เจินเมี่ยวย้อนระลึกความทรงจำอีกคราแล้วเอ่ยว่า “เป็นหลานชายคนเล็กของบ้านใหญ่ตระกูลเจียง หากเรียงลำดับแล้วก็เป็นคนที่สิบห้า”
สีหน้าหลัวเทียนเฉิงนั้นออกจะคาดเดาไม่ได้อยู่บ้าง
เจินเมี่ยวจึงหวั่นใจขึ้นมา นางเลิกคิ้วพลางถามเขาว่า “มีอันใด ซื่อจื่อรู้จักคนในตระกูลเจียงงั้นหรือ”
นางรู้เรื่องที่หลัวเทียนเฉิงฟื้นคืนกลับมาจากภพก่อนดีจึงอดคิดมากมิได้
หลัวเทียนเฉิงขมวดคิ้วก่อนแล้วจึงยิ้มออกมาในภายหลัง รอยยิ้มนั้นดูแปลกประหลาดพิกล “เหตุใดจึงเลือกคุณชายสิบห้าตระกูลเจียงเล่า”
คุณชายสิบห้าตระกูลเจียงผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง เขาย่อมรู้จักแน่นอน!
เจินเมี่ยวกังวลใจขึ้นมาจึงยื่นมือไปหยิกเขา “ที่แท้มีเรื่องใดกันแน่ ท่านเลิกยิ้มได้แล้ว”
นางขมวดคิ้วครุ่นคิดแล้วถามว่า “หรือ…คุณชายเจียงเป็นคนไม่ดี”
“คนไม่ดี?” หลัวเทียนเฉิงค่อยๆ ครุ่นคิดอย่างละเอียดแล้วส่ายหน้า “ไม่ คุณชายสิบห้ากตัญญูบิดามารดา เคารพผู้อาวุโส รักใคร่ญาติพี่น้องและสหาย เรื่องพวกนี้ไม่มีผู้ใดพูดได้ว่าเขา ‘ไม่ดี’ ได้”
“หรือเขามีอุปนิสัยแปลกประหลาดอันใด”
หลัวเทียนเฉิงหัวเราะออกมา “มีอุปนิสัยแปลกประหลาดหรือไม่ข้าไม่แน่ใจนัก แต่สหายร่วมงาน สหายสนิทของเขานั้นมากมายยิ่ง”
“เช่นนั้นก็เป็นคนมิได้มีความสามารถโดดเด่นมากนักกระมัง” เจินเมี่ยวอยากจะพูดว่าเป็นคนไม่มีความสามารถใด แต่เมื่อคิดว่าเขาเป็นคนที่ขึ้นชื่อเรื่องความกตัญญู ย่อมมิใช่คนไร้ความสามารถอย่างแน่นอน
นี่มิใช่อคติของนาง แต่หากคิดให้ดีคนที่ไร้ความสามารถย่อมต้องถูกบิดามารดาตำหนิมิใช่หรือ เมื่อถูกตำหนิมากเข้า แล้วผู้คนจะขนานนามว่าเป็นบุตรยอดกตัญญูได้อย่างไรเล่า
หลัวเทียนเฉิงหรี่ตาลง ย้อนระลึกไปถึงรัชศกจิ้งเต๋อปีที่สิบเจ็ด คุณชายสิบห้าตระกูลเจียงสวมชุดสีแดงสดใสขี่ม้าแห่ไปตามถนนในครั้งที่สอบได้อันดับหนึ่งของการสอบชุนเหวย
เขาจึงเอ่ยว่า “คุณชายสิบห้าเป็นบุคคลมีความสามารถกระทั่งสอบได้อันดับหนึ่งในการสอบชุนเหวย หากบอกว่าเขาไม่มีความสามารถโดดเด่นต่างหากจึงเป็นที่เรื่องน่าขันยิ่ง”
“หรือเขามีรูปโฉมอัปลักษณ์…”
