ตอนที่ 88-1 คิดข่มขู่ตระกูลอวี้ ปัญญาอ่อนหรือเปล่า

จำนนรักชายาตัวร้าย

”ฮ่าๆ!”

 

 

ชาวบ้านที่อยู่ใกล้ๆ เมื่อได้ยินดังนั้นต่างก็หัวเราะเสียงดัง

 

 

“นี่! ใต้เท้าอวี้หลัวช่าไม่ชอบขี้หน้าเจ้า ยังไม่รีบไปอีก!”

 

 

ถึงตอนนี้ หลี่รุ่ยจึงได้เข้าใจความหมายคำพูดเมื่อครู่ของอวี้เฟยเยียน

 

 

ตามกฎข้อที่หนึ่ง…

 

 

กฎข้อที่หนึ่งนั่นก็คือ มองหน้าใครไม่ถูกชะตา ไม่รับรักษา

 

 

จะชั่วดีอย่างไร หลี่รุ่ยก็เป็นพระชายาเอกแห่งลั่วหยางอ๋องมาตั้งหลายปี แม้ข้างกายซย่าโหวอี้จะไม่เคยว่างเว้นสตรีเลยก็ตาม แต่ซย่าโหวอี้ก็ถือเป็นหนึ่งในท่านอ๋องที่หลงเหลืออยู่ไม่มาก หลี่รุ่ยจึงเป็นพระชายาเอกจำนวนน้อยเช่นเดียวกัน

 

 

ภายในจวนอ๋อง นังจิ้งจอกพวกนั้นตามตอแยเกาะติดท่านอ๋อง นางทำอะไรพวกมันไม่ได้

 

 

แต่เมื่อออกมานอกจวน นางก็คือพระชายาเอกของลั่วหยางอ๋อง ที่ผู้คนมากมายเอาแต่สอพลอประจบประแจงนางไม่หยุด ซึ่งหลี่รุ่ยเองก็ได้เพิ่มพูนความมั่นใจจากส่วนนี้มาไม่น้อย

 

 

มาตอนนี้ อวี้เฟยเยียนกลับไม่ไว้หน้านางแม้แต่น้อย ทำให้หลี่รุ่ยขุ่นเคืองใจขึ้นมา

 

 

“เพราะเหตุใดกัน”

 

 

หลี่รุ่ยก้าวขึ้นไปด้านหน้าหนึ่งก้าว แล้วจ้องมองอวี้เฟยเยียนเขม็ง

 

 

“เหตุใดถึงได้เห็นข้าแล้วไม่ถูกชะตากัน”

 

 

หลี่รุ่ยวางมาดพระชายา อวี้เฟยเยียนได้ยินดังนั้นจึงค่อยๆ เงยหน้าขึ้น

 

 

“ตามกฎข้อที่สาม”

 

 

ไม่รับรักษาพวกที่ไร้หัวใจไร้คุณธรรม!

 

 

หลี่รุ่ยได้ยินเช่นนั้นก็เซถลา จนเกือบจะเป็นลมล้มพับไปเลยทีเดียว

 

 

สิ่งที่นางเป็นกังวลในที่สุดก็เกิดขึ้นจนได้!

 

 

อวี้เชียนเสวี่ยต้องพูดอะไรกับอวี้หลัวช่าเป็นแน่ อวี้หลัวช่าถึงได้เข้าใจนางเช่นนี้ จะต้องเป็นเช่นนี้อย่างแน่นอน!

 

 

“เรื่องนี้จะต้องมีการเข้าใจผิดกัน! ข้าสามารถอธิบายได้นะ…”

 

 

หลี่รุ่ยไม่อยากที่จะทิ้งโอกาสที่แสนหายากในวันนี้ นางลำบากมากกว่าจะตามหาอวี้เฟยเยียนจนเจอ แล้วจะให้นางปล่อยโอกาสหลุดลอยไปอย่างง่ายดายได้อย่างไรกัน! ไร้ซึ่งทายาทสืบตระกูล ชีวิตของนางต่อไปในจวนลั่วหยางอ๋องต้องทุกข์ทรมานและยากลำบากเป็นแน่!

