สามปีต่อมา 

 

 

ภายในตำหนักซอชอนที่อยู่ใจกลางวังตะวันตกนั้นดึกวอลกับโอรันกำลังมองหน้ากันอยู่ ไม่มีโต๊ะสำรับของหวาน ใบหน้าของดึกวอลที่กำลังยิ้มจนมองไม่เห็นลูกตานั้นมองดูแล้วช่างงดงาม และโอรันที่กำลังมองเขาอยู่นั้นก็กำลังยิ้มเบาๆ อยู่เช่นกัน แม้ทั้งคู่จะมองหน้ากันอย่างอ่อนหวาน แต่นี่ไม่ใช่บรรยากาศที่อบอุ่นเลย มันเป็นบรรยากาศที่อึดอัดและเยือกเย็น 

 

 

“เด็กคนนั้นอายุได้สามปีแล้วนะเพคะ หากหม่อมฉันได้ยิน แสดงว่าพระองค์เองก็คงจะทรงทราบอยู่แล้วใช่หรือไม่เพคะ” 

 

 

“ฮ่าๆ หมายถึงจิตใจขององค์จักรพรรดิเยี่ยงนั้นหรือ” 

 

 

ดึกวอลที่ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างดังด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มโบกมือไปมา 

 

 

“มิต้องเป็นห่วงหรอก โอรัน ทุกอย่างจะเป็นไปได้ด้วยดี” 

 

 

“แต่ว่า…” 

 

 

“ชายา” 

 

 

ดึกวอลโค้งตัวไปด้านหน้าขัดคำพูดโต้ตอบของโอรัน โอรันที่ถอนหอยใจออกมาก้มศีรษะแล้วนั่งตัวตรง 

 

 

สิ่งที่ดึกวอลพูดนั้นมันหมายความว่าอย่างไรกันแน่ เขาคือคนที่โอรันรักมากกว่าผู้ใด เขาที่โอรันเชื่อใจมากกว่าใคร บอกว่าทุกอย่างจะเป็นไปได้ด้วยดี 

 

 

ทว่า โอรันนั้นไม่สามารถสลัดความวิตกกังวลนี้ไปได้ และดึกวอลเองก็รู้ดี 

 

 

“ความจริงแล้วอำนาจของฝั่งเรานั้นผ่อนกำลังลงไปมากนัก หลังกจากที่แทฮวางกุน โดฮวานเกิด ทว่าตระกูลอีที่เป็นตัวแทนของตระกูลผู้มีอำนาจ ซึ่งเป็นครอบครัวของชายานั้นก็น่าจะกำลังหนุนเราอยู่มิใช่หรือ” 

 

 

 “แต่ฝั่งของฮวางแทจากำลังสนับสนุนแทกงชินอยู่มิใช่หรือเพคะ และเรามิอาจประมาทฮวากุกอาณาจักรบ้านเกิดเมืองนอนของพระชายาฮวางแทจาได้นะเพคะ” 

 

 

“แม้การที่เด็กคนนั้นเกิดมาจะทำให้หลายคนไปเข้าพวกกับฮวางแทจา แต่มันก็เป็นช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น” 

 

 

ดวงตาของดึกวอลที่โค้งมนอยู่ตลอดเวลานั้นกลับมาอยู่ในลักษณะเส้นตรง และมองตรงไปข้างหน้า ดวงตาคู่นั้นเป็นเหมือนดั่งรอยโหว่แห่งความมืดมิด แววตาของเขานั้นชวนให้ขนลุก ทันทีที่โอรันได้เห็นใบหน้าของเขาที่ไร้การตกแต่งใด ใบหน้าของนางก็เริ่มแดงขึ้น สิ่งที่ดึงดูดนางคือแสงนั้นจากสายตาของเขา นางตกหลุมรักดึกวอลตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้สบตา 

 

 

“ตอนนี้มูโยอายุได้สิบปีแล้ว และยังมีความเฉลียวฉลาดนัก แทมุนจังที่จับตาดูเขาอยู่อย่างใกล้ชิด” 

 

 

