บทที่ 558: เสนอตัวเธอ

Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน

Dual Cultivation บทที่ 558: เสนอตัวเธอ

 

หลังจากที่ช่วยฟางเซี่ยวหรูรับชุดศิษย์และหาที่พักให้แล้ว ฟางซีหลานก็พูดกับอีกฝ่ายว่า “ตอนนี้เมื่อเจ้ามีทุกอย่างที่จําเป็นแล้ว ข้าก็จักอธิบายกฎของสํานักและสิทธิของเจ้าในฐานะศิษย์หลัก”

 

สองสามนาทีให้หลัง หลังจากที่อธิบายกฏให้เธอฟังเรียบร้อยแล้ว ฟางซีหลานก็พูดเกี่ยวกับสิทธิ “ในฐานะศิษย์หลัก เจ้าจักได้รับการสนับสนุนจากนิกายแบบไม่จํากัด นั่นหมายความว่าตราบเท่าที่มันมีเหตุผลเพียงพอ เจ้าสามารถขอหินวิญญาณจํานวนเท่าไหร่ก็ได้”

 

“จํานวนเท่าไหร่ก็ได้ นิกายกุสุมาลย์พันพิสัยร่ำรวยมากอย่างนั้นรึ” ฟางเชี่ยวหรูถาม

 

“ข้าเดาว่าเป็นอะไรทํานองนั้น…” ฟางซีหลานพยักหน้า ไม่กล้าที่จะเปิดเผยให้อีกฝ่ายว่าก่อนหน้านั้นพวกเขาใช้หินวิญญาณกว่าสามร้อยล้านก้อนในที่เดียว

 

“เช่นนั้นเจ้าคิดว่าข้าจักสามารถได้รับสมบัติวิญญาณหรือไม่ ตอนนี้เมื่อข้ามิได้อยู่กับตระกูลฟางอีกต่อไปแล้ว ข้าก็จักมิได้รับแม้สักชิ้น”

 

“ผู้นำนิกายจะดูแลเรื่องอาวุธวิญญาณ และวิชาการฝึกปรือ ดังนั้นเจ้าจักต้องถามพวกเขาเรื่องนั้น แต่ข้ามิเห็นมีเหตุผลที่พวกเขาจักมิให้เจ้าสักชิ้น ในเมื่อพวกเรามีสมบัติวิญญาณมากมาย” ฟางซีหลานกล่าว

 

“อย่างไรก็ตามเจ้าควรจะพูดกับซูหยางเกี่ยวกับวิชาการฝึกปรือของเจ้าในตอนนี้เมื่อเจ้าเสร็จสิ้นจากที่นี่แล้ว”

 

ฟางเซี่ยวหรูพยักหน้าและเธอก็กล่าวว่า “ขอบคุณสําหรับทุกสิ่งพี่สาว”

 

“มิมีความจําเป็นที่จะต้องขอบคุณข้า ข้าก็เพียงทําตามสิ่งที่ข้าควรจะทําในฐานะพี่สาว” ฟางซีหลานตอบพร้อมกับรอยยิ้ม “ถ้าเจ้าต้องการอะไรอีกในอนาคต เจ้าสามารถมาหาข้าได้” 

 

และก่อนที่ฟางเซี่ยวหรูจะจากไป ทันใดนั้นเธอก็กอดฟางซีหลานสร้างความงงงันให้กับเธอ ในเมื่อนี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้รู้สึกถึงอ้อมกอดของน้องสาวของตนเอง

 

เวลาถัดมา ฟางเชี่ยวหรูก็ตรงไปยังศาลาหยินหยางเพื่อตามหาซูหยาง

 

“เจ้า เจ้า เจ้ามาทําบ้าอะไรที่นี่ ฟางเซี่ยวหรู”

 

เมื่อซูหยินเห็นฟางเซี่ยวหรูในชุดศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยดวงตาของเธอก็เบิกกว้างด้วยความตระหนก

