ตอนที่ 853 - วารีผงกลั่นดวงใจ

The Divine Nine Dragon Cauldron

DND.853 – วารีผงกลั่นดวงใจ
  เจ้าของร้านเฟยมีอำนาจจำกัดแค่การจัดชุมนุมเขาทำได้แค่พึ่งมิตรสหายเพื่อขมเหงเจ้าของร้านคนอื่นเท่านั้น
  ตราบเท่าที่เขาพูดผู้ค้าส่งโอสถทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับตำหนักโลหิตจะไม่กล้าขายโอสถให้กับร้านใดก็ได้ นั่นก็เพราะร้านกลิ่นสวรรค์คือแหล่งการเงินที่ใหญ่ที่สุดของพวกเขา ไม่มีใครยอมต่อต้านแน่นอน
  เจ้าของร้านเฟยชักสีหน้า
  “เจ้าหน้าใหม่ถ้าเจ้าก้าวออกไปแม้แต่ก้าวเดียว ข้าจะทำให้ร้านเจ้าขายไม่ได้อีกต่อไป”
  เจ้าของร้านเฟยบินไปด้วยความแค้นเมื่อเห็นว่าซือหยูยังคงไม่สนใจ
  “อย่างนั้นรึ?เช่นนั้นข้าจะรอดู”
  หลังพูดจบซือหยูก็เดินออกไปอย่างยิ่งใหญ่ เขาก้าวออกไปท่ามกลางสายตาของทุกคน ห้องประชุมนั้นเงียบกริบ ไม่มีใครกล้าพูดออกมาแม้แต่คำเดียว พวกเขารู้สึกถึงความโกรธแค้นของเจ้าของร้านเฟย
  …
  หลังจากซือหยูออกจากร้านกลิ่นสวรรค์เขาเริ่มเดินไปตามถนนและลืมเรื่องคำขู่ของเจ้าของร้านเฟยไปในไม่นานนัก ศูนย์การค้าในเมืองค่อนข้างมีผู้คนอยู่มาก มีร้านรวงอยู่ทุกประเภท
  เมื่อเขาเดินผ่านลานใหญ่ที่อยู่ถัดจากอาคารเก้าชั้นและเกาะลอยฟ้าสาวน้อยน่ารักได้ยื่นใบปลิวที่มีข้อความหลายบรรทัดให้กับเขา…
  โรงประมูลเทียนหยามีสมบัติลับถ้าเข้าร่วมการประมูลตอนนี้จะมีโอกาสได้รับโอสถผลวิญญาณมูลค่าสิบดวง!
  ซือหยูมองดูใบปลิวและครุ่นคิดจากนั้นสาวน้อยน่ารักก็ถาม
  “ท่านผู้เฒ่าจะเข้าร่วมประมูลไหม?”
  สาวน้อยน่ารักยิ้มอย่างอบอุ่นขณะที่ถามซือหยูส่ายหน้า
  “ข้ายังไม่สนใจจะประมูลตอนนี้แต่ถ้าข้าคิดจะขายของให้โรงประมูลของเจ้า มันจะเป็นไปได้หรือไม่?”