 

 

“เข้าใจผิด”

 

 

ถึงขนาดนี้แล้ว นางเองก็พูดไปอย่างชัดเจน หลี่รุ่ยยังกล่าววาจาเอาดีเข้าตนเองได้อีก อวี้เฟยเยียนอยากจะหัวเราะนัก

 

 

“ต่อให้ข้าเข้าใจผิดท่าน แล้วอย่างไรเล่า ข้าไม่รักษาให้ท่าน ท่านจะทำอะไรได้ อีกอย่างข้าก็ไม่ได้เข้าใจท่านผิดเสียหน่อย ในใจของท่านน่าจะรู้ดี! ตระกูลหลี่ของท่านกระทำการไร้ซึ่งน้ำใจ ท่านยิ่งละโมบในลาภยศสรรเสริญ คนทรยศหักหลังผิดคำพูด!”

 

 

“พระชายาลั่วหยางอ๋อง เชิญเสด็จกลับเสียเถอะ!”

 

 

“มิเช่นนั้นเรื่องราวเก่าก่อนของท่านจะถูกเปิดเผย ถึงตอนนั้นไม่เพียงแต่หน้าตาท่านจะไม่เหลือ แม้แต่หน้าตาลั่วหยางอ๋องก็จะป่นปี้ไปด้วย!”

 

 

วาจาอวี้เฟยเยียนสื่อความหมายชัดเจน ทำเอาหลี่รุ่ยตกใจจนเกือบจะเป็นลม

 

 

นางรู้อะไรมาอย่างนั้นหรือ

 

 

อวี้หลัวช่าหมายความว่าอะไรกันแน่

 

 

เหตุใดนางถึงต้องช่วยอวี้เชียนเสวี่ย เหตุใดถึงต้องช่วยตระกูลอวี้

 

 

“อวี้เชียนเสวี่ยจ่ายท่านไปเท่าไหร่ ข้าก็สามารถจ่ายให้ท่านได้เช่นเดียวกัน!”

 

 

หลี่รุ่ยยังมิยอมเลิกรา ยังคงต่อเอ่ยรองเงื่อนไข

 

 

โง่เขลาเสียจริงๆ!

 

 

โชคดีที่นางไม่ได้แต่งเข้าตระกูลอวี้!

 

 

มิเช่นนั้น สติปัญญาเพียงเท่านี้ของนาง จะต้องส่งผลต่อลูกหลานตระกูลอวี้ในรุ่นต่อไปเป็นแน่!

 

 

“เงินหรือ ข้ายังต้องการเงินอีกอย่างนั้นหรือ”

 

 

อวี้เฟยเยียนทำท่าทางราวกับว่าได้ฟังเรื่องขำขันระดับชาติเข้าให้

 

 

“มาเทียบเคียงความมั่งมีเงินทองกับข้า ท่านยังอ่อนต่อโลกมากนัก!”

 

 

อวี้เฟยเยียนกล่าวจบ ผู้คนก็เริ่มวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมา

 

 

“ยาเม็ดของใต้เท้าอวี้หลัวช่าเพียงเม็ดเดียว วางขายที่หอนภาหอมเดี๋ยวเดียวก็ขายได้ในราคาสองร้อยกว่าตำลึงเชียว! แล้วจะขาดแคลนเงินได้อย่างไรกัน!”

 

 

“หญิงผู้นี้เป็นพระชายาจริงหรือเปล่า ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนเลยสักนิด!”

 

 

“แอบอ้าง นางจะต้องแอบอ้างเป็นแน่! อ๋ององค์ไหนกันที่ตาบอด แต่งงานกับหญิงโง่เง่าไร้สติ! ทั้งยังอาจหาญต่อรองราคากับใต้เท้าอวี้หลัวช่าเช่นนี้ได้ สมองไม่ปกติเป็นแน่!”

 

 

“ท่านกลับไปเถอะ อย่าถ่วงเวลาคนอื่นอีกเลย!”

 

 

“ใช่ รีบไสหัวไปซะ!”

