ทำไมผมไม่ลองดูสักหน่อยล่ะ?

“หลัวชวนฉิงสู้เขาไม่ได้หรอก” จางเซวียนได้แต่ส่ายหน้า

“การที่ชายหนุ่มคนนั้นมาจากสำนักขงจื๊อผู้ยิ่งใหญ่และสามารถทำให้ลูกข่างมิติตั้งตรงอยู่ได้หลายวินาที ก็หมายความว่าความเข้าใจเรื่องมิติของเขาเกือบจะเทียบเท่ากับระดับของแก่นสารแห่งมิติแล้ว” หลัวลั่วชิงพยักหน้าอย่างเห็นพ้อง “หากเปรียบเทียบกัน หลัวชวนฉิงยังต้องพัฒนาอีกมาก อีกอย่าง เทคนิคการต่อสู้ที่พวกเขาฝึกฝนก็เป็นคนละระดับกันด้วย ไม่ช้า หลัวชวนฉิงต้องแพ้แน่”

100 สำนักแห่งนักปราชญ์คลาคล่ำไปด้วยผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการถ่ายทอดมรดกของปรมาจารย์ขง พวกเขามีเทคนิคการต่อสู้อันทรงพลังทุกชนิดที่เทียบเท่ากับสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ แม้จะไม่เหนือชั้นกว่าก็ตาม ต่อให้เทคนิคการต่อสู้ของตระกูลหลัวจะทรงพลังแค่ไหน ก็ไม่มีทางจะแข่งขันกับพวกเขาได้

จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ขณะเฝ้าดูการต่อสู้บนเวที

ตอนนี้โม่เอ๋อเริ่มตอบโต้แล้ว การเคลื่อนไหวของเขาเรียบง่าย เขายกนิ้วขึ้นและเคาะพื้นที่ที่อยู่ตรงหน้าอย่างแผ่วเบา

ฟึ่บ!

มิติรอบตัวหลัวชวนฉิงถูกสกัดกั้นในทันที ไม่อาจแตกสลายได้ไม่ว่าเขาจะใช้พละกำลังทำลายล้างสักแค่ไหน หลัวชวนฉิงรีบปล่อยการโจมตีอย่างดุเดือดออกมาเป็นชุดเพื่อทำลายการสกัดกั้นมิตินั้น แต่ก็ไม่ได้ผล

เมื่อเห็นเทคนิคที่โม่เอ๋อใช้ หลัวลั่วชิงอธิบาย “นี่เป็นศาสตร์แห่งมิติที่รู้จักกันในชื่อ ‘ศิลปะการสกัดกั้นกระจกเงา’”

“ศิลปะการสกัดกั้นกระจกเงา?”

 

“มันใช้กักขังคนคนหนึ่งไว้ในมิติที่ถูกแยกตัวออกไปอย่างสิ้นเชิง คล้ายกับโลกที่อยู่ภายในกระจกเงา ไม่ว่าผู้ที่อยู่ในกระจกเงาจะพยายามดิ้นรนต่อสู้สักแค่ไหน ก็ไม่มีทางทำลายการสกัดกั้น หรือทำอันตรายผู้ที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของกระจกเงาได้ นี่คือหลักการพื้นฐานของเทคนิคการต่อสู้นี้…คือใช้อำนาจของมิติสกัดกั้นอีกฝ่ายไว้ในอีกมิติหนึ่ง ทำให้ไม่สามารถฝ่ามันออกมาได้” หลัวลั่วชิงอธิบายอย่างเคร่งขรึม “ในแง่ของพละกำลัง มันยังอ่อนด้อยกว่าแก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิติของคุณ แต่ผลที่ได้ถือว่าใกล้เคียงกัน”

“มันเป็นกระบวนท่าที่ทรงพลังมาก แต่…จริงอยู่ที่หลัวชวนฉิงไม่สามารถทำอันตรายอีกฝ่ายได้เพราะถูกสกัดกั้นไว้ในมิติที่เหมือนกับกระจกเงา แล้วอีกฝ่ายจะโจมตีเขาได้หรือเปล่า?”

