กระทั่งสาวใช้เดินจากไปไกลแล้ว เจินเมี่ยวกลับยังคงเหม่อลอยอยู่
หลัวเทียนเฉิงลอบถอนหายใจแล้วยื่นมือไปโอบนางไว้ “เจี๋ยวเจี่ยว?”
เจินเมี่ยวตื่นจากภวังค์แต่น้ำเสียงยังคงฟังดูสับสนอยู่มาก “น้องสะใภ้สามช่างมีเรื่องยินดีรวดเร็วอันใดเพียงนี้”
นางรู้สึกว่าการพูดเช่นนี้ออกจะไม่ถูกต้องอยู่บ้างจึงรีบเอ่ยอธิบายว่า “มิใช่ข้าไม่ดีใจ แต่…แต่แค่รู้สึกว่ามันเกิดขึ้นรวดเร็วยิ่งเท่านั้น…”
“ใช่รวดเร็วจริงๆ” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยคล้อยตามนางแต่ในใจกลับมิได้รู้สึกดีนัก
ทั้งสองแต่งงานกันมาสองปีแล้ว ย่อมถูกผู้คนภายนอกวิจารณ์ปัญหาการมีทายาทอย่างแน่นอน โดยเฉพาะเมื่อเถียนเสวี่ยที่เพิ่งแต่งเข้ามาได้เพียงครึ่งปีกว่าตั้งครรภ์เสียแล้ว เรื่องนี้ย่อมกลายเป็นหัวข้อสนทนาของผู้คนแน่ มิแปลกที่เจี๋ยวเจี่ยวผู้มิใช่คนคิดเล็กน้อยจะเกิดความรู้สึกอันยากจะเอื้อนเอ่ยเช่นนี้
“กลับเรือนชิงเฟิงกันเถิด น้องสะใภ้สามมีข่าวดีแล้ว เราก็ควรจะแสดงความยินดีสักหน่อย” เจินเมี่ยวคล้องแขนหลัวเทียนเฉิงแล้วเอ่ยด้วยอารมณ์ที่กลับคืนสู่ภาวะปกติอย่างรวดเร็ว
ไม่ว่าอย่างไรนางก็มิใช่คนที่เห็นผู้อื่นดีกว่าตนมิได้
หลัวเทียนเฉิงเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งแล้วหันหน้าไปมองนาง “เจี๋ยวเจี่ยว…”
เขาอยากจะบอกว่าไม่ต้องรีบร้อน เราสองคนยังหนุ่มยังสาว แต่ก็รู้สึกว่าการเอ่ยเน้นย้ำเช่นนี้จะทำให้กดดัน สุดท้ายจึงไม่ทราบจะเอ่ยอันใดดี
เจินเมี่ยวยิ้มให้เขาพลางเอ่ยว่า “ไปเถิด ท่านย่าใกล้จะได้อุ้มเหลนแล้ว เป็นเรื่องดียิ่ง หากท่านย่าเบิกบานใจ สุขภาพย่อมต้องดีไปด้วยแน่”
ครั้นกลับถึงเรือนชิงเฟิง เจินเมี่ยวก็กำชับไป๋เสาว่า “ไปเลือกรังนกที่ดีที่สุดมาสองห่อ”
เมื่อไป๋เสาเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เจินเมี่ยวจึงเอ่ยกับหลัวเทียนเฉิงว่า “วันนี้ท่านกินไปมาก ไม่ต้องฝึกหมัดมวยดอก ไปพักผ่อนอ่านตำราที่ห้องตำราเถิด”
หลัวเทียนเฉิงยิ้ม “เช่นนั้นข้าจะไปรอเจ้าที่ห้องตำราแล้วกัน”
เจินเมี่ยวเห็นเขายิ้มเจ้าเล่ห์จึงกลอกตาให้คราหนึ่งแล้วหมุนกายจากไป
เรือนของคุณชายสามและเถียนเสวี่ยตั้งอยู่ใกล้กับเรือนซินหยวนนั่นเอง ภายในบริเวณเรือนมีสระที่ไม่ใหญ่นักอยู่และในสระก็ปลูกดอกบัวไว้เต็มไปหมดจึงมีชื่อว่าเรือนฮั่นต้าน (เรือนบงกช) เป็นสถานที่ที่งดงามและบรรยากาศสดชื่นยิ่ง