หลัวเทียนเฉิงอดเอ่ยออกมามิได้ว่า “มิได้หล่อเหลาน้อยไปกว่าสหายดีดพิณผู้นั้นของอานจวิ้นอ๋องเลย”
คุณชายสูงศักดิ์ที่มีชื่อเสียงอย่างมากในตอนนี้คือเฮ่อหลังแห่งเยี่ยนเจียงผู้เปรียบดั่งจันทร์กระจ่างท่ามกลางสายลมพัดเอื่อย จวินเฮ่าแห่งฉงหนานผู้เป็นดั่งหิมะขาวใต้แสงอาทิตย์ยามวสันต์ ส่วนเจียงเหยียนแห่งชิงหยางนั้นก็เปรียบประดุจดอกจือหลันบานสะพรั่งเต็มกิ่งก้านเขียวขจี
“ข้ารู้แล้ว” เจินเมี่ยวถอนหายใจยาวออกมา
หลัวเทียนเฉิงตกใจขึ้นมาโดยพลัน “รู้อันใด”
เจินเมี่ยวชำเลืองมองเขาคราหนึ่งแล้วเอ่ยด้วยเจตนาประชดประชันว่า “รู้ว่าเหตุใดท่านถึงดูไม่เห็นด้วยกับการหมั้นหมายครานี้อย่างไรเล่า ต้องเป็นเพราะคุณชายเจียงหล่อเหลามากความสามารถยิ่ง ท่านจึงกลัวว่าหากภายหน้าเรากลับไปเยี่ยมจวนปั๋ว ท่านคงถูกเปรียบเทียบกับน้องเขยข้ากระมัง”
นางคาดเดาจนโมโหเสียแล้ว ครานี้จึงตั้งใจยั่วโทสะเขาสักหน่อย
บางคราการเอ่ยยั่วโทสะกลับได้ผลกว่าการพูดตรงๆ เสียอีก โดยเฉพาะเมื่อผู้เอ่ยยั่วเป็นสตรีที่เขารัก
หลัวเทียนเฉิงแค่นเสียงเย็นขึ้นมาทันที แล้วเอ่ยอย่างไม่ไยดีว่า “ข้าหรือสู้เขามิได้ เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าวางใจเถิด แค่ปัญหานั้นของเขาก็นับว่าได้ล่วงเกินพ่อตาแม่ยายไปทั่วหล้าแล้ว”
เจินเมี่ยวเพียงใช้หางตามองเขาแต่มิเอ่ยสอดแทรกอันใด
“ขยับเข้ามาเร็ว” หลัวเทียนเฉิงดึงนางเข้ามาใกล้แล้วเอ่ยเสียงต่ำแผ่วข้างหูนางว่า “คุณชายสิบห้า…ชมชอบเพียงบุรุษรูปงาม…เท่านั้น”
รัชศกจิ้งเต๋อปีที่สิบเจ็ด เขายังคงอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ให้ท่านย่าแต่เพราะมีเรื่องการตั้งครรภ์ของสาวใช้ทงฝังของเขาแพร่ออกไปทำให้ชื่อเสียงมัวหมองไม่เหลือชิ้นดี ทว่าเจียงเหยียนกลับสอบได้อันดับหนึ่งในการสอบชุนเหวยทำให้เขากลายเป็นคู่ครองที่คนมากมายต้องการตัว และที่ทำให้เขาจำได้อย่างแม่นยำยิ่งคือหลังจากผ่านไปอีกหนึ่งปี เขาได้ถูกส่งไปเป็นนักโทษเสริมทัพที่ชายแดน ส่วนเจียงเหยียนกลับถูกเปิดโปงเรื่องที่ชมชอบบุรุษ ทั้งบุรุษที่เขาเกี่ยวพันด้วยยังเป็นบุคคลที่มิอาจเอ่ยถึงได้ ทำให้อับอายจนต้องฆ่าตัวตาย
บุรุษผู้นั้นคือ…ซิ่วอ๋อง
