ตอนที่ 683 ให้ข้าดูเพียงคนเดียวก็พอแล้ว / ตอนที่ 684 ท่านผู้นั้นของบ้านเรากลัวคนแปลกหน้า

ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง

ตอนที่ 683 ให้ข้าดูเพียงคนเดียวก็พอแล้ว

 

 

เมื่อครู่เพิ่งบอกว่าไม่อยากไป ตอนนี้แม้อยากหนีไปก็คงไปไม่ได้แล้ว เพิ่งบอกเองว่าหนีไปไม่ได้แล้ว แต่เฉินยางกลับสบายใจบอกไม่ถูก นางเช็ดน้ำตาที่หางตาแล้วมองไปยังเฝิงเยี่ยไป๋ “จะเป็นหรือตายก็ต้องตามนี้แหละ ในเมื่อหนีไปไม่ได้แล้ว อย่างนั้นข้าก็จะเข้าวังกับท่าน”

 

 

เฝิงเยี่ยไป๋ถอนหายใจยาว “หนีไปไม่ได้แล้ว แต่เจ้ากลับดูดีใจเสียนี่”

 

 

“มิใช่หรอก” นางว่าพลางจัดชุดเขาที่ยับให้เข้าที่ “เป็นเพราะว่าได้อยู่กับท่านข้าถึงดีใจ”

 

 

เฝิงเยี่ยไป๋สั่งการให้เฉาเต๋อหลุนไปเตรียมรถม้าเสีย

 

 

เฉาเต๋อหลุนรับคำสั่งพลางเดินออกไปอีกครั้ง

 

 

“พอเข้าวังแล้ว ไทเฮาจะต้องหาทางหลอกถามข้อมูลจากเจ้าเป็นแน่ จงจำเอาไว้ให้ดี หากทรงถามอะไรตอบว่าไม่ทราบไว้ก่อนเป็นดี หากถามว่าข้าทำอะไรข้างนอกบ้านนั่น ที่บ้านมีอะไรผิดปกติหรือไม่ เจ้าจงบอกว่าเจ้าไม่รู้อะไรทั้งนั้นจะดีที่สุด”

 

 

เฉินยางมองเขาด้วยความเคือง “ข้าดูเหมือนคนโง่หรืออย่างไร ข้าไม่หลุดปากแน่นอน ขอท่านวางใจได้เลย”

 

 

“ก็เพราะไม่วางใจถึงได้กำชับเจ้า” เฝิงเยี่ยไป๋นำปิ่นเงินเสียบลงบนผมนาง “ข้าเจอมันที่เมืองฉุย ไม่ได้มีลวดลายฉูดฉาดนัก ช่างเข้ากับเจ้าเหลือเกิน”

 

 

นางหมุนรอบตัวอยู่ตรงหน้าเขาอย่างดีใจ “สวยไหม ซั่งเหมยมักพูดว่าข้าแต่งตัวธรรมดานัก ไม่อย่างนั้นข้าไปเปลี่ยนชุดหน่อยดีหรือไม่ ออกไปข้างนอกจะได้เป็นหน้าเป็นตาให้ท่านได้บ้าง”

 

 

เฝิงเยี่ยไป๋จิ้มปลายจมูกเชิดงอนของนาง “เจ้ายังคิดว่านี่จะไปร่วมงานเลี้ยงจริงๆ หรือ เอาอย่างนี้แล้วกัน หากแต่งตัวสวยเกินไป เดี๋ยวก็ถูกผู้อื่นแย่งไปอีก เจ้าให้ข้าดูคนเดียวก็พอแล้ว”

 

 

“แต่คนอื่นมักกล่าวว่าแต่งตัวเพื่อให้ตนนั้นดูแล้วมีความสุข ข้าแต่งตัวน่ามอง ข้าได้มองเองก็มีความสุขอย่างไรเล่า”

 

 