ช่วงเวลาที่กำลังย่างเข้าเดือนสี่นี้ ในสระนั้นเต็มไปด้วยใบบัวสีเขียวอ่อนแต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของดอกบัว สิ่งที่เห็นคือดอกตูมเล็กๆ มากมายหลบซ่อนอยู่ใต้ใบบัวคล้ายมีคล้ายไม่มีทำให้เกิดความรู้สึกเบิกบานใจชนิดหนึ่งขึ้น
เจินเมี่ยวพาไป๋เสาไปที่นั่นจึงเห็นเถียนเสวี่ยกำลังยืนพูดคุยกับนางเถียนอยู่ริมสระพอดี
“เสวี่ยเอ๋อร์ เจ้าเพิ่งตั้งครรภ์อ่อนๆ เหตุใดจึงมาเดินแถวริมสระเล่า” เสียงนางเถียนออกจะแหลมสูงแฝงไปด้วยการตำหนิอย่างชัดเจน
เถียนเสวี่ยก้มหน้าลงเล็กน้อย “อยู่แต่ในห้องรู้สึกคลื่นไส้อยากจะอาเจียนเจ้าค่ะ”
“ข้าถึงบอกว่าเจ้าอายุยังน้อยจึงไม่รู้ความอย่างไรเล่า สามเดือนแรกเป็นช่วงที่ต้องระวังที่สุด จะให้ดีต้องนอนอยู่แค่บนเตียงอย่าออกจากห้อง ริมสระนี้ลื่นยิ่ง หากเกิดอุบัติเหตุขึ้นจะทำฉันใด”
“สะใภ้ทราบแล้วเจ้าค่ะ”
นางเถียนได้ยินเสียงฝีเท้าดังลอยมาจึงใช้หางตาชำเลืองมองคราหนึ่ง ครั้นเห็นว่าเป็นเจินเมี่ยวก็อดหยักยกมุมปากขึ้นมิได้ น้ำเสียงนางพลันเปลี่ยนไปทันที “แต่เจ้าก็เป็นสะใภ้ที่เก่งไม่น้อย เพิ่งแต่งเข้ามาได้เพียงครึ่งปีกลับตั้งครรภ์แล้ว ทำให้ข้าวางใจยิ่ง”
“ท่านแม่…” เถียนเสวี่ยรู้สึกอึดอัดขึ้นมาเล็กน้อย
นางเถียนกลับหัวเราะพรืดออกมา “เด็กโง่ มีอันใดน่าเขินอายเล่า นี่คือการสืบทอดตระกูล เป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เจ้ามีบุตรเร็วเช่นนี้นับเป็นวาสนาของบ้านรอง หากมีแต่ที่นาว่างเปล่า หว่านไถ่อย่างไรก็มิเกิดพืชผล ถึงตอนนั้นคงร้อนใจตายแน่”
เจินเมี่ยวชะงักฝีเท้าทันใด
เถียนเสวี่ยมองเห็นเจินเมี่ยวแล้วนางจึงรีบวิ่งไปข้างหน้าพลางร้องเรียก “พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านมาแล้วหรือเจ้าคะ”
เจินเมี่ยวจึงเดินเข้ามาหา นางคารวะนางเถียนก่อนแล้วค่อยเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ได้ยินข่าวดีของเจ้าจึงเอารังนกสองห่อมาให้ หวังว่าน้องสะใภ้สามจะไม่รังเกียจ”
รังนกชั้นดีนี้ แม้ในยามที่ตระกูลเถียนยังรุ่งเรือง เถียนเสวี่ยที่เป็นคุณหนูในตระกูลก็มิใช่จะหาซื้อกินได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงยามนี้เลย นางจึงรีบเอ่ยว่า “พี่สะใภ้เกรงใจเกินไปแล้ว ของล้ำค่าเช่นนี้…”
เจินเมี่ยวจึงตัดบทนางทันที “ต่อให้ล้ำค่าเพียงใดก็มิล้ำค่าเท่าบุตรในครรภ์เจ้าดอก อาสะใภ้รอง น้องสะใภ้สามเชิญพูดคุยกันตามสบายเถิด ข้ายังมีเรื่องที่ต้องทำ ขอตัวกลับก่อนแล้ว”
กระทั่งเจินเมี่ยวไปไกลแล้ว นางเถียนจึงถลึงตาให้เถียนเสวี่ยคราหนึ่ง “แค่รังนกสองห่อก็ล้ำค่าแล้วหรือ ความคิดช่างคับแคบเสียจริง!”