ถึงเทคนิคการต่อสู้นี้จะดูทรงพลัง แต่ก็มีข้อบกพร่องใหญ่หลวงอยู่

ผลกระทบนั้นทำงานทั้ง 2 ด้าน ขณะที่นักรบซึ่งอยู่ด้านในมิติที่ถูกสกัดกั้นไว้ไม่สามารถทำอันตรายผู้ที่อยู่ด้านนอก ผู้ที่อยู่ด้านนอกก็ไม่สามารถทำร้ายนักรบที่อยู่ด้านในได้เช่นกัน

แน่นอนว่ามันเป็นเทคนิคการต่อสู้ที่ไร้เทียมทานหากใช้กับการต่อสู้เป็นกลุ่ม แต่สำหรับการดวลตัวต่อตัว ก็ดูเหมือนจะสิ้นเปลืองเวลาและพลังงาน เพราะลงท้ายก็ไม่ได้อะไรจากกระบวนท่านี้

ในทางตรงกันข้าม ยังมีศาสตร์การสกัดกั้นมิติอีกมากมายที่ผู้ใช้สามารถเข้าออกมิติที่ถูกสกัดกั้นไว้ได้อย่างอิสระ ทำให้มีประสิทธิภาพที่สูงกว่าในการดวลตัวต่อตัว

“ก็จริงที่ว่าอีกฝ่ายไม่สามารถทำอันตรายหลัวชวนฉิงได้ เว้นเสียแต่มิติที่เหมือนกับกระจกเงานั้นจะถูกทำลาย แต่ข้อเท็จจริงที่ว่าอีกฝ่ายสามารถควบคุมกระจกเงาได้ ก็หมายความว่าเขาถือไพ่เหนือกว่าในการต่อสู้ ทำให้เขาอยู่ในตำแหน่งที่ทำอะไรๆได้มากกว่า” หลัวลั่วชิงตอบ

“ผมเข้าใจแล้ว…” จางเซวียนพยักหน้าก่อนจะเงียบไป

การที่โม่เอ๋อสามารถควบคุมมิติที่เหมือนกับกระจกเงาได้ ก็หมายความว่าตัวเขามีอำนาจการตัดสินใจว่าเมื่อไหร่และที่ไหนที่มิติควรจะถูกทำลาย ทำให้เขาสามารถแสดงกระบวนท่าได้ทุกเมื่อที่ต้องการ และกำราบคู่ต่อสู้ให้อยู่หมัดได้

“ผมยอมรับว่ามิติที่เหมือนกับกระจกเงานี้เป็นแนวคิดที่ดี แต่การจะกักขังหลัวชวนฉิงไว้คงไม่ง่ายนักหรอก” จางเซวียนพูด

ทันทีที่เขาพูดจบ เส้นผมของหลัวชวนฉิงก็ตั้งชัน พละกำลังพิเศษห่อหุ้มร่างของเขาไว้ รังสีของเขาทรงพลังขึ้นอีกมาก ดูราวกับเสือร้ายที่กำลังเกรี้ยวกราด

เขาปล่อยพลังจากฝ่ามือออกมาอย่างรุนแรง

เพล้งงงงง!

มิติที่เหมือนกับกระจกเงานั้นแตกเป็นเสี่ยงๆ นับชิ้นไม่ถ้วน

“เขาเปิดใช้พลังของสายเลือดหรือ?” หลัวลั่วชิงขมวดคิ้ว

ด้วยความสามารถในการหยั่งรู้ของเธอ เธอบอกได้ว่าความเชี่ยวชาญเรื่องมิติของโม่เอ๋อนั้นเหนือชั้นกว่าหลัวชวนฉิงมาก และหลัวชวนฉิงเองก็คงรู้ซึ้งถึงความจริงข้อนี้ดี เมื่อจนมุม เขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเปิดใช้ความสามารถของสายเลือด

เมื่อมีความสามารถของสายเลือดตระกูลหลัวเข้ามาเสริม ความเข้าใจเรื่องมิติของหลัวชวนฉิงก็เพิ่มขึ้นอีกมาก ทำให้เขาสามารถทำลายมิติที่เหมือนกระจกเงาและโจมตีโม่เอ๋อได้โดยตรง

วิ้วววว!