“แทมุนจังหรือเพคะ!” โอรันอุท่านขึ้นมาเพราะคำพูดของดึกวอล 

 

 

แม้ว่าแทมุนจังจะเป็นตำแหน่งผู้บัญชาการของข้าราชบริพารพลเรือนที่ต่ำกว่าแทกงชินหนึ่งระดับ แต่ก็เป็นบุคคลที่ไม่อาจเพิกเฉยได้ ปัจจุบันแทมุนจังคือขุนนางที่มีอายุมากที่สุด และครองตำแหน่งมายาวนาน เป็นผู้ดำรงตำแหน่งแทกงชินในสมัยของจักรพรรดิองค์ก่อน แต่ด้วยอำนาจที่สูสีกันของบีพาอันกับดึกวอลจึงทำให้เขานั้นแตกต่างจากขุนนางทั่วไป เขาเป็นคนที่มีอำนาจมากที่สุดท่ามกลางผู้คนที่วางตัวเป็นกลางอย่างชัดเจน 

 

 

ฉะนั้นคำที่บอกว่าคนผู้นี้กำลังจับตาดูมูอยู่นั้น เป็นคำพูดที่มองข้ามไปไม่ได้เลย 

 

 

ใบหน้าของโอรันขึ้นสี 

 

 

“หาก…หากเป็นเช่นนั้นก็หมายความว่า แทมุนจังสนับสนุนพระองค์หรือเพคะ” 

 

 

“ไม่รู้สิ ข้าเองก็ไม่อาจเข้าใจที่ตาเฒ่านั้นหัวเราะร่วนๆ ได้” 

 

 

“และแทฮวางกุน โดฮวานก็มีจุดอ่อนที่สำคัญอยู่” 

 

 

“จุดอ่อนที่สำคัญอย่างนั้นหรือ” นี่เป็นเรื่องที่เพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก 

 

 

“เขายังเยาว์วัย แม้จะมีข้อบกพร่อง ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องใหญ่อันใดได้นะเพคะ” 

 

 

“หากทำให้การมีตัวตนอยู่ของเด็กคนนี้สั่นคลอนได้ เราก็จะได้กำลังมหาศาลที่สามารถพลิกผันสถานการณ์นี้ได้อย่างง่ายดาย” 

 

 

นี่เป็นความลับที่แม้แต่กับโอรันเองก็ต้องพูดคุยกันอย่างระมัดระวัง ดึกวอลต้องการแน่ใจเสียก่อนที่จะพูดมันออกมา และถึงแม้จะบอกแก่โอรันแล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะแพร่งพรายออกไปได้ในทันที 

 

 

“การมีตัวตนอยู่…อย่างนั้นหรือเพคะ” 

 

 

โอรันเอียงหัวเล็กน้อยแล้วขยับตัวไปพิงดึกวอล จากที่ทั้งคู่นั่งห่างกันเพียงเล็กน้อย ตอนนี้ต่างคนต่างอยู่ใกล้ชิดกันมากขึ้น ดวงตาและริมฝีปากของดึกวอลยกยิ้มขึ้นมา เขาใช้ปากสัมผัสใบหูของโอรันที่เต็มไปด้วยความสงสัย และเมื่อดึกวอลกระซิบบางอย่าง ดวงตาของโอรันก็เบิกโพลง ใบหน้าขาวซีดเนื่องจากมันยากที่จะเชื่อ แต่ถ้าหากนี่เป็นความจริง แน่นอนว่าจะเป็นประโยชน์ต่อฝั่งของดึกวอลเป็นอย่างมาก นี่คืออาวุธลับที่สามารถล้มบีพาอันผู้ยโสโอหังและเย่อหยิ่งได้ในคราวเดียว 

 

 

ริมฝีปากของโอรันเต็มไปด้วยรอยยิ้ม 

 

 

“และ” 

 

 