เมื่อหลัวเทียนเฉิงตื่นจากภวังค์แห่งความทรงจำอันหม่นหมองนั้นก็เห็นเจินเมี่ยวกำลังจ้องมองเขาอย่างอึ้งงัน
หลัวเทียนเฉิงอดเสียใจขึ้นมามิได้ที่เล่าเรื่องโสมมเช่นนี้ให้นางฟัง เขายื่นมือจัดผมอันนิ่มลื่นที่หลุดลุ่ยของนางพลางเอ่ยว่า “เจ้าไม่ต้องร้อนใจไป ดีที่ยังมิได้ตบแต่งกัน”
เจินเมี่ยวส่ายหน้าคราหนึ่ง “มิน่าเล่าสตรีที่คิดจะแต่งกับบุรุษดีๆ สักคนบนโลกนี้ถึงได้ยากเย็นเพียงนั้น เพราะบุรุษที่โดดเด่นมากความสามารถต่างไปชมชอบบุรุษด้วยกันหมดแล้วนี่เอง”
นางถอนหายใจยาวให้กับความโชคร้ายของเจินปิง
หากจัดพิธีมงคลขึ้น ไม่ว่าจะเลิกรากันด้วยเหตุผลใดฝ่ายหญิงย่อมเป็นผู้เสียหายอย่างที่สุดเสมอ
“ซื่อจื่อ พรุ่งนี้ข้าไปที่จวนปั๋วสักคราดีหรือไม่”
หลัวเทียนเฉิงมิได้ตอบอันใด เขากำลังหมกมุ่นครุ่นคิดเรื่องหนึ่งอยู่
แท้จริงแล้วเขาโดดเด่น เก่งกาจหรือไม่เล่า
เรื่องนี้ช่างยากจริงๆ!
“ซื่อจื่อ”
หลัวเทียนเฉิงจึงตื่นจากภวังค์แล้วเอ่ยว่า “เรื่องนี้อย่าได้ชักช้า เจ้าไปจวนปั๋วพรุ่งนี้เถิด ท่านลุงรองเป็นคนฉลาดย่อมรู้ว่าต้องทำเช่นไร เรื่องนี้มิควรให้คนรู้มากเกินไป เจ้าแค่บอกว่าข้าบังเอิญทราบตอนไปทำภารกิจบางอย่างก็พอ”
หน่วยองครักษ์จิ่นหลินกุมความลับมากมายที่ผู้คนไม่รู้ ผู้ใดต่างก็ทราบเรื่องนี้ดี
วันต่อมาขณะไปน้อมทักทายเจินเมี่ยวจึงเรียนฮูหยินผู้เฒ่าว่าตนมีธุระต้องกลับจวนปั๋ว ฮูหยินผู้เฒ่าก็อนุญาตให้นางไป
นางเถียนที่ยังคงอยู่พูดคุยเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่า นางจึงเอ่ยขึ้นว่า “หลานสะใภ้ใหญ่ระลึกถึงตระกูลมารดาตนนั้นเป็นเรื่องดี แต่นางแต่งเข้าจวนมาได้สองปีแล้วกลับยังไม่ตั้งครรภ์เลย ตามความเห็นสะใภ้ นางก็ควรจะสงบเสงี่ยมเจียมตัวเสียบ้าง”
แต่ด้วยกลัวว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะคิดว่านางกำลังจับผิดจึงรีบเอ่ยต่อว่า “อย่างไรต้าหลังก็เป็นทายาทสืบทอดวงศ์ตระกูล เขาอายุยี่สิบกว่าปีแล้ว ทว่ากลับไม่มีบุตรสาวบุตรชายสักคน ข้าผู้เป็นอาสะใภ้เห็นแล้วเจ็บปวดใจยิ่งนัก”
วาจานี้ได้มุดทะลุเข้าไปในจิตใจของฮูหยินผู้เฒ่าทันที