ทันทีที่ 2 ฝ่ามือปะทะกัน พายุดุเดือดก็พัดหวีดหวิวไปโดยรอบ

เกิดรอยร้าวนับไม่ถ้วนบนเวทีนั้น ดูเหมือนกับใยแมงมุม

“หลัวชวนฉิงแพ้แล้ว…” จางเซวียนส่ายหน้า

“ทั้งความเข้าใจเรื่องกฎเกณฑ์แห่งมิติ ระดับวรยุทธ และเทคนิคการต่อสู้ของอีกฝ่ายล้วนแต่เหนือกว่าเขา ไม่มีทางที่หลัวชวนฉิงจะชนะอย่างแน่นอน…” หลัวลั่วชิงส่ายหน้าและถอนหายใจ

ทันทีที่เธอพูดจบ หลัวชวนฉิงก็ถูกบีบให้ถอยไป 8 ก้าวก่อนจะกระอักเลือดกองใหญ่ออกมา ร่างของเขาซวนเซเล็กน้อย จากนั้นก็ทรุดฮวบลงกับพื้น

“ท่านอาจารย์!”

หลังจากเอาชนะหลัวชวนฉิงได้ด้วยพลังฝ่ามือเดียว โม่เอ๋อประสานมือก่อนจะหันไปรอบๆ และเดินกลับเข้ากลุ่มด้วยสีหน้าเรียบเฉยราวกับเพิ่งทำบางอย่างที่ไม่ได้สลักสำคัญเสร็จสิ้นไป

“นายน้อยชวนฉิง!”

ผู้อาวุโสคนหนึ่งรีบเข้ามาป้อนยาให้หลัวชวนฉิงและถ่ายทอดพลังปราณบางส่วนให้ อีกฝ่ายถึงได้ฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อย

อาการบอบช้ำที่เขาได้รับและผลข้างเคียงจากการเปิดใช้งานสายเลือดทำให้แขนขาของเขาอ่อนแรง ปราศจากพละกำลังโดยสิ้นเชิง

“ผมทำให้ตระกูลต้องอับอาย ได้โปรดลงโทษผมด้วย…” หลัวชวนฉิงหน้าซีดเผือดขณะคุกเข่าลงตรงหน้าท่านพ่อของเขา

“ลุกขึ้นเถอะ ไม่มีใครตำหนิเจ้าในเรื่องนี้หรอก…”

ในตอนนั้น หลัวกั้นเจินดูแก่กว่าเดิมไปอีกหลายสิบปี

ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาไม่รู้สึกว่าเป็นการโอ้อวดหากจะพูดว่ามรดกตกทอดของตระกูลหลัวถือเป็นสุดยอดของโลก เพราะถึงอย่างไรก็ไม่ได้ห่างไกลจากความเป็นจริงนัก แต่ใครจะไปคิดว่าพวกเขาจะพ่ายแพ้อย่างยับเยินในศาสตร์ที่ถือเป็นความถนัดของตัวเอง

 

ตลอดทั้งการต่อสู้ โม่เอ๋อคนนั้นใช้เพียงการสำแดงศาสตร์แห่งมิติ แต่เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ดังกล่าว พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยอมรับความพ่ายแพ้

“ขอรับ…” หลัวชวนฉิงก้มศีรษะลงอย่างอับอาย

การที่เขาจะสู้กับจางเซวียนในวรยุทธระดับเดียวกันไม่ได้ก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะสู้กับคนพวกนี้ไม่ได้ด้วย…ความรู้สึกหยิ่งผยองที่เขาเคยภาคภูมิใจในฐานะอัจฉริยะของตระกูลหลัวหายวับไปราวกับฟองสบู่แตก ไม่หลงเหลือร่องรอยแม้แต่น้อย

“ท่านพ่อ แล้วคราวนี้เราจะทำอย่างไร?” หลัวชวนฉิงกำหมัดแน่นขณะส่งโทรจิตถาม

ถึงระดับวรยุทธของเขาจะเป็นแค่นักรบการแบ่งแยกมิติขั้นต้น แต่ด้วยความบริสุทธิ์ของสายเลือด จึงถือได้ว่าเขาเป็นนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาสมาชิกรุ่นเยาว์ของตระกูลหลัว แม้จะมีทายาทตระกูลหลัวมากมายที่อายุต่ำกว่าร้อยปีซึ่งมีวรยุทธเหนือกว่าเขา แต่ก็ไม่น่าจะสู้กับกลุ่มคนจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ได้หากลดระดับวรยุทธลงมาให้เท่ากัน