เถียนเสวี่ยถูกกล่าวว่าเช่นนี้ก็รู้สึกเสียใจอยู่บ้างจึงเม้มริมฝีปากก่อนเอ่ยว่า “เสวี่ยเอ๋อร์แค่รู้สึกว่าน้ำใจของพี่สะใภ้ใหญ่นั้นล้ำค่ามากกว่าสิ่งของยิ่งนักเจ้าค่ะ”
นางเถียนแค่นหัวเราะ “น้ำใจอันใด? ข้าจะบอกเจ้าให้ รังนกสองห่อนี้มิอาจไปแตะต้องเด็ดขาด ผู้ใดจะรู้ว่านางมีเจตนาอื่นแอบแฝงหรือไม่ หากข้างในมีอันใดสอดแทรกอยู่ คนที่สูญเสียก็คือเจ้า หากอยากกิน กลับไปข้าจะเอารังนกส่งมาให้เจ้าเอง แต่ยามนี้เจ้าตั้งครรภ์ ตามหลักแล้วย่อมต้องมีรังนกส่งมาให้ทุกวันอยู่แล้ว”
เถียนเสวี่ยฟังแล้วรู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อยแต่กลับมิอาจโต้เถียงได้ จึงเพียงเม้มริมฝีปากไม่พูดจา
นางเถียนเห็นท่าทางนางเช่นนี้ก็โกรธจนต้องถลึงตาให้ เถียนเสวี่ยรีบกุมท้องตนไว้แล้วเอ่ยว่า “ไม่ทราบด้วยเหตุใดจึงรู้สึกปวดท้องขึ้นมาเล็กน้อย…”
ได้ยินนางเอ่ยเช่นนี้ นางเถียนจึงลนลานสั่งให้นางรีบกลับไปพักผ่อนที่ห้องโดยมิทันคิดสิ่งใด
เมื่อผ่านไปนางเถียนจึงฉุกคิดขึ้นมาได้ ในใจก็กล่าวว่าเด็กน่าตายนั่นคงมิได้ตั้งใจกระมัง แต่เรื่องนี้กลับมิอาจพิสูจน์อันใดได้ จึงทำได้เพียงกลืนโทสะลงท้องไป แต่ก็คิดในใจว่ารอให้เถียนเสวี่ยคลอดก่อน นางต้องสร้างกฎเกณฑ์ให้สะใภ้เสียหน่อยแล้ว
เจินเมี่ยวกลับถึงเรือนชิงเฟิงก็ก้าวเท้าไปที่ห้องตำราทันที
หลัวเทียนเฉิงกำลังยืนเปิดตำราอ่านไปเรื่อยอย่างสบายใจอยู่ข้างฉากบังลม ครั้นเห็นเจินเมี่ยวมาถึงก็เงยหน้าขึ้นชำเลืองมองนางพลางถามว่า “เหตุใดจึงกลับมาเร็วเพียงนี้เล่า”
เจินเมี่ยวเดินมานั่งลงข้างเขา นางบิดผ้าเช็ดหน้าไปมาพลางเอ่ยว่า “ถูกคนกล่าวว่าเป็นพื้นที่ว่างเปล่าปลูกพืชผลใดไม่ขึ้นจึงรีบกลับมาแทบไม่ทัน”
“ผู้ใดพูดกัน” หลัวเทียนเฉิงหน้าขรึมขึ้นมา
“ยังมีผู้ใดได้อีกเล่า อาสะใภ้รองนั่นแล”
หลัวเทียนเฉิงหน้าเปลี่ยนสีทันที ผ่านไปนานจึงยิ้มออกมา “อย่าไปหงุดหงิดเลย เจ้าแค่จำไว้ว่า การไม่มีพืชผลแค่ชั่วระยะเวลาหนึ่งย่อมดีกว่าให้พืชผลไปเกิดผิดที่ผิดทาง มิเช่นนั้นยามเก็บพืชผลคงมีปัญหาเรื่องผู้ใดเป็นเจ้าของกันแน่แล้ว”
