ลูกข่างมิติหมุนติ้ว
“หมอนั่นเป็นใครน่ะ?”
“ผมก็ไม่รู้!”
“นึกไม่ออกเลยว่าเคยเห็นใครหน้าตาแบบนี้มาก่อน เขาต้องมาจากครอบครัวสาขาแน่ ใช่ไหม?”
“ผมรู้จักคนดังๆเกือบทุกคนจากครอบครัวสาขานะ แต่หน้าตาแบบนี้ไม่คุ้นเลย ทำไมถึงโผล่มาตอนนี้ล่ะ?”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ดูท่าทางเขาก็ไม่อ่อนแอเท่าไหร่ บางทีอาจจะทำสำเร็จก็ได้”
…..
เห็นชายวัยกลางคนโผล่มาจากที่ไหนสักแห่ง ฝูงชนต่างส่งเสียงเซ็งแซ่อยู่ด้านล่างเวที แต่ละคนมองหน้ากันอย่างสงสัย ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น
บรรดาผู้ที่มีชื่อเสียงในครอบครัวสาขาต่างก็รู้จักกันดี แต่หน้าตาของชายวัยกลางคนผู้นี้ดูจะไม่สะกิดความทรงจำของใครเลย น่าประหลาดใจว่าดูเหมือนจะไม่มีใครรู้จักเขาสักคนด้วยซ้ำ!
“คุณคือ…?” หลัวกั้นเจินถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
“ผมชื่อหลัวเทียนหยา ทายาทจากครอบครัวสาขาอันห่างไกลของตระกูลหลัว ผมไม่ค่อยได้อยู่ในตระกูล จึงเป็นธรรมดาที่คุณจะไม่รู้จักผม, ท่านรองหัวหน้า!” จางเซวียนประสานมือและรายงาน
ในเมื่อเขามาที่นี่เพื่อชดใช้ให้ตระกูลหลัว นี่ก็ถือเป็นโอกาสดีที่จะได้เรียกชื่อเสียงของตระกูลหลัวกลับคืนมา
ดังนั้น หลังจากได้ยินคำพูดของหนานกงหยวนเฟิง เขาก็ไม่ลังเลที่จะกระโจนขึ้นไป
“หลัวเทียนหยา?” หลัวกั้นเจินชำเลืองมองผู้อาวุโสที่ 1 หลัวชิงเฉิน แต่เห็นอีกฝ่ายก็งงงันไม่แพ้กัน
ดูเหมือนแม้แต่ผู้อาวุโสที่ 1 ก็ยังไม่รู้ว่าหลัวเทียนหยาคนนี้เป็นใคร
หลัวชิงเฉินจ้องชายวัยกลางคนที่อยู่ตรงหน้าเขาอยู่นาน แต่ดูอย่างไรก็ไม่คุ้นหน้า จึงได้แต่ตอบรับด้วยการหัวเราะเจื่อนๆ “มรดกตกทอดของตระกูลหลัวได้รับการถ่ายทอดมาหลายชั่วคนเป็นเวลาหลายหมื่นปี ทายาทของพวกเราก็กระจายตัวกันออกไปทั่วทั้งทวีปแห่งปรมาจารย์ เราไม่มีบัญชีรายชื่อของสมาชิกในครอบครัวสาขา ดังนั้นจึงไม่มีทางยืนยันตัวตนที่ชัดเจนของเขาได้ แต่ถึงอย่างนั้น เราก็ไม่ปฏิเสธว่ามีโอกาสที่สมาชิกจากครอบครัวสาขาที่ฝึกฝนอย่างหนักจะสามารถพัฒนาความสามารถของเขาได้เช่นกัน…”
นี่คือปัญหาที่เกิดกับตระกูลซึ่งมีขนาดใหญ่เกินไป ในแต่ละปีจะมีศิษย์สายตรงจำนวนมากมุ่งหน้าออกไปเผชิญโลกกว้าง และไม่มีใครรับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่ไปมีความสัมพันธ์กับใครอื่น ซึ่งหากเกิดทายาทขึ้นมา ก็ยากที่จะบอกได้ว่าทายาทที่ถือกำเนิดขึ้นเป็นสมาชิกของตระกูลหลัวจริงหรือไม่หากไม่มีการตรวจสอบสายเลือด
