ?” หนานกงหยวนเฟิงหันไปถามย้ำกับหลัวกั้นเจิน

“…แน่นอน!” หลัวกั้นเจินพยักหน้า

ด้วยสภาพที่เป็นอยู่ ดูเหมือนจะไม่มีสมาชิกตระกูลหลัวคนไหนสามารถทำให้ลูกข่างมิติตั้งตรงได้ อันที่จริง แม้ตัวเขาเองก็ยังไม่มั่นใจนักว่าจะทำสำเร็จ

อย่างน้อยที่สุด หากเป็นแค่การดวลแบบธรรมดา ก็ยังพอมีหวังอยู่

“ในเมื่อเป็นอย่างนั้น…โม่เอ๋อ คุณจะเป็นคู่ต่อสู้ของพวกเขา!”

เมื่อได้ยินหลัวกั้นเจินตอบตกลง หนานกงหยวนเฟิงพยักหน้า “ถึงโม่เอ๋อจะสูญเสียพละกำลังไปสักหน่อยตอนที่พยายามทำให้ลูกข่างมิติตั้งตรง แต่เขาก็ยังมีเรี่ยวแรงเหลือเพียงพอที่จะรับมือกับสมาชิกรุ่นเยาว์ของตระกูลหลัว!”

ได้ยินคำพูดของหนานกงหยวนเฟิง หลัวกั้นเจินถึงกับของขึ้น

นี่มันดูถูกเหยียดหยามพวกเขาชัดๆ!

เพิ่งเมื่อครู่นี้เองที่ตระกูลจางทำลายศักดิ์ศรีและเหยียบย่ำดูถูกพวกเขา มาตอนนี้ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ก็กำลังทำแบบเดียวกันอีก สวรรค์จะลงโทษตระกูลหลัวไปถึงไหน?

อีกคนหนึ่งที่โมโหกับคำพูดของหนานกงหยวนเฟิงก็คือหลัวชวนฉิง เขาตวาดก้องและเดินไปยังใจกลางยกพื้นก่อนจะคำราม “มาเลย ขอผมดูหน่อยว่าคุณทรงพลังแค่ไหน!”

“ฮ่า!” ชายหนุ่มที่ชื่อโม่เอ๋อหัวเราะหึๆขณะเดินออกมาและพูดว่า “คุณเป็นนักรบระดับเซียนขั้น 8 การแบ่งแยกมิติ ผมจะไม่เอาเปรียบคุณหรอกนะ จะลดระดับวรยุทธของผมให้เท่ากับคุณ!”

ฟึ่บ!

หลังจากพูดจบ รังสีของโม่เอ๋อก็ลดระดับลงจนเท่ากับหลัวชวนฉิง

“เอาล่ะ เริ่มเถอะ!”

เห็นโม่เอ๋อลดระดับวรยุทธเสร็จแล้ว หลัวชวนฉิงพุ่งเข้าใส่ทันทีและปล่อยพละกำลังจากฝ่ามือ

ครืนนนน!

คลื่นความสั่นสะเทือนแผ่ออกไปทั่วทั้งบริเวณนั้น พละกำลังทำลายล้างถูกปล่อยออกจากฝ่ามือของหลัวชวนฉิง

ประสิทธิภาพการต่อสู้ของเขาเพิ่มสูงขึ้นมากตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่เขาปะทะกับจางเซวียนที่ปูชนียสถานนักปราชญ์ ถึงจะยังฝ่าด่านวรยุทธไม่สำเร็จ แต่ก็ใกล้จะได้เป็นนักรบการแบ่งแยกมิติขั้นกลางเต็มทีแล้ว