“แต่งตัวเพื่อให้ตนนั้นดูแล้วมีความสุข เจ้าก็แต่งตัวเพื่อให้ข้ามีความสุขเช่นกัน ข้าก็ชอบที่เห็นเจ้าเป็นแบบนี้ เหมือนดั่งกับผักกาดขาวที่เพิ่งถอนออกจากพื้นดินที่หวานอร่อยและสดชื่นยิ่งนัก งดงามกว่าพวกที่ฉูดฉาดหลากสี” เขาไม่ได้สนใจเลยว่านางจะงดงามหรือไม่ งดงามไปชาตินี้ก็ยังเป็นนาง หากไม่งดงามชาตินี้ก็ยังต้องการแค่นาง ตอนนี้เขาไม่ต้องการสิ่งใดอื่น ขอแค่นางมีความสุขก็พอแล้ว กล่อมภรรยาตนให้สนุกนั้น สนุกกว่าภรรยากล่อมตนให้สนุกมากนัก

 

 

เฉินยางพึมพำพลางสวมเสื้อคลุมกันลม ขณะออกบ้านยังกังวล “ท่านบอกว่าข้าป่วย แต่ที่จริงข้าไม่ได้ป่วย นี่นับว่าเป็นการทูลเท็จหรือไม่”

 

 

เด็กโง่อะไรก็กังวลไปหมด เฝิงเยี่ยไป๋ประคองนางขึ้นนั่งเกี้ยว โน้มตัวข้างกายนางพลางกระซิบครู่ใหญ่ เมื่อเอ่ยจบก็สะกิดแก้มนางเบาๆ พลางยกยิ้มร้ายที่มุมปาก “ขอเพียงเจ้าบอกไทเฮาแบบนี้ พระองค์ต้องทรงเข้าใจเจ้าแน่”

 

 

เฉินยางหน้าแดงก่ำพลางผลักตัวเขาออก “ท่านไม่อายแต่ข้าอายนะ ข้าไม่พูดหรอก หากจะพูดท่านก็พูดเองเถอะ”

 

 

เฝิงเยี่ยไป๋ลูบคางตนพลางมองนางอย่างประเมิน “หากฮ่องเต้ถาม ข้าต้องบอกแน่ หากเจ้าเองไม่อยากทูลเท็จก็ทูลตามจริงไปเสีย”

 

 

ที่เขาพูดแบบนี้เพียงแกล้งนางเท่านั้น ไม่คิดเลยว่า เฉินยางที่ขึ้นเกี้ยวไปแล้วยังขบคิดเรื่องนี้ไม่หยุดตามนั้นจริงๆ ไม่อย่างนั้นจะให้นางตอบอย่างไรเล่า นางกัดริมฝีปากพลางคิดโกรธเฝิงเยี่ยไป๋ที่ออกความเห็นประหลาดๆ กับนาง เมื่อเปิดม่านมองไปด้านหลัง รถม้าของเฝิงเยี่ยไป๋ตามมาด้านหลังอย่างเชื่องช้า คราวก่อนที่เข้าวังในใจนั้นเหมือนกับซ่อนกระต่ายเอาไว้ด้านใน กระโดดโลดเต้นตลอดเวลา กวนใจจนนางเองไม่สงบเลย หากแต่คราวนี้เฝิงเยี่ยไป๋ตามมาด้านหลังนี่เอง นางจึงอุ่นใจยิ่งนัก

 

 

เหล่าสตรีที่ได้รับเชิญให้เข้าวังนั้น มีเพียงเฉินยางที่ได้นั่งเกี้ยวที่ไทเฮาส่งไปรับ พอถึงประตูวัง คนที่ควรลงรถม้าก็ลงรถม้า ที่ควรลงเกี้ยวก็ลงเกี้ยว พบเจออยู่หลายคนจึงคำนับทักทาย มิต้องคิดว่าปกติจะผิดใจกันเพียงใด หากแต่พอพบกันซึ่งหน้า ใบหน้าก็ต้องฝืนแสดงออกให้เป็นพิธี ไม่เช่นนั้นหากผู้อื่นหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสมีเพียงตนเท่านั้นที่ดึงหน้าโกรธกริ้วอยู่ก็จะดูผิดวิสัยไป คนที่มักจะดึงหน้าตึงอยู่เสมอ มักจะมีชีวิตไม่ราบรื่นนัก