ตอนที่นางป่วยหนัก เดิมคิดจะอัญเชิญราชโองการเพื่อประกาศมอบตำแหน่งผู้สืบทอดให้หลัวเทียนเฉิงก่อนกำหนด แต่หลัวเทียนเฉิงและเจินเมี่ยวยืนยันหนักแน่นว่าไม่ยอมรับ ภายหลังหายป่วยแล้วจึงมิได้เอ่ยถึงอีก แต่บ้านใหญ่มีเขาเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวทั้งตอนนี้ยังไม่มีบุตรทำให้คนอดรู้สึกเป็นห่วงไม่ได้จริงๆ
นางเถียนเห็นฮูหยินผู้เฒ่ามีสีหน้าเปลี่ยนไปจึงเอ่ยหยั่งเชิงอีกว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า เรือนชิงเฟิงนั้นเงียบเหงาอยู่สักหน่อยจริงๆ ตระกูลใหญ่เช่นพวกเราแม้มิได้แต่งอนุเข้าเรือนโดยง่าย แต่บรรดาบุรุษก็มีสาวใช้ทงฝังสักคนสองคนไว้ในเรือนคอยปรนนิบัติ ไหนเลยจะเหมือนต้าหลัง”
ครั้นเห็นฮูหยินผู้เฒ่าคล้ายครุ่นคิดตาม นางเถียนจึงค่อยๆ หยักยกมุมปากตนขึ้นแล้วเอ่ยว่า “เถียนเสวี่ยตั้งครรภ์แล้ว สะใภ้เองก็กำลังเลือกสาวใช้ที่รู้ความหน่อยสักสองคนไว้ให้เจ้าสาม หากฮูหยินผู้เฒ่าไว้ใจ สะใภ้จะช่วยเลือกให้ต้าหลังไปพร้อมกันเลย ต้าหลังดีกับหลานสะใภ้ใหญ่ยิ่ง ทั้งไม่มีแม่สามีคอยดูแล เขาอาจจะหน้าบางจนมิกล้าเอ่ยปากพูดก็เป็นได้”
ฮูหยินผู้เฒ่ากลับส่ายหน้า “เพราะภรรยาตั้งครรภ์จึงเลือกสาวใช้ทงฝังไว้เพื่อคอยปรนนิบัติเหล่าบุรุษ ยามนี้หลานสะใภ้ใหญ่ยังมิตั้งครรภ์แล้วจะเลือกมาทำอันใด คงมิใช่เพราะต้องการบุตรคนโตที่เกิดจากอนุกระมัง เช่นนั้นข้ายินดีรออีกสักสองปีค่อยอุ้มเหลนแล้วกัน”
นางเหลือบมองนางเถียนอย่างเรียบเฉยคราหนึ่ง “ต่อให้สะใภ้จะมีครรภ์ก็ต้องถามความยินยอมจากบุรุษด้วยว่าเขาต้องการหรือไม่ เจ้าสามกับเถียนเสวี่ยเพิ่งแต่งงานกันได้ไม่นานกำลังรักใคร่เห็นใจกัน หากเจ้าสามมิได้ต้องการ เจ้าก็มิจำเป็นต้องเลือกคนมาไว้ในเรือนให้เป็นที่ขัดตาจะดีกว่า”
นางเถียนจำต้องเอ่ยรับคำด้วยรอยยิ้ม แต่ในใจกลับตัดสินใจแล้วว่าจะเลือกสาวใช้ให้คุณชายสามสักสองคน อย่างน้อยก็เพื่อทำให้เถียนเสวี่ยไม่ลืมว่านางแต่งเข้ามาได้อย่างไร!
ส่วนนางเจินนั้น…
นางเถียนได้แต่แค่นยิ้มอยู่ในใจ ฮูหยินผู้เฒ่าพูดเองว่าจะยอมรออีกสักสองปี นางไม่เชื่อดอกว่าหากผ่านไปอีกสักสามปีห้าปีแล้วนางเจินยังไม่มีบุตรอีก ฮูหยินผู้เฒ่าจะยังยิ้มระรื่นได้เช่นตอนนี้!