 

“ซูหยิน…” ฟางเซี่ยวหรูหรี่ตาของเธอลง “ข้าควรจะถามเจ้าด้วยคําถามเดียวกัน ทําไมเจ้าจีงมาอยู่ที่นี้”

 

“โอ พวกเจ้าสองคนรู้จักกันอยู่แล้วรี” ซูหยางเลิกคิ้ว

 

“ในเมื่อสี่ตระกูลใหญ่ชอบรวมตัวกันเกือบทุกปีเพื่อที่จะมีการแลกเปลี่ยนฉันมิตรระหว่างรุ่นเยาว์เพื่อโอ้อวดสิทธิ์ แน่นอนว่าพวกเราต้องรู้จักกันตามความเป็นจริงพวกเราได้ประมือกันมานับไม่ถ้วน” ซูหยินอธิบายให้เขาฟังถึงความสัมพันธ์ระหว่างพวกเธอ

 

“ใช่ พวกเราสู้กันรวมทั้งหมดเจ็ดครั้ง” ฟางเซี่ยวหรูพยักหน้า และเธอก็กล่าวต่อว่า “ในระหว่างนั้นข้าชนะห้าในเจ็ดครั้ง”

 

“น-นั่นเป็นเพราะว่าข้ายังเด็กและไร้ประสบการณ์ ยังไงข้าก็เอาชนะเจ้าสองครั้งติดต่อกัน ในการพบปะสองครั้งสุดท้าย เจ้ากล้าพยายามที่จะทําให้ข้าอับอายต่อหน้าพี่ชายของข้าได้อย่างไรกัน มาสู้กันตอนนี้เลยฟางเชี่ยวหรู” ซูหยินชี้ไปที่เธอด้วยใบหน้าแดงก่ำ

 

“ฮืม ข้ามิได้มีเวลามารับมือเจ้าในตอนนี้ซูหยิน ในเมื่อตอนนี้ข้ามาเพื่อท่านผู้นํานิกาย” ฟางเซียวหรูกล่าวก่อนที่จะมองไปยังซูหยาง

 

“ท่านผู้นำนิกายตามสัญญา ข้ามาที่นี้เพื่อที่จะเสนอร่างกายของข้าให้ท่านสําหรับการที่ยอมให้ข้าได้รับการทดสอบศิษย์” เธอกล่าวกับเขาด้วยสีหน้าเยือกเย็น

“อ-อ-อะไรนะ” ซูหยินสั่นสะท้านไปด้วยความตระหนกอหลังจากที่ได้ยินคําพูดของเธอ

 

“เกิดอะไรขึ้นที่นี่ พี่ชาย”

 

ซูหยางยิ้มและให้คําอธิบายสั้นๆแก่เธอถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้

 

“อย่างไรก็ตาม เจ้ามิจําเป็นต้องมอบร่างกายให้กับข้า เพราะว่านั่นเป็นฟางซีหลานที่ยอม ให้เจ้าได้เข้าร่วมในการทดสอบนี้ ไม่ใช่ข้า” เขากล่าวกับฟางเซี่ยวหรู “และเจ้าก็มิได้อยู่ในสาขาฝึกคู่ ดังนั้นข้าจึงมิอาจที่จะร่วมฝึกกับเจ้าได้โดยมิมีเหตุผล”

 

“ถูกต้องแล้ว รู้ตัวเสียบ้าง ฟางเซี่ยวหรู และเพื่อให้ชัดเจน ข้าก็เป็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยในนามเช่นกัน” ซูหยินกล่าวเพิ่ม

 

แต่ทว่า ฟางเชี่ยวหรูไม่สนใจซูหยินที่ยั่วยุอย่างเห็นได้ชัด และกล่าวกับซูหยางว่า “เช่นนั้นท่านจะมีเพศ- ร่วมฝึกคู่กับข้าถ้าข้าเข้าร่วมสาขาฝึกคู่งั้นรึ”