  สาวน้อยน่ารักตาเป็นประกาย
  “ได้ตราบเท่าที่ตรงตามเงื่อนไขของโรงประมูลเทียนหยาท่านอาจจะขายได้ในการประมูลครั้งถัดไปที่จะเกิดขึ้นในอีกครึ่งเดือน”
  ในฐานะของคนจากโรงประมูลถ้านางหาคนที่อยากจะนำสมบัติมาประมูลได้ นางย่อมได้ส่วนแบ่งของยอดขาย ซือหยูสวมชุดตำหนักโลหิตและดูมีอายุ นางคิดว่าเขาน่าจะมีฐานะ นางจึงกระตือรือร้นเป็นพิเศษ
  “ดีคราวหลังข้าจะมาหาเจ้า”
  ซือหยูพยักหน้า
  สาวน้อยหยิบก้อนหินขนาดเท่าหัวแม่มือส่งให้ซือหยู
  “ข้าชาเอ๋อถ้าท่านอยากขายสมบัติให้โรงประมูล ท่านแค่ทุบสิ่งนี้หน้าโรงประมูล ข้าจะออกมาหาท่าน”
  ซือหยูรับหินและยิ้มให้นางและหันหลังจากไปจากนั้นซือหยูก็หาสถานที่ปรุงยาได้อย่างไม่ยากเย็น ซึ่งเขาพบสถานที่ปรุงยามากกว่าสิบแห่งที่นักปรุงยาใช้งานได้
  ซือหยูเลือกสถานที่ขึ้นชื่อในด้านความนิ่งของไฟไฟเช่นนี้ทำให้นักปรุงยาชั้นต้นชื่นชอบมัน แม้แต่นักปรุงยาที่มีประสบการณ์ก็ใช้ที่นี่ปรุงโอสถสำคัญๆ
  “เขาเพลิงม่วง”
  ซือหยูอยู่หน้าภูเขาที่มีข้อความสามคำสลักเอาไว้
  มีถ้ำขนาดเท่ากันมากมายถูกขุดบนภูเขามีเพลิงที่เหมาะกับการปรุงยาในถ้ำแต่ละแห่ง ราคาค่าเข้ามิใช่น้อย ผู้ที่เข้าไปจะต้องจ่ายค่าบริการเป็นแก้วหนึ่งดวงในทุกหนึ่งชั่วยาม…….novel-lucky
  ส่วนโอสถที่ปรุงพวกมันก็มิอาจกระเด็นออกจากถ้ำได้ ดังนั้นจึงบอกได้ว่าสถานที่นี้ถูกจัดไว้เพื่อนักปรุงยา
  มีแสงและรูเพลิงที่กลางถ้ำมีเพลิงร้อนที่สงบนิ่งอยู่ด้านในหลุม มันดูดีเสียยิ่งกว่าหอเพลิงคลั่งในตำหนักโลหิต! ซึ่งก็สมเหตุสมผล เพราะหอเพลิงคลั่งนั้นมีไว้เพื่อบ่มเพาะพลังมิใช่ปรุงยา
  ซือหยูทำใจให้เย็นและหยิบหม้อปรุงกับวัตถุดิบสองชุดขึ้นมาเขาวางไว้ด้านหน้า เมื่อทุกอย่างพร้อม ซือหยูก็เริ่มตื่นเต้น…
  ผลของโอสถโบราณจะเป็นยังไงกัน?มันจะเพิ่มพลังดวงวิญญาณได้แค่ไหน?
  ซือหยูลืมความคิดรบกวนทั้งหมดและเริ่มเตรียมวัตถุดิบขั้นตอนที่ยากที่สุดก็คือการเตรียมหญ้าใจสลาย เพราะพิษของมันนั่นเองที่จะทำให้ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยทำให้ผงวารีกลั่นดวงใจกลายเป็นยาพิษร้ายถึงตาย ซึ่งพิษนี้ร้ายแรงจนแม้แต่จ้าวเทวะมิอาจแตะต้อง!
  ตามที่สูตรโอสถระบุไว้ซือหยูต้องกำจัดพิษเพียงแค่สามในสิบส่วนเพื่อเลี่ยงความหายนะ ไม่มากไม่เกินไปกว่านี้ หากหญ้ามีพิษเหลือมากกว่าสาทในสิบส่วน ตัวโอสถก็จะกลายเป็นยาพิษ และถ้าหากล้างพิษมากเกินไป การปรุงผงวารีกลั่นดวงใจก็จะล้มเหลว
  เพราะเหตุนี้นักปรุงยายุคโบราณจึงต้องระวังอย่างมากในการรับมือกับหญ้าในสลาย และงานนี้ยังยากมากอีกด้วย แต่กับซือหยูนั้นเป็นเรื่องง่ายมาก!