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 684 ท่านผู้นั้นของบ้านเรากลัวคนแปลกหน้า

 

 

เฉินยางนั้นไม่รู้จักใครแม้แต่คนเดียว ทำได้เพียงยืนอยู่ด้านหลังเฝิงเยี่ยไป๋อย่างนอบน้อม ใช้แขนเสื้อที่ใหญ่นั้นบังเอาไว้ แอบดึงชายเสื้อเฝิงเยี่ยไป๋แล้วเดินตามไปมา เมื่อพบเจอคนที่เขาอยากจะทักทายนางก็จะหยุดเพื่อยิ้มและหัวเราะกับท่านผู้นั้นสักครา พบเจอคนที่เขาไม่อยากสนใจ นางก็ไม่ต้องโผล่หน้ามา เดินตามเป็นใช้ได้

 

 

ตอนเพิ่งจะเข้าวังช่วงทางเดินนั้นยังสามารถเดินไปด้วยกันได้ เมื่อพ้นทางเดินนี้แล้ว ก็ต้องแยกทางกันเดินแล้ว ตำหนักเจียวอันกับสวนดอกไม้นั้นอยู่คนละที่กัน ห่างกันอยู่ระยะหนึ่งเลย เฝิงเยี่ยไป๋เดิมอยากไปส่งนาง พอหมุนตัวไปก็เจอกับคู่สามีภรรยาเซวียอิ๋นเข้า เซวียอิ๋นเดิมทีนั้นอยากจะหลบเขา หากแต่หลบไม่พ้น ทำได้แค่เดินไปคำนับทักทาย

 

 

“ท่านอ๋อง ท่านก็เพิ่งมาถึงหรือ”

 

 

เฝิงเยี่ยไป๋รับคำในลำคอ มองไปที่เซวียฮูหยิน ดึงตัวเฉินยางที่อยู่ข้างหลังออกมา “นี่คงเป็นฮูหยินของท่าน พอดีเลย ท่านนี้ของบ้านเรา เป็นครั้งแรกที่เข้าวังอย่างเป็นทางการ ยังเยาว์นัก แยกแยะคน กลัวคนแปลกหน้า ไม่ทราบว่าเซวียฮูหยินจะกรุณาพาฮูหยินของข้าเข้าไปกับท่านได้หรือไม่”

 

 

เซวียฮูหยินมองไปที่เซวียอิ๋น เซวียอิ๋นรีบพยักหน้าไม่หยุด “ได้แน่นอนขอรับ” พลางกระทุ้งไปที่ฮูหยินตนเสียหนึ่งที ให้นางแสดงท่าทีเสีย

 

 

เซวียฮูหยินก็เป็นคนฉลาดหลักแหลม เมื่อได้ยินสามีตนพูดเยี่ยงนี้ เข้าใจถึงจุดได้เสียได้ทันที รีบเดินเข้าไปคววแขนเฉินยางอย่างเอื้ออารี “พระชายาอ๋องครั้งแรกเข้าวังหรือ ในวังนั้นจะว่าใหญ่ก็ใหญ่ แต่เงียบเหงายิ่งนัก ให้ข้าพาท่านเข้าไปเถิด ดีเลยระหว่างทางจะได้ร่วมชมบรรยากาศในวังกัน ที่นี่ไม่เหมือนกับตามบ้านเรือนของชาวบ้านร้านตลาดเลยเจ้าค่ะ”

 

 

เฉินยางพยักหน้า เดินเข้าไปพลางหนึ่งก้าวหันมองสามที หนก่อนที่เข้าวังนางแอบหลบอยู่ด้านใต้ที่นั่งของเซวียฮูหยิน ใครจะคิดเล่าว่าวันนี้จะได้ควงแขนนางเดินเข้าวังด้วยกัน นางเองยังเรียกพระชายาอ๋องอย่างนั้นอย่างนี้อีก ตอนนี้พอดูแล้วก็รู้สึกว่าน่าสงสัย แต่หากพ้นวันนี้ไปไม่แน่ว่าพวกนางทั้งบ้านอาจจะกลายเป็นผู้ต้องหาของวังหลวงแน่ ถึงตอนนั้นเซวียฮูหยินรู้เข้า สีหน้านางอาจจะดูไม่ดีก็ได้