เจินเมี่ยวพาสาวใช้สองคนเดินไปตามทางเพื่อออกไปข้างนอก ครั้นเลี้ยวไปกลับพบเข้ากับคุณชายรอง
“พี่สะใภ้จะออกไปข้างนอกหรือ” คุณชายรองยิ้มพลางใช้สายตากวาดมองใบหน้าเจินเมี่ยว
เจินเมี่ยวอดกลั้นความหงุดหงิดในใจไว้แล้วมองคุณชายรองคราหนึ่ง
เขาสวมชุดคลุมยาวสีขาวงาช้างปักลายไผ่ตัวใหม่ บนศีรษะมิได้ปักปิ่นหยกอย่างที่เคยปักทุกวัน แต่เป็นปิ่นไผ่จึงยิ่งทำให้ดูสง่างามเหนือคนทั่วไป
เจินเมี่ยวพยักหน้าคราหนึ่ง แต่เมื่อเห็นคุณชายรองยังคงมองนางอยู่ จึงจำต้องถามออกไปว่า “น้องรองก็จะออกไปข้างนอกหรือ”
“น้องชายต้องไปร่วมงานเลี้ยงจิ๋นหลี่ขอรับ” คุณชายรองเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
เจินเมี่ยวไม่อยากพูดอันใดกับคุณชายรองให้มากความ นางจึงทักทายเล็กน้อยแล้วยกเท้าเดินผ่านไป
คุณชายรองจ้องด้านหลังอันงดงามที่ค่อยๆ เดินจากไปนั้นอยู่เป็นนานไม่ขยับไปที่ใด
ต้องมีสักวันที่เขาจะทำให้นางแม้อยากร้องไห้ก็ร้องมิออก การจะทำให้สตรีผู้หนึ่งอยากร่ำไห้โดยไร้น้ำตานั้นมีอยู่หลายวิธีเลยทีเดียว
แน่นอนว่ายามนี้เขามิอาจแบ่งใจไปครุ่นคิดได้ ตอนนี้ที่สำคัญที่สุดคือเรื่องการสอบชุนเหวย
ไป๋เสาเดินตามหลังเจินเมี่ยวไป ครั้นนางหันหลังกลับไปก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อเห็นท่าทีที่คุณชายรองมองเจินเมี่ยว นางจึงเร่งฝีเท้าเดินตามเจินเมี่ยวไปติดๆ แล้วเอ่ยเตือนเสียงแผ่วว่า “ต้าไหน่ไหน่ คุณชายรองมองท่านด้วยสายตาแปลกๆ เจ้าค่ะ”
เจินเมี่ยวคร้านแม้แต่จะหันกลับไปมอง “มิต้องสนใจเขา บางคราก็มิได้มีแค่คนที่คิดว่าตนเองหน้าใหญ่ มีหน้ามีตา อ่างล้างหน้าก็เช่นกัน”
ครั้นไป๋เสาคิดได้ว่าไปที่ใดเจินเมี่ยวก็พาชิงไต้ไปด้วยเสมอจึงอดโล่งอกมิได้ ทั้งยังรู้สึกนับถือเจินเมี่ยวเพิ่มมากขึ้นไปอีก
ปกติมักจะเห็นเจินเมี่ยวมิใคร่คิดอันใดละเอียดรอบคอบนัก แต่ความจริงกลับรู้ทุกอย่างดีแก่ใจ เวลาล่วงเลยกระทั่งจื่อซูและอาหลวนออกเรือน ชิงไต้ก็ยังคงเป็นสาวใช้ขั้นสองที่มีฐานะไม่สูงและไม่ต่ำ ไปที่ใดย่อมสะดวกพาไปด้วยโดยไม่สะดุดตาผู้คน
เมื่อเจินเมี่ยวมาถึงจวนเจี้ยนอานปั๋วก็ไปน้อมทักทายฮูหยินผู้เฒ่าก่อน แล้วไปพูดคุยเล่นกับนางเวินโดยไม่แสดงพิรุธใด ครั้นกินข้าวกับมารดาเสร็จ ถึงเวลาบอกลานางจึงไปเรือนฮูหยินผู้เฒ่าอีกครา