 

 

เสียงโห่ร้องขับไล่ดังขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายแรงจากคลื่นมหาชนก็ผลักดันหลี่รุ่ยออกไป

 

 

ถึงแม้ว่าซย่าโหวอี้จะไม่ได้ดีกับนางเท่าไรนัก แต่อย่างน้อยเขาก็ยังไว้หน้านางอยู่บ้าง ดังนั้นนางจึงไม่เคยต้องเสียหน้าเสียเกียรติอับอายถึงขนาดนี้มาก่อน

 

 

ในเวลานี้นางถูกผู้คนมากมายล้อมเอาไว้ ทุกคนพากันกระหน่ำด่าว่านาง ชนิดที่ว่าหลี่รุ่ยแทบจะจมกองน้ำลายตายเลยทีเดียว

 

 

สุดท้าย องครักษ์ก็เข้าปกป้องเต็มกำลังและอารักขาหลี่รุ่ยให้หนีรอดกลับจวนได้อย่างปลอดภัยในสภาพสะบักสะบอมและมอมไปทั้งตัว

 

 

เมื่อไม่มีบุคคลที่น่ารังเกียจเมื่อครู่แล้ว อวี้เฟยเยียนก็ชันกายลุกขึ้นพร้อมทั้งยิ้มและโบกมือให้กับชาวบ้าน ด้วยอาการสุขุมกล่าวว่า

 

 

“ขอบคุณทุกคนที่มาช่วยเหลือข้า นับเป็นเกียรติของข้ายิ่งนัก”

 

 

“ข้าเป็นหมอ แน่นอนว่าย่อมต้องซื่อสัตย์ในหน้าที่ของตนเอง และจะรักษาทุกคนอย่างเต็มกำลังความสามารถ”

 

 

“แต่ว่า ผู้ที่มารับการรักษามากมาย ข้าเพียงคนเดียว กำลังและความสามารถมีจำกัด จึงอาจมีส่วนที่บกพร่องไปบ้าง คงมิได้สมบูรณ์แบบทุกอย่าง ดังนั้นหวังว่าทุกคนจะอภัยให้ด้วย”

 

 

อวี้เฟยเยียนไม่มีมาดของจักรพรรดิโอสถแม้แต่น้อย ทั้งยังใกล้ชิดเป็นกันเอง สิ่งที่นางกล่าวออกมาเมื่อครู่ ทุกคนต่างก็น้อมรับ

 

 

“อวี้หลัวช่าสมถะเรียบง่ายโดยแท้!”

 

 

“จริงด้วย! ข้ารู้สึกว่าตัวเองเริ่มจะหลงรักนางเข้าให้แล้ว…”

 

 

“ใต้เท้าอวี้หลัวช่า พวกเราเข้าใจท่าน!”

 

 

“ขอบคุณทุกคนที่เข้าใจข้า!”

 

 

อวี้เฟยเยียนโค้งกายน้อยๆ

 

 

“เพื่อเป็นการรับรองว่าทุกคนที่ป่วยจะได้รับการรักษา ข้าได้เชื้อเชิญผู้เฒ่าใหญ่ท่านหมอเทวดาฮั่ว และหมอจากหอราชาโอสถอีกสิบท่าน มาที่นี่เพื่อช่วยทำการตรวจรักษาให้กับทุกคน”

 

 

“โดนลมเย็น ปวดศีรษะจับไข้ หกล้ม เคล็ดขัดยอก กระดูกได้รับความเสียหาย อาการเหล่านี้เป็นอาการเจ็บป่วยธรรมดา ข้าจะมอบให้เป็นหน้าที่ของท่านหมอยา ซึ่งความสามารถของพวกเขาไร้ข้อกังขาอยู่แล้ว แต่หากว่าเป็นโรคประหลาดซับซ้อน เกี่ยวข้องถึงชีวิตก็จะเป็นหน้าที่ของข้าและท่านหมอเทวดาฮั่ว”

 

 

“พวกเราช่วยเหลือเกื้อกูล เข้าใจซึ่งกันและกัน เช่นนี้จะทำให้เหล่าคนไข้ที่เป็นโรคประหลาดรักษาไม่หายได้มีความหวังที่จะรอดชีวิตได้มากอีกขึ้นอีกแรง! ดังนั้นหวังว่าทุกคนจะถ้อยทีถ้อยอาศัยให้มากๆ!”