“อือ!” หลัวกั้นเจินก็เข้าใจความจริงข้อนี้ จึงส่ายหน้าอย่างจนปัญญาก่อนจะหันไปมองชายวัยกลางคนที่อยู่ตรงหน้า “เทียนหยา ผมเข้าใจดีว่าคุณอยากยืนหยัดเพื่อตระกูลของเรา แต่คนพวกนั้นล้วนแต่เป็นผู้เชี่ยวชาญจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ และหัวข้อของการดวลก็คือความเข้าใจในกฎเกณฑ์แห่งมิติ นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะแก้ไขด้วยการใช้พละกำลังเพียงอย่างเดียวได้…”
พูดตามตรง เขาไม่คิดว่าสมาชิกจากครอบครัวสาขาจะมีความสามารถพอที่จะเอาชนะกลุ่มคนจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์
ขนาดหลัวชวนฉิงซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ที่มีสายเลือดตระกูลหลัวบริสุทธิ์ที่สุด ก็ยังต้องลงเอยด้วยความพ่ายแพ้อย่างยับเยิน เขาจึงไม่กล้าคาดหวังว่าสมาชิกจากครอบครัวสาขาจะมีโอกาสได้ชัยชนะ
“แล้วทำไมคุณไม่ให้ผมลองดูล่ะ? ผมเป็นแค่สมาชิกจากครอบครัวสาขา ต่อให้ผมแพ้ ตระกูลหลัวก็ไม่อับอายขายหน้าหรอก” จางเซวียนพูด
หลัวกั้นเจินครุ่นคิดหนัก
อีกฝ่ายพูดถูก เท่านี้พวกเขาก็อับอายขายหน้าพออยู่แล้ว ต่อให้มีสมาชิกจากครอบครัวสาขาอีกคนหนึ่งพ่ายแพ้ ก็ไม่ทำให้ทุกอย่างเลวร้ายลงไปกว่าที่เป็นอยู่
อีกอย่าง ก็คงต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะพาตัวลูกสาวของเขามาที่นี่ได้
“เอาอย่างนั้นก็ได้!” หลัวกั้นเจินพยักหน้า เขาหันไปพูดกับหนานกงหยวนเฟิง “ผู้อาวุโสหนานกง หลัวเทียนหยาคนนี้อยากท้าทายลูกศิษย์ของคุณ…”
แต่ยังไม่ทันที่หนานกงหยวนเฟิงจะได้พูดอะไร โม่เอ๋อก็อุทานด้วยความสงสัยสุดขีด “ท้าทาย? คุณจะให้พวกเราสู้กับผู้ที่มาจากครอบครัวสาขาของตระกูลหลัวอย่างนั้นหรือ?”
ดูเหมือนตระกูลหลัวจะสิ้นหวังเสียจนยอมคว้าฟางทุกเส้นที่พวกเขามี
หนานกงหยวนเฟิงก็เลิกคิ้วอย่างไม่พอใจ “สายเลือดของนักปราชญ์โบราณจื่อร่งไหลพล่านอยู่ในเส้นเลือดของทายาทตระกูลหนานกงของเรา กฎเกณฑ์เรื่องความชอบธรรมที่ปรมาจารย์ขงกำหนดไว้ก็คือเราควรต้อนรับแขกด้วยมารยาทและความเคารพ คุณไม่คิดบ้างหรือว่ามันไม่เหมาะสมที่สมาชิกจากครอบครัวสาขาของตระกูลหลัวจะมาท้าทายพวกเรา ตระกูลหลัวพยายามจะเหยียดหยามเราด้วยวิธีนี้หรือ?”
ขนาดสมาชิกจากครอบครัวหลักก็ยังสู้พวกเขาไม่ได้ แล้วคว้าใครก็ไม่รู้จากครอบครัวสาขามาท้าทายพวกเขา ตระกูลหลัวช่างไม่ไว้หน้าพวกเขาเสียเลย!
“เหยียดหยาม?” ยังไม่ทันที่หลัวกั้นเจินจะได้ตอบโต้ จางเซวียนก็ส่ายหน้าและคำรามเยาะ “คุณก็ช่างยกยอปอปั้นตัวเองเสียเหลือเกิน! ไม่ต้องห่วงน่ะ กลุ่มคนอ่อนแออย่างพวกคุณน่ะไม่มีค่าพอจะให้ผมต้องไปเหยียดหยามหรอก!”
