ตอนที่ 685 เหมือนจับเต่าในไห
เฉินยางเดินเข้าสู่สวนดอกไม้พร้อมกับเซวียฮูหยิน ด้วยฐานะของนั้นทำให้ตลอดทางนั้นไม่มีใครเข้ามาสนทนาด้วย เซวียฮูหยินมีความอารีแค่ชั่วครู่นั้นเท่านั้น พอช่วงความแปลกใหม่พ้นไป อยู่ตรงหน้าเฉินยางนางก็มิรู้จะเอ่ยอะไร เฉินยางที่อายุน้อยกว่าบุตรสาวตน ทั้งยังฐานะสูงส่งยิ่งนัก จะพูดอย่างไรก็ไม่เหมาะสม นอกเสียจากเห็นทิวทัศน์อะไรที่พิเศษหน่อย นางก็อธิบายเสียนานให้เฉินยางฟัง เวลานอกเหนือจากนั้นก็เงียบเสียเป็นส่วนใหญ่
ในสวนดอกไม้ได้เตรียมขนมต่างๆ ไว้แล้ว ไทเฮาแจ้งว่าเหนื่อยล้าพระวรกาย จึงออกไปพักเสียหน่อยแล้วจะกลับมา ให้พวกนางรับน้ำชากันเสียก่อน จวบจนพิธีเริ่มจะทรงออกมา ทุกคนต่างรับคำ เซวียฮูหยินนำเฉินยางนั่งลง ยื่นชาหนึ่งจอกให้นาง อ้าปากคล้ายอยากซักถามอันใด แต่เห็นว่านางเอาแต่ดื่มชา คิดว่าคงไม่อยากเสวนากับตนกระมังเลยเงียบปากเสีย
ฝั่งไทเฮานี้ยังไม่ได้เริ่มอันใดเลย ฝั่งฮ่องเต้นั้นงานเลี้ยงได้ดำเนินไปแล้ว ทุกคนนั่งตามตำแหน่งที่กำหนด ฮ่องเต้ผายมือลง เป็นเชิงว่าทุกคนนั่งลงได้ “บัดนี้เหมันตฤดูมาเยือนแล้ว ไทเฮามีรับสั่งว่าให้ทุกคนมาฉลองร่วมกันจึงจะมีความหมาย ดังนั้นวันนี้เลยให้ทุกท่านมาร่วมฉลอง ทุกท่านล้วนเป็นบุคคลที่มีคุณูปการต่อแผ่นดิน วันนี้ขอให้ร่ำสุราให้เต็มที่ ไม่ต้องเกรงใจภาพลักษณ์ใดๆ ต่อหน้าข้า”
ในงานพิธีฮ่องเต้ก็สวมชุดประจำราชสำนัก เครื่องทรงนี้ทำให้ทรงมีความมั่นใจ ทรงเป็นฮ่องเต้ บนกายนั้นสวมเครื่องแบบมังกรจึงจะแสดงพลังของฮ่องเต้ได้ พวกขุนนางเฒ่าเหล่านั้นจะได้ไม่ดูถูกพระองค์
เฝิงเยี่ยไป๋นั่งอยู่ส่วนหัวแถวที่นั่ง รู้ว่าวันนี้ต้องมีฉากนองเลือดแน่ กลับทำท่าทีไม่รีบไม่ร้อน ดั่งมีต้นไผ่เติบโตอยู่ในทรวง ด้วยรู้แน่ชัดถึงเรื่องที่กำลังจะเกิด แท้จริงแล้วเขาเองไม่มีความมั่นใจสักเท่าไรว่าจะหลุดพ้นจากเหตุการณ์นี้ไปได้ อีกประการหนึ่งวันนี้ที่จะต้องหลุดพ้นไม่ได้มีเพียงแค่เขาคนเดียว สามชีวิตในบ้านนั้นล้วนอยู่ในวัง หากต้องไปต้องลากไปทั้งบ้าน ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร เขาไม่กล้ารับรอง
เอื้องไปฝั่งตรงข้ามเขาคือเซวียอิ๋นที่เอาแต่ปาดเหงื่อ เฝิงเยี่ยไป๋ให้เขาเปิดโปงฮ่องเต้ต่อหน้าขุนนางเหล่านี้พวกนี้ แต่หากทำไปแล้วก็อันตรายยิ่งนัก อย่าว่าแต่ตอนนี้เขาไม่มีความกล้าเลย ต่อให้มีก็ไม่กล้าทำในวังหลวง เหยียบอยู่ในพื้นที่ของฮ่องเต้เปิดโปงพระองค์ ณ ที่นี้ล้วนเป็นคนที่พระองค์ทรงปลูกฝังมาตั้งแต่สมัยยังเป็นองค์รัชทายาท ฮ่องเต้แค่ขยับริมฝีปากก็เอาชีวิตเขาได้แล้ว หากให้เขาไปกระจายข่าวตามร้านตลาด หนึ่งคนหนึ่งปาก เพียงแค่ครึ่งวันก็กระจายจนทุกคนรู้ได้ ต่อให้เสาะหาก็จะไม่เจอแม้ต้นตอ แต่ตอนนี้…