เจินเมี่ยวอึ้งงันไป ต่อมาก็เข้าใจในความหมายนั้น นางจึงยื่นมือไปหยิกเขาคราหนึ่ง “ซื่อจื่อ วาจานี้ของท่านช่าง…”
นางอยากจะบอกว่าร้ายกาจแต่เมื่อมาครุ่นคิดดูแล้วก็อดยิ้มออกมามิได้
วาจานี้ช่างถูกต้องแม่นยำที่สุด นางกลับเริ่มคิดอย่างชั่วร้ายว่าหากอารองและอาสะใภ้รองรู้ว่าพืชผลนี้เกิดผิดที่ผิดทางจะมีสีหน้าเช่นไรกัน
ครั้นเห็นท่าทางยิ้มแย้มของนาง หลัวเทียนเฉิงจึงยิ้มออกมาเช่นกัน “คิดเช่นนี้มิใช่ทำให้รู้สึกดีขึ้นมากหรอกหรือ”
เจินเมี่ยวชำเลืองมองเขาด้วยใจที่อยากจะโต้แย้งแต่ไร้หนทางจะพูดสิ่งที่ไม่ตรงกับใจตนจึงได้แต่พยักหน้ารับเท่านั้น
หลัวเทียนเฉิงหัวเราะเสียงดัง เขาคว้าเอวนางไว้แล้วอุ้มขึ้น มือก็ปัดสิ่งของที่วางอยู่บนโต๊ะร่วงตกกระจาย แล้ววางนางลงบนนั้นพร้อมกับขยับกายเข้าไปหา
“ซื่อจื่อ อย่าได้ทำตนเหลวไหล รีบวางข้าลงเดี๋ยวนี้!” เจินเมี่ยวพยายามขัดขืนพลางพูดอย่างลนลานร้อนใจว่า “มีอย่างที่ไหนมาทำเรื่องเหลวไหลในห้องตำรา!”
“ไม่เป็นไรดอก ข้ามิได้จะไปร่วมแข่งขันการสอบบัณฑิตเสียหน่อย” หลัวเทียนเฉิงใช้นิ้วมือวางทาบบนริมฝีปากนางแล้วเอ่ยเสียงแผ่วว่า “ชู่ เลิกพูดได้แล้ว ข้าต้องหว่านพืชเพาะปลูกเพื่อให้เกิดพืชผลโดยเร็ว”
ครั้นจ้องแววตาเจิดจ้าดุจดาราในยามเหมันต์อันแฝงไปด้วยความอบอุ่นนั้น เจินเมี่ยวก็หยุดขัดขืนไปทันใดแล้วยกมือสองข้างขึ้นโอบรอบคอเขา
ภายในห้องเต็มไปด้วยความอบอุ่นละมุนละไม แสงแห่งวสันต์เปล่งประกายออกมาไม่หยุด เพียงแต่มิอาจบอกเล่าอย่างละเอียดได้
วันต่อมาจวนแม่ทัพโอวหยางก็ได้จัดงานชมบุปผาขึ้นพอดี เหล่าไท่จวินสกุลตู้จึงเอ่ยถามฮูหยินผู้เฒ่าจวนกั๋วกงว่า “เหตุใดจึงมิเห็นหลานสะใภ้เล็กของท่านเล่า ข้าได้ยินว่านางมีวาสนานัก แค่แต่งเข้าจวนมาท่านก็หายป่วยทันที”
ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้ม “นางเป็นเด็กดีจริงๆ นั่นแล”
แม้ฮูหยินผู้เฒ่าจะไม่เชื่อเรื่องการแต่งงานนำความเป็นสิริมงคลเข้าเรือนทำให้คนในเรือนหายป่วย แต่หลังจากเถียนเสวี่ยแต่งเข้ามา สุขภาพของนางก็ดีขึ้นจริงๆ ทั้งเถียนเสวี่ยยังคอยดูแลปรนนิบัตินางทั้งวัน ใจคนเราเป็นเพียงก้อนเนื้อไหนเลยจะมิชมชอบได้