“คุณ…” นึกไม่ถึงว่าผู้ที่เป็นแค่ทายาทจากครอบครัวสาขาจะอาจหาญตอบโต้ หนานกงหยวนเฟิงหรี่ตาอย่างข่มขู่
“ถ้าคุณไม่กล้าดวลกับผม ก็แค่พูดออกมา ไม่จำเป็นต้องหาข้อแก้ตัวให้มากมาย” จางเซวียนเอาสองมือไพล่หลังไว้และพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“ความหยิ่งผยองของคนโง่!” โม่เอ๋อคำรามเสียงเย็น
การที่สมาชิกของ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์อย่างพวกเขาจะลดตัวลงมาเยือนพื้นที่ห่างไกลแบบนี้ก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าคนเซ่อซ่าบ้านนอกพวกนี้จะบังอาจพูดจาโอหังใส่พวกเขาด้วย! หมอนั่นไม่รู้จริงๆหรือว่าตัวเองไร้ความสำคัญแค่ไหน?
ไม่ใช่โม่เอ๋อคนเดียวที่คิดแบบนั้น หลัวกั้นเจินก็ถึงกับกุมหน้าผากอย่างกลุ้มใจ
สมาชิกจากครอบครัวสาขาคนนี้ไม่รู้จริงๆหรือว่าคำว่า 100 สำนักแห่งนักปราชญ์มีความสำคัญต่อทวีปแห่งปรมาจารย์แค่ไหน?
ถ้ารู้ แล้วอวดโอ้ตัวเองด้วยถ้อยคำเหลวไหลแบบนั้นได้อย่างไร?
หมอนี่หน้าไม่อายเหมือนจางเซวียนเลย*!* หลัวชวนฉิงคำรามอยู่ในใจ
ในฐานะอดีตสหายของจางเซวียนเรารู้ดีว่าหมอนั่นหน้าไม่อายขนาดไหนแต่ถึงจะหน้าไม่อายอย่างไรเขาก็เก่งกาจพอที่จะโอ้อวดแต่คุณน่ะ*…คิดดีแล้วหรือที่พูดอะไรแบบนั้นออกมา?*
ถึงโม่เอ๋อจะโมโหจนแทบจะสังหารอีกฝ่ายได้ แต่เขาก็ยังต้องรักษาชื่อเสียงของ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ จึงชี้นิ้วไปที่ลูกข่างมิติที่อยู่ด้านข้างและพูดว่า “เอาล่ะ ผมจะดวลกับคุณก็ได้ถ้าคุณต้องการ แต่อย่างน้อย คุณจะต้องแสดงให้เห็นก่อนว่าคุณมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะท้าทายผม ถ้าคุณทำให้ลูกข่างมิตินั้นตั้งตรงได้ ผมจะให้โอกาสคุณ!”
“คุณต้องการให้ผมทำให้มันตั้งตรงหรือ?” จางเซวียนถามขณะชำเลืองมองลูกข่างมิติ ในตอนนั้นเอง ลูกข่างที่นอนอยู่กับพื้นก็พลันตั้งตรงและหมุนติ้วไม่หยุด ราวกับกลัวว่ามันจะถูกสังหารถ้าแสดงความกระด้างกระเดื่องออกมาแม้แต่น้อย “คุณหมายถึงแบบนี้ใช่ไหม?”
โม่เอ๋อขยี้ตาอย่างไม่อยากเชื่อ
ด้วยความสามารถที่เขามีอยู่ในตอนนี้ ดีที่สุดที่เขาทำได้ก็คือทำให้ลูกข่างตั้งตรงเท่านั้น เขาไม่สามารถทำให้มันหมุนได้ อันที่จริง คนเดียวที่ทำได้มีแต่ท่านอาจารย์ของเขา, หนานกงหยวนเฟิง แต่ถึงอย่างนั้น ท่านอาจารย์ของเขาก็ยังต้องใช้ความพยายามอย่างมาก แต่ลูกข่างมิติหมุนติ้วทันทีเพียงแค่หมอนั่นชำเลืองมอง…
หมอนั่นยิงแสงเลเซอร์ออกจากดวงตาของเขาหรืออย่างไร?