“บุตรสาวย่อมใส่ใจมารดามากกว่า ย่าก็เตรียมสำรับเผื่อเจ้า แต่เหตุใดจึงมิเห็นเจ้ามาเล่า” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยคล้ายบ่นว่าคล้ายเย้าเล่น
เจินเมี่ยวเอ่ยด้วยใบหน้ากลัดกลุ้มว่า “ท่านย่า ท่านยังจะพูดหรืออีก ท่านแม่ให้ข้าอยู่เพื่อบ่นว่าข้าต่างหากเล่าเจ้าคะ้”
นางลูบท้องตนเบาๆ ฮูหยินผู้เฒ่าก็เข้าใจทันทีจึงอยากเอ่ยถามให้มากสักหน่อย ครั้นคิดได้ว่าฐานะเจินเมี่ยวไม่เหมือนแต่ก่อนแล้วจึงโบกมือให้คนรับใช้ภายในห้องออกไปให้หมด
เจินเมี่ยวจึงพูดขึ้นว่า “ท่านย่า วันนี้ที่หลานมา ความจริงมีเรื่องสำคัญอยากฝากท่านไปบอกต่อท่านลุงรองเจ้าค่ะ”
“เรื่องอันใด” เมื่อเจินเมี่ยวพูดเช่นนี้ฮูหยินผู้เฒ่าก็ตั้งใจฟังยิ่ง
นางพลันเข้าใจทันทีว่าที่เจินเมี่ยวมาวันนี้เพราะมีจุดประสงค์อื่น
“เมื่อวานไปงานชมบุปผาที่จวนแม่ทัพโอวหยาง หลานได้ยินท่านแม่พูดว่าคู่หมายของน้องห้าคือคุณชายสิบห้าตระกูลเจียงแห่งชิงหยางหรือเจ้าคะ”
เจินเมี่ยวคิดว่าฮูหยินผู้เฒ่าอายุมากแล้ว หากพูดความจริงออกมาทันทีเกรงว่านางจะรับไม่ได้ จึงตั้งใจหยุดไปครู่หนึ่งเพื่อให้ฮูหยินผู้เฒ่าได้เตรียมใจ
สีหน้าฮูหยินผู้เฒ่าขรึมขึ้นมาทันทีดังคาด “มีอันใด หรือการหมั้นหมายครานี้มีปัญหา”
แต่นางก็ส่ายหน้าทันที “เป็นไปไม่ได้ ลุงรองของเจ้าทำอันใด ย่าล้วนวางใจเสมอ ได้ยินเขาบอกว่าเคยพบกับเด็กหนุ่มผู้นั้นแล้วครั้งหนึ่ง เป็นคนมีความสามารถยิ่งทั้งยังมีมารยาทอย่างที่สุด”
เจินเมี่ยวลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงขยับเข้าไปกระซิบข้างหูฮูหยินผู้เฒ่าอยู่สองสามประโยค ฮูหยินผู้เฒ่าพลันนั่งหมดแรงอยู่บนเก้าอี้ ผ่านไปนานจึงถอนหายใจยาวออกมาท่ามกลางสายตาเป็นห่วงของเจินเมี่ยว “เจ้าสี่ ครานี้คงต้องขอบใจเจ้าแล้ว มิเช่นนั้นชีวิตน้องห้าของเจ้าคงพังทลายไม่เหลือชิ้นดีแน่ เรื่องนี้ข้าจะหารือกับลุงรองเจ้าเอง”
เจินเมี่ยวจึงวางใจลงได้แล้วลุกขึ้นขอตัวกลับ
ระหว่างทางจากจวนเจี้ยนอานปั๋วกลับไปยังจวนเจิ้นกั๋วกงต้องผ่านหอสุราเทียนเค่อซึ่งกำลังจัดงานเลี้ยงจิ๋นหลี่ในวันนี้พอดี เมื่อคิดว่าคุณชายรองสกุลหลัวกำลังดื่มสุราอยู่ด้านใน เจินเมี่ยวที่ไม่ทราบคิดอันใดอยู่จึงแหวกม่านลอดมองออกไปด้านนอก
ทว่าการมองครั้งนี้กลับทำให้นางอดตกตะลึงขึ้นมามิได้