  ทางช้างเผือกส่องประกายในมือขวาพิษในหญ้าใจสลายถูกดูดซับเข้าไปทีละน้อย ซือหยูหยุดมือเมื่อพิษเหลือเจ็ดส่วน
  ขณะนี้หญ้าใจสลายเปลี่ยนจากสีม่วงเข้มเป็นสีม่วงอ่อน เมื่อล้างพิษเสร็จแล้ว การเตรียมวัตถุดิบอื่นก็ง่ายขึ้นมาก หลังเวลาผ่านไปไม่นาน วัตถุดิบทั้งสองชุดก็ถูกเตรียมจนเสร็จ นั่นหมายความว่าซือหยูจะสามารถลงมือปรุงยาได้แล้ว
  เอาใส่วัตถุดิบลงในหม้อตามสูตรโอสถจากนั้นจึงปิดฝาหม้อและเริ่มควบคุมไฟ
  เมื่อซือหยูเริ่มคุมความร้อนเขาก็ตกใจที่พบว่าความเข้มข้นของไฟนั้นมีอยู่มาก สัมผัสของเขาเฉียบคมกว่าครั้งสุดท้ายที่ปรุงยา
  “นี่มันอะไรกัน?”
  ซือหยูตกตะลึง
  แต่เมื่อเขามองดูรังสีพลังธาตุไฟที่อยู่รอบกายก็ได้เข้าใจ…หรืออาจจะเป็นเพราะว่าข้าเข้าใจเรื่องของธาตุทั้งห้า?
  เพราะไฟนั้นเป็นหนึ่งในธาตุทั้งห้ามันจะต้องเป็นเช่นนั้นแน่! ซือหยูไม่คิดเลยว่าการบ่มเพาะวิชาลับห้าธาตุจะช่วยในการปรุงยาของเขาด้วย!
  ซือหยูผู้ยินดีเริ่มปรุงวารีผงกลั่นดวงใจที่รอคอยมาเป็นระยะเวลานานขั้นตอนควบคุมไฟนั้นค่อนข้างง่ายดายสำหรับซือหยู เขาเกือบจะถึงขั้นหลอมรวมอยู่แล้ว การปรุงยาของเขาราบลื่นไร้เหตุขัดข้อง
  การคุมเพลิงนั้นมีโอกาสสูงมากที่จะผิดพลาดแต่เขาก็ทำได้สำเร็จโดยไม่ต้องเหนื่อย เมื่อถึงขั้นหลอมโอสถ ซือหยูผู้ไม่มีประสบการณ์ในขั้นตอนนี้มากนักทำมันจบลงด้วยการหลอมรวมแค่สามครั้ง
  ปั้ง!ปั้ง! ปั้ง!
  หม้อสั่นไหวราวกับมีพลังอันแข็งแกร่งต้องการปลดปล่อยจากพันธนาการซือหยูเลียริมฝีปากและเตรียมกล่องหยกขณะที่แตะฝาหม้อด้วยมือ
  ปั้ง!
  เสียงดังก้องเมื่อหม้อเปิดออกแรงกดดันอันรุนแรงเอ่อล้นออกมาพร้อมกับหมอก โอสถนั้นมิได้มีสถานะเป็นของแข็ง มันกลายเป็นหมอกที่ใกล้เคียงกับของเหลว
  ซือหยูไม่ทันระวังเขาโบกมือเรียกหม้อเข้ามาใส่กล่องหยก แต่เขาก็ช้าไปเล็กน้อย หนึ่งในสามของหมอกได้กระทบกำแพงและเสียไป และเมื่อหมอกส่วนมากลอยขึ้นมาในอากาศ หกในสิบของผลทางโอสถจึงหายไป!
  เขาปรุงวารีผงกลั่นดวงใจสำเร็จแต่ล้มเหลวในการเก็บมัน!เมื่อมองกล่องหยกในมือก็พบว่าหมอกภายในนั้นเปลี่ยนเป็นของเหลวที่มีสีม่วงอ่อนสวยงาม
  กลิ่นหอมสดชื่นจางๆโชยมา สิ่งนี้มีผลต่อดวงวิญญาณอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็น่าเสียดายที่เขาพลาดในตอนเก็บมัน ตอนนี้มันนับว่าเป็นของเสียหายเท่านั้น!