นางเถียนลอบมองเจินเมี่ยวคราหนึ่ง ความภาคภูมิใจซ่อนอยู่ในมุมปาก นางจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ยามนี้เด็กสาวผู้นั้นมิอาจออกนอกจวนเสียแล้ว หวังว่าเหล่าไท่จวินจะไม่ตำหนิ”
เมื่อได้ฟังนางเอ่ยเช่นนี้ เหล่าไท่จวินก็เข้าใจในทันทีจึงยิ้มพลางเอ่ยว่า “รวดเร็วปานนั้น?”
ครั้นเห็นฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้ารับเช่นกัน นางจึงยิ้มหน้าบานมากขึ้นไปอีก “ช่างบังเอิญยิ่ง นางเจียงหลานสะใภ้ข้าก็เพิ่งตั้งครรภ์เช่นกัน ไม่แน่ว่าเด็กสองคนนั้นอาจเกิดวันเดียวกันก็เป็นได้”
“มิน่าเล่าจึงไม่เห็นนางเลย” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยพลางยิ้ม
นางเถียนจึงจ้องมองเจินเมี่ยวคราหนึ่ง
นางเจียงกับเจินเมี่ยวเป็นสหายกัน คนทั้งสองออกเรือนในเวลาไล่เลี่ยกัน ยามนี้แม้แต่นางเจียงยังตั้งครรภ์แล้ว นางไม่เชื่อว่านางเจินจะนั่งอยู่ติดที่ได้
ทว่าเหตุการณ์กลับผิดจากที่นางเถียนคาดไว้ เจินเมี่ยวเพียงฟังด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม โดยไม่มีสิ่งใดผิดปกติเลย แต่กลับเป็นนางเวินที่มาถึงงานเลี้ยงฉลองก่อนต่างหากที่นั่งไม่ติดที่ ครั้นมีโอกาสจึงพาเจินเมี่ยวออกมาพูดจากันสองคน “เมี่ยวเอ๋อร์ เจ้ายังไม่มีวี่แววใดเลยหรือ”
เจินเมี่ยวส่ายหน้า
นางเวินจึงถอนหายใจออกมา “ทั้งที่เจ้าดูแลสุขภาพอย่างดี เหตุใดจึงยังไม่มีเล่า”
เจินเมี่ยวกลับเป็นผู้เอ่ยปลอบนางแทนว่า “ท่านแม่ เรื่องของบุตรนั้นต้องอาศัยวาสนา รีบร้อนไปก็ไม่มีประโยชน์”
“เด็กโง่ แม่รู้ เจ้าคงทุกข์ใจไม่น้อยถึงได้ผอมซูบลงไปเช่นนี้”
“ท่านแม่ ข้าซูบผอมตรงใดหรือ” เจินเมี่ยวรู้สึกสงสัยยิ่ง ชุดที่นางใส่เมื่อปีก่อน ยามนี้เริ่มรัดแน่นอยู่เล็กน้อยแล้ว
นางเวินหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมากดซับที่หางตา แล้วเอ่ยอย่างเจ็บปวดว่า “จะมิผอมได้อย่างไร แม่รู้ว่าเจ้ากลัวแม่เป็นห่วง แต่เจ้าอย่าได้ฝืนเข้มแข็งอีกเลย มีอันใดไม่สบายใจก็พูดกับแม่มาเถิด”
เจินเมี่ยวบิดเบ้มุมปากตน
นางไม่ได้ขมขื่นทุกข์เข็ญ ทั้งมิได้ผ่ายผอม คงต้องขออภัยทุกคนด้วยจริงๆ!