“และ?” โอรันพูดตามดึกวอลและมองหน้าของเขา แม้ใบหน้าที่มีรอยยิ้มกว้างของเขาจะดูอ่อนโยน แต่ก็ดูน่ากลัว ทว่ายิ่งทำให้หัวใจของโอรันสั่นไหวเท่าไร มันก็ยิ่งเป็นความน่ากลัวที่ดูน่าเสน่หามากเท่านั้น 

 

 

“หลังจากที่ล้มฮวางแทจาด้วยจุดอ่อนของเขาได้แล้วนั้น” ดึกวอลหยุดพูดราวกับต้องการที่จะลดความตื่นเต้นลง แล้วก็ยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย 

 

 

“มูโยของเราก็จะได้เป็นฮวางแทซน” 

 

 

“ฮวางแทซน!” ใบหน้าของโอรันมีชีวิตชีวาขึ้นมา 

 

 

ฮวางแทซน คือตำแหน่งของพระราชนัดดาอันดับหนึ่งในลำดับการสืบทอดราชบัลลังก์ เดิมทีเหล่าพระราชนัดดานั้นไม่สามารถสืบทอดบัลลังก์ได้ มีเพียงฮวางแทซนเท่านั้นที่ได้รับสิทธิ์ในการสืบทอด มันเป็นตำแหน่งที่มีโอกาสสูงที่จะได้เป็นจักรพรรดิในสมัยต่อต่อไป หากถูกแต่งตั้งเป็นฮวางแทซนตั้งแต่ยังเด็กแล้ว ลำดับผู้สืบทอดจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง หากถูกแต่งตั้งเป็นฮวางแทซนแล้ว แน่นอนว่าหลังจากนั้นคนผู้นั้นก็จะได้เป็นฮวางแทจา และเส้นทางในการขึ้นเป็นจักรพรรดินั้นก็ราบรื่นขึ้น 

 

 

ยิ่งในสถานการณ์ที่ราชสำนักมีพระราชนัดดาเพียงไม่กี่คน ผู้เป็นฮวางแทซนก็มีโอกาสที่จะแย่งชิงบัลลังก์ได้ หากเป็นเช่นนั้น แม้ดึกวอลจะไม่ได้เป็นฮวางแทจา แต่ก็สามารถมีอำนาจและอิทธิพลอย่างมากมายได้ด้วยตำแหน่งพระราชบิดาของจักพรรดิองค์ต่อไป 

 

 

แม้จะมีเส้นทางที่เขาเป็นจักรพรรดิด้วยตนเองได้ ทว่าดึกวอลก็คิดหาเส้นทางอื่นด้วยเช่นกัน 

 

 

“หากมูโยได้เป็นฮวางแทซน…” 

 

 

ใครจะไปรู้ว่าผู้ที่ไปเข้าพวกกับฝั่งของบีพาอันเพราะการถือกำเนิดของโดฮวานนั้นอาจจะย้ายมาฝั่งนี้ก็เป็นไปได้ การให้มูเป็นด่านหน้านั้นก็จะเป็นการช่วยสนับสนุนอำนาจของดึกวอลได้ เขามองความเป็นไปได้ในหลายๆ ด้าน มากกว่าการที่จะทำสิ่งใดเพียงสิ่งหนึ่ง  

 

 

“เพื่อให้เป็นเช่นนั้น ก่อนอื่นเราจะต้องนำความจริงนี้ขึ้นทูลต่อองค์จักรพรรดิ” 

 

 

ริมฝีปากของดึกวอลเผยรอยยิ้มที่มีเลศนัย โอรันกกกอดอยู่ในอ้อมกอดของเขาด้วยดวงตาที่เปล่งประกายด้วยความประทับใจ ดึกวอลดึงโอรันเข้ามากอดด้วยมือใหญ่ของเขา 

 

 

หากทุกอย่างเป็นไปตามแผน ตำแหน่งจักรพรรดิต้องเป็นของดึกวอลอย่างแน่นอน แต่หากไม่ได้มาซึ่งตำแหน่งนั้นมันก็ต้องเป็นของมู ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ดึกวอลก็มั่นใจว่าอำนาจจะต้องอยู่ในมือของพวกตน 

 

 

*** 

 