เขาไม่กล้ามองเฝิงเยี่ยไป๋ หากเขาต้องตายก็จะหาคนไปเป็นเพื่อนด้วย ตนนั้นหากรับปากเขาไปจริงๆ เวลานี้ฮ่องเต้ต่อให้ตอนนี้ไม่โจมตีเขาเรื่องข่าวลือ แต่ก็ยากจะรับประกันว่าจะไม่ส่งมือดีมาลอบฆ่าเขา เขาเองไม่ได้เตรียมอะไรไว้ หากทำไปจริงยังนับว่าอันตรายไปหน่อย
เมื่อมองไปที่เฝิงเยี่ยไป๋ ฮ่องเต้ก็ทรงให้หลี่เต๋อจิ่งเข้ามาและถามว่า “คนทั้งหมดที่ข้าให้เจ้าเตรียมตัวพร้อมหรือยัง”
หลี่เต๋อจิ่งจีบปากจีบคอหัวเราะ “ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย บ่าวให้คนเตรียมตัวพร้อมอยู่ข้างหลังแล้ว พยานล้วนเตรียมพร้อมแล้ว รอแค่สัญญาณจากพระองค์ พอสิ้นเสียงสัญญาณ ก็จะจับตัวไว้ได้ ต่อให้เขาหนีพ้นไปได้ก็มิเป็นไร ในสวนดอกไม้ยังมีอีกหนึ่งคน หากไม่พอ บุตรชายของพวกมันยังอยู่ในกำมือของพวกเรา วันนี้ในเมื่อเขาเข้ามาแล้วก็นับเป็นเต่าในไหให้พวกเราจับเป็นแน่ [1] หนีไปไม่ได้หรอก
ฮ่องเต้พยักหน้า “ถ้าให้ดีอย่าให้มีอะไรผิดพลาด ไม่อย่างนั้นข้าจะไล่บี้กับเจ้าผู้เดียว หากสำเร็จจะได้รางวัลอย่างงาม หากล้มเหลวละก็ ข้าจะเอาศีรษะเจ้าเสีย”
“บ่าวจะพยายามอย่างสุดความสามารถ ขอพระองค์โปรดวางพระทัย”
ล้วนแต่เตรียมการมาดีแล้ว เหลือแค่จับตัวให้ได้เท่านั้น
ตอนที่ 686 เป็นม่ายตั้งแต่วัยนี้
ไทเฮายังคงไม่มาจนถึงตอนนี้ ในบรรดาผู้หญิงทั้งใต้หล้านี้ นอกเสียจากฮองเฮาที่ไม่มีสิทธิ์ไม่มีอำนาจ ก็นับไทเฮานี่แหละที่เป็นหญิงที่มีอำนาจสูงสุดแล้ว นางตั้งใจให้เจ้าคอย เจ้าพูดอะไรก็คงไม่ดี อยู่เหนือคนนับหมื่นใครบ้างเล่าจะไม่มีอารมณ์แบบนี้บ้าง อย่าว่าแต่พวกนางมารอหนึ่งสองชั่วโมงเลย ต่อให้ต้องรอต่อไปใครจะกล้าเอ่ยว่าปฏิเสธเล่า
ไทเฮายังทรงพระเยาว์ท่วงท่าและท่าทางของนางเต็มไปด้วยความสูงส่งและสง่างาม มีสตรีไม่กี่คนในวังที่อัปลักษณ์ ทั้งยังสามารถรั้งตำแหน่งฮองเฮาได้ การกำเนิดตระกูลเป็นประเด็นหนึ่ง แต่ความงามก็เป็นอีกประการหนึ่ง เชื้อสายกษัตริย์สูงส่งยิ่งนัก หน้าตาก็เป็นหนึ่งในนั้น สตรีของฮ่องเต้ล้วนถูกเลือกจากผู้คนหลายพันคน ไทเฮาอยู่ในวังหลวงมานาน เวลาชั่วครู่ที่ยกพระหัตถ์ เยื้องพระบาทก็ยังมีความสูงส่งที่เย่อหยิ่งอยู่ในนั้น
ผู้คนล้วนยืนขึ้นทำความเคารพพระนาง ไทเฮาสะบัดมือเบาๆ เชิงว่าอย่ามากพิธี ทรงนั่งลงดื่มชา เลิกคิ้วมองไปทางเฉินยาง “เจ้าไม่ได้บอกว่าป่วยรึ ให้หมอหลวงมาดูหน่อยดีหรือไม่”
เฉินยางถูกสายตาพระนางมองจนขวัญหาย บิดผ้าเช็ดหน้าในมือพลางส่ายหน้า “ขอบพระทัยเพคะไทเฮา หม่อมฉันดีขึ้นมากแล้ว เป็นเพราะว่าปกติแล้วหม่อมฉันร่างกายอ่อนแอ สามีข้าชอบทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ ไม่ใคร่วางใจ ดังนั้นจึงปฏิเสธความหวังดีของไทเฮาไปในตอนแรก