 

 

เซวียอิ๋นผายมือไปทางเฝิงเยี่ยไป๋นัยว่าเชิญก่อนเลย เฝิงเยี่ยไป๋ไม่ได้ขยับ ยืนอยู่ตรงนั้น มองไปยังเบื้องหลังของเฉินยางจนนางเดินหายไป เพิ่งจะสะบัดชายเสื้อออกเดิน เซวียอิ๋นรีบตามขึ้นมาสอพลอพลางเอ่ย “ท่านอ๋องกับพระชายารักกันยิ่งนัก ทั้งพระชายาอ๋องดูยังเยาว์นัก ท่านอ๋องโชคดีเสียจริง”

 

 

เฝิงเยี่ยไป๋หันศีรษะไปมองเขา “ใต้เท้าเซวียไม่ต้องเยินยอข้าเพียงนี้หรอก ท่านและข้าล้วนแจ้งชัดยิ่งนัก ฮ่องเต้เชิญข้ามางานเลี้ยงทำไม คืนนี้ข้าคาดว่าแปดส่วนคงไม่รอดแน่ ฮ่องแต่อยากสังหารข้า ค่ำคืนของงานเลี้ยงลอบสังหารนี้ ยังไม่รู้ว่ามีอะไรซ่อนอยู่ภายในหรอก”

 

 

เซวียอิ๋นเช็ดเหงื่อเม็ดโตที่ผุดขึ้นที่หน้าผาก “ท่านอ๋องพูดอย่างนี้เกินจริงไปแล้ว ฮ่องเต้มีได้ตรัสแล้วรึ คืนนี้ฉลองเข้าฤดูเหมันต์ ไทเฮาเห็นว่าในวังเงียบเหงา ให้พวกเราเข้าวังมาเพื่อสังสรรค์ให้คึกคักเสียหน่อย”

 

 

“ใต้เท้าเซวียนั้นอย่างไรเสียอยู่ในชั้นขุนนางเสียหลายปี คงมิได้มองแผนลวงตานี้ไม่ออกกระมัง ตัวเอกคืนนี้คือข้าเอง เหลือเพียงฮ่องเต้จะสวมโทษอะไรให้ข้าเท่านั้น หากว่าหมวกข้อหานั้นสวมไว้สูงพอ [1] ไม่แน่ว่าวันนี้ข้าคงสิ้นอยู่ที่นี่แน่ หากว่าไม่สูงพอ ในสวนดอกไม้ยังมีนางอีกคน ยัดเยียดเข้าไปอีกคนคงพอกระมัง”

 

 

“ท่านอ๋องหมายความว่า….”

 

 

“พยานปากเอกผู้นั้นของใต้เท้าเซวียอยู่ที่แห่งใดหรือ”

 

 

เซวียอิ๋นเอ่ยว่า “ก็อยู่ในจวนข้า ผู้น้อยให้คนเฝ้าเข้าไว้ตลอด เขาเองก็กลัวตายทั้งยังมีนิสัยตรงไปตรงมายิ่งนัก”

 

 

เฝิงเยี่ยไป๋ตบไหล่เซวียอิ๋นเบาๆ เสียสองที “ที่ข้าอยากทำก็คือสิ่งที่ใต้เท้าเซวียอยากทำมาตลอด วันนี้เป็นโอกาสดีนัก ใต้เท้าเซวียยังรออะไรอีหรือ”

 

 

เซวียอิ๋นตกใจมาก “ท่านอ๋องหมายถึง…”

 

 

 

 

——

 

 

[1] 戴帽子 สวมหมวกให้ เปรียบว่าให้โทษทัณฑ์แก่ใคร