 

ภายใต้ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ ใต้ต้นไม้ใหญ่กลางเนินเขา มีเด็กคนหนึ่งกำลังวิ่งเล่นอยู่ 

 

 

“อ้าก” 

 

 

เด็กที่กำลังเดินจ้ำอ้าวพลางกระโดดไปด้วย ล้มกลิ้งลงไปอย่างไม่ตั้งใจ และเขาน่าจะสนุกกับมันจนถลาตัวเองลงไปบนพื้นหญ้าอยู่อย่างนั้น และนั่นก็ทำให้ผ้าคาดหัวของเขาหลุดออก แต่เขาก็หาได้สนใจอะไรยังคงกลิ้งไปมา ที่เส้นผมสั้นๆ นั้นมีหญ้าติดเต็มไปหมด 

 

 

“ดัมกัง ดัมกัง ระวังหน่อย ไม่อย่างนั้นจะเจ็บตัวเอาได้”  

 

 

เสียงร้องเรียกของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้นกลับเสียงหัวเราะ 

 

 

“ท่านแม่!” 

 

 

แทฮวางกุน โดฮวาน เด็กน้อยที่กลิ้งไปมาบนพื้นหญ้าพูดตอบกลับไปพร้อมกับหัวเราะคิกคัก กโยซึลที่เรียกเด็กน้อยเดินเข้าไปหาเขา โดฮวานลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้าไปหากโยซึลแบบเด็กๆ แล้วใช้มือจับไปที่ชายกระโปรงของนางแล้วนั่งลง กโยซึลก็นั่งลงตามด้วย 

 

 

“ดัมกัง นี่มันอะไรกันหรือ หญ้าติดเต็มตัวไปหมดเลย” 

 

 

กโยซึลยิ้มให้กับความน่ารักของโดฮวานพร้อมกับปัดหญ้าที่ติดตัวเขาออกให้ โดฮวานที่กำลังใช้มือเกาหัวไปมาส่ายหัวอย่างแรงทำให้เศษหญ้าเล็กๆ ร่วงออกมา โดฮวานคงจะรู้สึกมึนจากการสะบัดหัวจึงทำให้เขาเซไปมาและล้มลงไปบนกระโปรงของกโยซึล 

 

 

“ท่านแม่ มึนหัวขอรับ” 

 

 

แม้โดฮวานจะยังพูดไม่ค่อยเก่ง แต่เนื่องจากเติบโตมาด้วยความรักและความเอาใจใส่จึงพูดจาได้ดีพอสมควร 

 

 

“เพราะส่ายหัวแรงจึงเป็นเช่นนั้น” 

 

 

กโยซึลลูบใบหน้าของโดฮวานที่นอนอยู่บนกระโปรงของนาง ทุกครั้งที่มือของผู้เป็นแม่สัมผัสบนใบหน้า โดฮวานก็จะทำเสียงคิกคักและขยับหน้าไปมา กโยซึลรู้สึกขอบคุณเป็นอย่างมากที่ตนเองสามารถใช้เวลากับลูกได้อย่างมีความสุข เพราะเขาคือเด็กที่อาจจะไม่ได้เห็นแสงของโลกใบนี้ เป็นเด็กที่เกิดมาจากการพบเจอกันที่ไม่อาจยอมรับได้ แต่ลูกของนางก็กำลังเติบโตขึ้นมาอย่างสดใสและกล้าหาญ 

 

 

“คิก คิก” โดฮวานที่ส่ายหน้าไปมาจับมือของกโยซึลไว้ แล้วยิ้มอย่างมีความสุข 

 

 

“ชอบที่นี่หรือ” 

 

 

“ขอรับ” 

 

 

“แม่ก็ชอบที่นี่เช่นกัน” 

 

 

กโยซึลเงยหน้ามองท้องฟ้าพลางตบมือกล่อมโดฮวาน ต้นไม้กลางเนินเขาที่อยู่เหนือหัวนั้นเต็มไปด้วยใบไม้สีเขียว ตาของนางมองไปที่ต้นไม้อย่างสงบนิ่ง 