หนานกงหยวนเฟิงก็จังงังกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างปุบปับ
เขาคิดว่านี่เป็นการเล่นตุกติกของหลัวกั้นเจิน เพื่อพยายามลดราคาของการดวลครั้งนี้ให้ดูอ่อนด้อย แต่หลังจากเห็นภาพนั้น ก็ชัดเจนแล้วว่าชายวัยกลางคนที่ไร้ความโดดเด่นคนนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญตัวจริง
ในเวลาเดียวกัน หลัวกั้นเจิน หลัวชวนฉิง และสมาชิกคนอื่นๆของตระกูลหลัวต่างก็พากันอ้าปากค้างขณะจ้องมองภาพนั้น ราวกับเห็นผี
“หรือว่า…” หลัวกั้นเจินพลันนึกขึ้นได้ เขารีบหันไปมองผู้อาวุโสที่ 1 หลัวชิงเฉิน
“น่าจะเป็นอย่างนั้นแหละ นอกเสียจากคนที่สำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารแห่งมิติและการสกัดกั้นมิติแล้ว ผมก็ไม่คิดว่าจะมีใครอื่นที่สามารถทำให้ลูกข่างมิติหมุนติ้วได้แบบนั้น!” หลัวชิงเฉินพยักหน้า
“เราพยายามตามหาตัวเขาในบรรดาสมาชิกฝ่ายใน แต่ใครจะไปคิดว่าเขาจะมาจากครอบครัวสาขาที่ห่างไกล!” หลัวกั้นเจินหน้าแดงก่ำด้วยความตื่นเต้น
เขาเตรียมใจยอมรับความพ่ายแพ้อย่างยับเยินไว้แล้ว และคิดว่าตระกูลหลัวคงจะถูกเหยียบย่ำอย่างไม่มีชิ้นดี ไม่นึกไม่ฝันแม้แต่น้อยว่าผู้เชี่ยวชาญนิรนามคนหนึ่งที่พวกเขาควานหาตัวมาตลอดจะปรากฏตัวขึ้นในช่วงเวลาคับขันเพื่อช่วยเหลือพวกเขาให้รอดพ้นจากวิกฤตการณ์ครั้งนี้!
แถมอีกฝ่ายยังเป็นสมาชิกของครอบครัวสาขาที่แม้แต่ผู้อาวุโสที่ 1 ยังไม่รู้จักด้วยซ้ำ!
“ผมประเมินตระกูลหลัวต่ำไป ดูเหมือนในหมู่พวกเขาจะยังมีผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งอีกมากมายซ่อนอยู่…”
หนานกงหยวนเฟิงสูดหายใจลึกและข่มความประหลาดใจไว้ก่อนจะสั่งการ “โม่เอ๋อ คุณต้องระวังนะ ความเข้าใจเรื่องกฎเกณฑ์แห่งมิติของเขาน่ะไม่ได้ด้อยกว่าคุณเลย”
“ขอรับ ท่านอาจารย์!” รู้ดีว่าชายวัยกลางคนที่ยืนตรงหน้าเขาไม่ใช่เป้าหมายที่จะเล่นงานได้ง่ายๆ โม่เอ๋อรีบกลืนความจังงังทั้งหมดลงไปและเดินไปที่ใจกลางเวที เขาประสานมือให้และโค้งคำนับ “เลือกรูปแบบการดวลที่คุณต้องการมาได้เลย!”
“รูปแบบการดวล?” ด้วยสองมือที่ยังคงไพล่หลังอยู่ จางเซวียนวางท่าแบบคนที่ไม่คิดจะระมัดระวังตัว เขาชำเลืองมองโม่เอ๋อด้วยสายตาเรียบเฉยและตั้งคำถาม “คุณคิดว่าคุณคู่ควรพอที่จะดวลกับผมหรือ?”
“คุณ…” โม่เอ๋อหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธจัด
“ให้ตาเฒ่านั่นมาดวลกับผม หรือถ้าคุณยังรู้สึกว่ามันไม่สมเหตุสมผลล่ะก็ ผมจะให้พวกคุณ 5 คนเข้ามาดวลกับผมพร้อมกันทีเดียวเลย” จางเซวียนพูดอย่างสุขุม