 

 

น้ำเสียงของอวี้เฟยเยียนอ่อนโยนเป็นกันเอง สิ่งที่นางกล่าวมามีเหตุมีผลถูกต้องตามครรลองคลองธรรม จึงเป็นที่ซาบซึ้งแก่ผู้คนยิ่งนัก

 

 

ไม่นาน ทุกคนต่างก็สนับสนุนในสิ่งที่อวี้เฟยเยียนตัดสินใจ

 

 

หากว่าอาการเจ็บป่วยธรรมดายึดครองเวลาของจักรพรรดิโอสถเป็นส่วนมาก แล้วผู้คนที่ต้องการ การรักษาจากจักรพรรดิโอสถจริงๆ ก็จะต้องสูญเสียโอกาสที่จะมีชีวิตต่อ

 

 

 ดังเช่นที่อวี้เฟยเยียนกล่าวมา ชีวิตคนสำคัญเท่าฟ้า

 

 

ในวันแรกที่เปิดกิจการ ‘หอชุบชีวิต’ ของอวี้เฟยเยียน ก็มีผู้คนเข้ามาเต็มเอี๊ยด ทุกคนคนต่างยุ่งจนแทบไม่มีเวลา จวบจนกระทั่งถึงช่วงกลางคืนซึ่งเป็นเวลาปิดร้าน ทุกคนจึงได้พักผ่อนบ้าง

 

 

“แม่นางน้อยอวี้ ความคิดนี้ไม่เลวทีเดียว!”

 

 

“การปฏิบัติจริงต่างหากจึงจะถือเป็นครูที่ดีที่สุด!”

 

 

นี่เป็นคำพูดที่อวี้เฟยเยียนกล่าวในจดหมายที่เขียนส่งให้กับเจ้าสำนักหลิน

 

 

บรรดาหมอยาแห่งหอราชาโอสถก้มหน้าก้มตาร่ำเรียนศึกษาแต่ในตำราด้วยความยากลำบากเป็นเวลานาน แต่ทว่าโอกาสที่จะนำวิชาความรู้มาใช้ของพวกเขาน้อยนิดยิ่งนัก ทำให้สิ่งที่ร่ำเรียนมาไม่ได้ถูกนำมาใช้ กลายเป็นความรู้ปิดตาย

 

 

ตอนนี้อวี้เฟยเยียนเปิดโรงหมอ ทำให้ผู้คนมากมายหลั่งไหลมาเข้ารับการรักษา เพราะชื่อเสียงจักรพรรดิโอสถ

 

 

อวี้เฟยเยียนจึงเชื้อเชิญหอราชาโอสถมาร่วมกิจการโรงหมอด้วยกัน จริงๆ แล้วนับเป็นการเปิดโอกาสให้กับเหล่าหมอยาได้มีโอกาสฝึกฝนและเรียนรู้

 

 

แล้วเจ้าสำนักหลินจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าโอกาสเช่นนี้นั้นหาได้ยากยิ่ง!

 

 

ดังนั้นเจ้าสำนักหลินจึงเลือกเฟ้นศิษย์ของหอราชาโอสถที่มีพรสวรรค์และผลการเรียนยอดเยี่ยมส่งมาที่นี่ เพราะหวังเป็นอย่างยิ่งว่าพวกเขาจะได้ศึกษาและสั่งสมความรู้จากอวี้เฟยเยียนได้บ้าง

 

 

ซึ่งจุดนี้ หมอเทวดาฮั่วสนับสนุนเป็นอย่างมาก

 

 

หมอเทวดาฮั่วถึงกับแนะนำเจ้าสำนักหลินว่า หากว่ากิจการของอวี้เฟยเยียนดำเนินไปด้วยดีละก็ หอราชาโอสถควรจะจัดส่งศิษย์มาฝึกฝนที่นี่ให้มากขึ้น

 

 

ได้มีโอกาสมาเรียนรู้ใกล้ชิดและได้รับคำชี้แนะจากจักรพรรดิโอสถ นับเป็นวาสนาของพวกเขายิ่งแล้ว!

 

 

ตอนนี้บรรดาศิษย์ทั้งหลายต่างก็เหนื่อยจนแทบหืดขึ้นคอ ส่วนหมอเทวดาฮั่วก็เอาแต่ยิ้ม ‘ฮิฮิ’ ออกมา

 

 

“พวกเจ้านะ ตั้งใจทำต่อไปนะ!”

 

 

ในตอนนี้หมอเทวดาฮั่วและอวี้เฟยเยียนมิอาจล่วงรู้ได้เลยว่า ‘หอคืนชีพ’ ที่พวกเขาร่วมกันสร้างในวันนี้ ในวันหน้าจะมีชื่อเสียงไปไกลทั่วทุกสารทิศ