  แต่ซือหยูไม่ย่อท้อเขาทำใจให้เย็นและเริ่มปรุงวัตถุดิบอีกชุด ตอนนี้เขามีประสบการณ์แล้ว การทำครั้งที่สองง่ายกว่าครั้งแรกอย่างมาก เพียงสองชั่วยาม เขาก็มาถึงขั้นตอนการเก็บโอสถ
  เขารู้ว่าจะต้องไม่ทำพลาดเป็นครั้งที่สองเมื่อฝาหม้อเปิดออก ซือหยูใช้พลังชีวิตจากทั้งร่างปกคลุมคลื่นอากาศและหมอกที่เอ่อล้นออกมาเอาไว้ เขาป้องกันไม่ให้มันได้สัมผัสกับอากาศภายนอก
  เมื่อคลื่นอากาศกระจายไปซือหยูใช้พลังชีวิตปกคลุมหมอกนำไปยังกล่องหยก ครั้งนี้ วารีผงกลั่นดวงใจเปล่งประกายยิ่งกว่าชุดที่แล้ว เมื่อแสงตะวันส่องผ่านมันก็สะท้อนสีม่วงอันงดงามออกมา
  กลิ่นหอมเล็ดรอดผ่านช่องเล็กๆของกล่องหยกเข้าสู่จมูกของเขาซือหยูครางในคอด้วยความสบายใจ ความยินดีปรากฏในดวงตา
  เขาอุทาน
  “พลังแข็งแกร่งมาก!แค่กลิ่นก็ให้ผลถึงเพียงนี้แล้ว! คิดไม่ออกเลยถ้ากินเข้าไปตรงๆจะเป็นยังไง!”
  ซือหยูข่มใจที่จะรับประทานโอสถเองไว้ก่อนเขาออกจากภูเขา ก่อนจะไป เขาทำความสะอาดร่องรอยของการปรุงยา เขาถึงกับขจัดกลิ่นที่ยังหลงเหลืออยู่ในอากาศเพื่อป้องกันไม่ให้ใครรู้
  หลังซือหยูออกจากเขาเพลิงม่วงเขาไม่ได้กลับไปร้านตงหลินแต่ตรงไปที่โรงประมูล เพราะถ้าเขาอยากให้ร้านตงหลินกลับมามีกำไร วารีผงกลั่นดวงใจก็คือไม้ตายของเขา!
  เมื่อถึงโรงประมูลเทียนหยาซือหยูทุบหินของชาเอ๋อ ไม่นานนางก็รีบปรี่มาหาเขา นางมองเขาด้วยความรู้สึกผิด
  “ท่านผู้เฒ่าข้าขออภัย แต่ผู้ประเมินใหญ่เพิ่งจะกลับมา ทุกคนในโรงประมูลต้องเข้าฟังบรรยายจากเขา ข้าจึงมาหาท่านช้า! โปรดให้อภัยข้าด้วย”
  ซือหยูไม่ได้ติดใจอะไรเขาตอบอย่างใจเย็น
  “ไม่เป็นไรพาข้าเข้าไปข้างในเถอะ ข้ามีสมบัติสองชิ้นที่อยากจะขาย”
  ชาเอ๋อตาลุกวาว
  “สมบัติของท่านคือสิ่งใดรึ?”
  “วารีวิญญาณ…”
  ซือหยูตอบ
  ชาเอ๋อขมวดคิ้ว
  “โอสถสินะ?นั่นคงจะเป็นปัญหา ของส่วนมากที่โรงประมูลเทียนหยาได้มาคือโอสถ มีไม่กี่ชิ้นเท่านั้นที่ผู้ประเมินต้องตา แต่ถ้าหากท่านมาถึงที่นี่แล้วก็ลองดูก่อน ขอให้ท่านสำเร็จนะ”
  ชาเอ๋อยิ้มและปลุกกำลังใจให้ซือหยูแม้จะคิดว่าไม่มีหวังแล้วเพราะเมืองเทียนหยามีโอสถอยู่มหาศาล นอกจากโอสถที่หายากมากและล้ำค่าจริงๆก็ยากที่จะถูกเลือกโดยผู้ประเมิน นั่นก็เพราะจำนวนสิ่งของที่จะนำมาประมูลนั้นมีจำกัด มีไม่กี่อย่างที่ผ่านคุณสมบัติ
  ซือหยูยิ้มแปลกๆ
  “สบายใจได้ของที่ข้าเอามาจะต้องทำให้ผู้ประเมินของเจ้าพอใจ”