อีกอย่าง ตามที่หนานกงหยวนเฟิงพูด ดูเหมือนคนที่เขาเผชิญหน้าด้วยเมื่อครู่นี้เป็นนักรบที่อ่อนด้อยที่สุดในกลุ่ม แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่มีโอกาสเอาชนะได้เลยแม้แต่นิดเดียว ทุกอย่างไม่เข้าข้างตระกูลหลัวแม้แต่น้อย!

หลัวกั้นเจินลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “เราทำอะไรไม่ได้หรอก เว้นเสียแต่…น้องสาวของเจ้าจะเต็มใจออกโรงด้วยตัวเอง!”

ตอนนี้ ผู้ที่มีความสามารถสูงสุดในการควบคุมมิติไม่ใช่ตัวเขาหรือผู้อาวุโสคนอื่นๆ แต่เป็นลูกสาวของเขา

ด้วยการซึมซับวิชาผู้เก็บงำมิติ ถึงเธอจะยังไม่สำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารแห่งมิติและการสกัดกั้นมิติ แต่ความสามารถในการควบคุมมิติของเธอก็ไม่เป็นรองอีกฝ่าย

“แต่ว่า…ตั้งแต่พวกตระกูลจางกลับไป เธอก็ขังตัวเองอยู่ในห้อง ไม่ยอมออกมา” หลัวชวนฉิงพูดอย่างหม่นหมอง

ในฐานะพี่ชายของหลัวฉีฉี เขารับรู้ได้ถึงความรู้สึกล้ำลึกที่เธอมีให้จางเซวียน ซึ่งการที่จางเซวียนปฏิเสธเธอต่อหน้าสาธารณชน ทั้งยังจากไปพร้อมกับผู้หญิงคนอื่น…เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่เกินกว่าที่สาวน้อยอย่างเธอจะรับไหว

เธอคงต้องการเวลาสักระยะเพื่อทำใจ และเขาก็ไม่อยากไปรบกวนเธอในช่วงเวลาแบบนี้

“แต่นี่สถานการณ์ฉุกเฉินนะ จะมัวมานั่งเสียอกเสียใจอยู่ไม่ได้หรอก เร็วเข้า ไปเรียกตัวเธอมา!” หลัวกั้นเจินสั่งการ

“…ขอรับ!”

หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง หลัวชวนฉิงก็พยักหน้าก่อนจะลุกขึ้นยืน ตั้งใจจะไปพบน้องสาวของเขา แต่ในตอนนั้นเอง หนานกงหยวนเฟิงก็หัวเราะหึๆขึ้นมาแล้วพูดว่า “รองหัวหน้าหลัว ถ้านี่คือความสามารถทั้งหมดที่ตัวคุณกับตระกูลของคุณมีอยู่ล่ะก็ อย่าพาใครมาให้ต้องอับอายขายหน้าอีกเลย ต่อให้จะมีอีกกี่คนมาท้าทายลูกศิษย์ของผม ก็คงจะเสียเวลาและเปลืองแรงเปล่า เพราะฉะนั้น ถ้าคุณไม่มีใครอื่นที่เก่งกว่าเขา ผมขอแนะนำให้คุณยอมแพ้ อย่างน้อยที่สุด คุณก็ยังรักษาเศษเสี้ยวของศักดิ์ศรีไว้ให้ตระกูลหลัวของคุณได้!”

“คุณ…” ได้ยินคำพูดของหนานกงหยวนเฟิง หลัวกั้นเจินโมโหจนแทบระเบิด เขากำลังจะเอ่ยปากตอบโต้ ก็พอดีกับที่เสียงราบเรียบเสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านล่าง

“มันก็แค่การดวล ทำไมผมถึงไม่…”

จากนั้น ชายวัยกลางคนที่มีผิวออกเหลืองและเหี่ยวย่นคนหนึ่งก็กระโจนจากฝูงชนด้านล่างขึ้นมาบนเวที

“…ลองดูสักหน่อยล่ะ?”