ฮ่องเต้องค์แรกสวรรคตตั้งแต่ยังหนุ่ม ในส่วนสาเหตุของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรนั้นไม่พูดถึง อย่างน้อยทั้งสองเป็นคู่สามีภรรยาที่เข้าพิธีฉลองมงคลสมรสกันแล้ว ไทเฮาเองก็ถือว่ามีความรู้สึกที่ดีต่อฮ่องเต้องค์ก่อน พระองค์กลายเป็นแม่ม่ายในวัยนี้ ในใจนั้นก็ค่อนข้างไม่ใคร่ยินดีนัก คำพูดของเฉินยางนี้ ผู้หญิงคนใดได้ฟังก็ล้วนแต่จะอิจฉา อย่าว่าแต่ไทเฮาเลย คำพูดเหล่านี้มิใคร่มีใครอยากฟังนัก ก็มีเพียงคนไม่คิดอะไรเยี่ยงนางกระมังจึงจะพูดออกมาได้
ไทเฮารับคำในลำคอ “ไอจยาได้ยินมาว่า ช่วงก่อนหน้าบุตรชายของเจ้าหายไปรึ ไม่รู้ว่าตอนนี้ตามกลับมาได้หรือยัง”
เฉินยางกัดฟันเบาๆ ในใจแม้แจ้งชัดว่าเป็นบุตรชายของพระองค์นั่นแหละที่ทำ ตอนนี้ยังมาแสร้งทำเป็นไม่รู้ความ แต่คำพูดเหล่านี้ทำได้เพียงคิดในใจ ปากกลับไม่กล้าเอ่ยคำใดออกมา นางส่ายหน้าอย่างเศร้าโศก “ขออภัยที่ทำให้ต้องทรงกังวลเพคะ ยังหาไม่พบเพคะ ท่านพี่เองให้คนไปหาข้อมูลแล้ว แต่ตอนนี้ยังไม่มีผลลัพธ์ใดๆ ….”
คนที่นั่ง ณ ที่แห่งนั้นล้วนมีบุตรและธิดา นอกเสียจากไทเฮา ทุกคนล้วนเข้าใจได้ถึงจิตใจของเฉินยาง กว่าครู่ใหญ่ที่ไม่มีใครเอ่ยอะไรต่อ เรื่องพรรค์นี้เข้าใจกันได้ลึกซึ้งนัก หากเกิดเรื่องนี้กับพวกนางคนใดก็ตาม เกรงว่าตอนนี้ดวงตาคงร้องไห้จนบวมเป่ง เฉินยางผู้นี้ยังคงเอ่ยถึงได้อย่างสงบถึงเพียงนี้ คงเสียแรงไปไม่น้อยในการกดความรู้สึกไว้กระมัง
ไทเฮาแสร้งทำเป็นเข้าอกเข้าใจนางพลางเอ่ย “เจ้าอย่ากังวลไปเลย เรื่องเป็นเยี่ยงนี้แล้ว ต่อให้เจ้าเสียใจก็ไม่มีประโยชน์ หากมีเวลาก็ไปกราบพระที่วัดเสียบ้าง ไม่แน่หากพระท่านเห็นความจริงใจ ก็จะคืนลูกให้แก่เจ้าอย่างไรเล่า”
นางรับคำ เมื่อมายอมนึกดู คำพูดไทเฮานั้นแฝงความนัย และก็เป็นดั่งที่คิด เพิ่งจะรับคำไปว่าใช่ ไทเฮาก็เอ่ยต่อว่า “เฝิงเยี่ยไป๋ช่วงก่อนนั้นไปเมืองฉุยเพื่อต่อกรกับเฉินตาน วังหลังเองไม่ได้ยุ่งเกี่ยวนัก รายละเอียดนั้นไอจยาเองก็ไม่ทราบชัด ไอจยากังวลเกี่ยวกับแผ่นดินนัก ทั้งยังปวดใจแทนฮ่องเต้ ไม่รู้ว่าสามีเจ้าเมื่อกลับมาได้เอ่ยอะไรบ้างหรือไม่”
ไทเฮาก่อนหน้านี้ก็เคยได้ยินมาว่าเฉินยางนี้สมองช้ายิ่งนัก ว่ากันว่าแต่ก่อนนั้นนางแสนจะปัญญาทึบ เมื่อครู่ก็เห็นว่าสายตานางเลื่อนลอยนัก พลางคิดว่าถึงฉลาดก็คงไม่เท่าไร เลยถามตรงๆ ไปเสียเลยให้สิ้นเรื่อง
เฉินยางนึกได้ถึงสิ่งที่เฝิงเยี่ยไป๋กำชับนางเมื่อยามอยู่บ้าน ไม่ว่านางจะถามอะไร ให้ตนแค่ตอบปัดไป ตอบว่าไม่ทราบก่อนเป็นดี ว่ากันว่าไม่รู้ก็ไม่ผิด ไทเฮาจะโทษนางด้วยเรื่องนี้ได้อย่างไร
——