 

 

“แม่อยากขึ้นไปบนนั้น เขาบอกว่าหากขึ้นไปบนนั้นได้ก็จะอยู่ในพระราชวังได้อย่างสงบสุข” 

 

 

“บนต้นไม้หรือขอรับ บนนั้น…ว้าว” 

 

 

โทฮวานมองขึ้นไปด้านบนแล้วอุทานออกมา สายตาของเขาเป็นประกาย 

 

 

“เคยขึ้นไปหรือขรับ” 

 

 

“น่าเสียดายที่ตกลงมาก่อนระหว่างขึ้นไป” 

 

 

“โถ่” 

 

 

โทฮวานส่งเสียงบ่งบอกถึงความเสียดายออกมาให้กับกโยซึลที่กำลังส่ายหน้า แต่ตรงกันข้ามริมฝีปากของกโยซึลนั้นเผยรอยยิ้มออกมา นางใช้มือลูบโดฮวานด้วยความอ่อนโยน 

 

 

“แม้ว่าจะตกลงมา แต่ก็ตกลงมาในอ้อมกอดที่อบอุ่น แม้ว่าจะตกลงมา แต่แม่ก็ยิ่งโปรดปรานมัน” 

 

 

กโยซึลกำลังคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีต ในตอนที่เพิ่งมาพระราชวังนี้ได้ไม่นาน ชายหนุ่มผู้อ่อนโยนที่ได้พบเจอระหว่างเที่ยวเล่นอยู่ในพระราชวังนอกในสมัยที่ตนยังวิ่งเล่นได้อย่างไม่มีความเกรงกลัว และเถลไถลได้อย่างไม่เกรงใจใคร วันหนึ่งตนได้ปีนขึ้นไปบนต้นไม้นั้น และก็ได้ร่วงลงมาในอ้อมกอดของเขาคนนั้น น่าจะตั้งแต่วันนั้น หรือหลังจากนั้น หรืออาจจะก่อนหน้านั้น แม้ตนจะไม่ได้รู้สึกผูกพันกับพระราชวังแห่งนี้แต่การที่มีอ้อมกอดนั้นอยู่ จึงทำให้อยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ 

 

 

กโยซึลโอบกอดโดฮวานอย่างอ่อนโยนเหมือนกับมือคู่นั้นที่ปลอบโยนนางในตอนนั้น 

 

 

“ด้วยความช่วยเหลือนั้น จึงทำให้แม่ได้เจอกับดัมกัง” 

 

 

“เดี๋ยวลูกทำเองขอรับ” โดฮวานที่อยู่ในอ้อมกอดของกโยซึลตะโกนขึ้นมาทันที “ลูกจะขึ้นไปแทนท่านแม่เองขอรับ ข้าจะขึ้นไปบนต้นไม้นั้นขอรับ” 

 

 

โดฮวานลุกขึ้นพรวดแล้วชี้ไปที่ยอดต้นไม้ใหญ่นั้น กโยซึลมองหน้าลูกตัวเองด้วยความอิ่มอกอิ่มใจ 

 

 

“จะขึ้นไปให้ได้ใช่หรือไม่ แม้ว่าแม่จะขึ้นไปไม่ได้ แต่ดัมกังก็จะขึ้นไปแทนใช่หรือไม่” 

 

 

“ขอรับ!” 

 

 

เสียงตะโกนอันสดใสของเด็กน้อยดังสะท้อนขึ้นไปบนท้องฟ้าที่สดใส  

 

 

และในปีนี้ ฤดูร้อนก็ได้สิ้นสุดลงแล้ว แสงแดดในฤดูร้อนกำลังค่อยๆ หายไป อีกไม่นานก็จะถึงวันเกิดของโดฮวาน กโยซึลมองโดฮวานด้วยใบหน้าที่มีความสุข แม่กับลูกที่กำลังใช้เวลาในแต่ละวันไปอย่างสงบสุขนั้น พวกเขาไม่รู้ตัวเลยว่าพลังมืดกำลังย่างกรายเข้าหา