นางเวินกลัวเจินเมี่ยวจะเสียใจเกินไปจึงรีบพูดเรื่องอื่นขึ้นมาแทน “เรื่องคู่หมายของน้องห้าเจ้านั้นได้ถูกกำหนดเรียบร้อยแล้ว”
เจินเมี่ยวตาลุกวาวขึ้นมาทันที “เป็นคนตระกูลใดหรือ”
“คุณชายตระกูลเจียงแห่งชิงหยาง”
“ตระกูลเจียงแห่งชิงหยาง”
นางรู้ว่าบุตรสาวคงมิใคร่เข้าใจเรื่องนี้นักจึงอธิบายเพิ่มเติมว่า “นายท่านผู้เฒ่าตระกูลเจียงนั้นเคยเป็นอาจารย์ของจักรพรรดิ แม้ยามนี้เกษียณแล้ว แต่ชื่อเสียงยังคงอยู่ ท่านย่าเจ้ายังบอกว่านี่เป็นคู่หมายที่เหมาะสมที่สุดทีเดียว ลุงรองเจ้าเป็นผู้เลือกเอง ตระกูลเจียงเป็นตระกูลบัณฑิตมานับร้อยปี ชิงหยางก็ห่างจากเมืองหลวงไม่ไกล ทั้งมิต้องสนใจธรรมเนียมเคร่งครัดบางอย่างในเมืองหลวงอีกด้วย ช่างดีเหลือเกินแล้ว”
เจินเมี่ยวพยักหน้าติดๆ กัน “ฟังดูแล้วไม่เลวเลย”
นางเวินกดเสียงให้ต่ำลงอีกแล้วเอ่ยว่า “ความจริงหากมิใช่เพราะป้าสะใภ้รองเจ้าคอยวุ่นแต่จะหาคู่หมายให้ปิงเอ๋อร์อยู่ทั้งวัน ลุงรองเจ้าคงมิกำหนดคู่หมายให้ปิงเอ๋อร์เร็วเพียงนี้ เพราะแม้ว่าเขาจะเคยพบคุณชายท่านนั้นมาแล้วแต่อย่างไรก็ดูรวดเร็วไปสักหน่อยอยู่”
คุณชายคุณหนูที่มีอายุเหมาะสมจะมีคู่หมายของแต่ละตระกูลในเมืองหลวงนั้นมีมากน้อยเพียงใด ทุกคนย่อมรู้ดีแก่ใจเพราะมักมีงานเลี้ยงต่างๆ ให้ได้พบปะกันบ่อยครั้ง
เจินเมี่ยวเข้าใจความจนใจของลุงรองยิ่ง นางจึงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “สายตาของลุงรองนั้นไม่เลวเลย”
ครั้นกลับถึงจวน เจินเมี่ยวก็ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้ให้หลัวเทียนเฉิงฟังในช่วงยามค่ำคืนอันเป็นเวลาของสามีภรรยา “คู่หมายของน้องห้าได้ถูกกำหนดไว้เรียบร้อยแล้ว ครานี้ก็วางใจเสียที ท่านไม่รู้ดอก ตอนที่ข้าทราบว่าป้าสะใภ้รองคิดจะยกน้องห้าให้น้องรองของท่าน ข้าหวั่นผวาเพียงใด”
หลัวเทียนเฉิงยิ้ม “เจ้าไยต้องกังวล มีข้าอยู่ทั้งคนจะยอมให้น้องรองแต่งน้องห้าเจ้าเข้าจวนได้อย่างไร”
“ตระกูลเจียงแห่งชิงหยาง…” เขาพลันหุบรอยยิ้มทันทีแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าจริงจังว่า “หมั้นหมายกับคุณชายคนใดในตระกูลเจียงหรือ”