 

“…”

 

ซูหยางนวดขมับ เมื่อรู้ถึงตัวตนและการตัดสินใจของเธอแล้ว ฟางเซียวหรูอาจจะไม่ปล่อยเขาไปจนกว่าเขาได้ร่วมฝึกกันเธอ ยิ่งไปกว่านั้นเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนราวกับว่าเป็นกลางวันถึงเหตุผลที่ทําไมฟางเซี่ยวหรูจึงได้เข้าร่วมกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยแล้วว่าเธอต้องการที่จะใกล้ชิดกับเขา

 

หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ ซูหยางก็ถอนใจ “เอาล่ะ ในเมื่อเจ้าได้ยอมสละมากมายเพื่อที่จะเข้าร่วมกับนิกาย ข้าเห็นว่าข้าสามารถที่จะให้เจ้าได้รับสิทธิตามคําขอนี้ได้”

 

ไม่ว่าอย่างไร มันจะเป็นเรื่องที่โหดร้ายเกินไปที่จะปฏิเสธเธอหลังจากที่เธอได้ละทิ้งตระกูลของเธอเพียงเพื่อที่จะเข้ามาในนิกาย

 

“อะไรนะ” ซูหยินมองไปที่เขาด้วยใบหน้าที่ไม่อยากเชื่อ “ท่านมั่นใจเรื่องนี้ พี่ชายเธอมาจากตระกูลฟาง สถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยพวกยะโสโอหัง และฟางเซี่ยวหรูนี่ก็เป็นคนที่เลวร้ายที่สุดในหมู่ คนพวกนั้น ในเมื่อเธอไม่สนใจใครเลยนอกจากตัวเธอเอง”

 

เมื่อได้ยินคําพูดของอีกฝ่าย ฟางเซียวหรูก็ขมวดคิ้ว “เจ้าหยุดปากเสียใส่ข้าได้แล้ว ซูหยินเพียงเพราะว่าข้าเอาชนะเจ้าได้มากกว่าที่เจ้าเอาชนะข้า เจ้ามิจําเป็นต้องใจร้ายมากถึงขนาดนั้นก็ได้ อีกทั้งข้าก็ได้ออกจากตระกูลฟางแล้ว”

 

“ด-เดี๋ยวก่อน… เจ้าเพิ่งพูดอะไรไปนะ” ซูหยินมองดูอีกฝ่ายด้วยดวงตาเบิกกว้าง “จเจ้าออกจากตระกูลฟางงั้นรี เจ้าโกหก”

 

ซูหยางส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “ข้าควรกล่าวเช่นนี้เช่นกันเมื่อตอนที่ข้าได้อธิบาย ให้กับเจ้าก่อนหน้านั้น แต่เธอออกจากตระกูลฟางเพื่อที่จะเข้าร่วมกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ดังนั้นเธอจึงไม่ได้โกหก”

 

“เกิดอะไรขึ้นบนโลกนี้จึงทําให้เจ้าทําอะไรเช่นนั้น มิใช่ว่าเจ้าเป็นหนึ่งในอัจฉริยะระดับสูงของ พวกเขารี ข้ามิอยากเชื่อว่าตระกูลฟางจักยอมให้เจ้าจากไปอย่างง่ายๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลัง จากที่ใช้ทรัพยากรและความพยายามมากมายกับเจ้า”

 

“ข้ารู้ว่าแม่ของข้ามิยอมให้ข้าจากไปง่ายๆเช่นกัน แต่ข้าจักจัดการกับเรื่องนี้เมื่อเวลามาถึง” ฟางเซียวหรูกล่าว และเธอก็พูดต่อด้วยสีหน้าค่อนข้างแดงเล็กน้อยว่า “ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็จักทําทุกสิ่งเพื่อที่จักได้อยู่กับท่านผู้นํานิกาย”

 

ซูหยินอ้าปากจนคางตกลงถึงพื้นหลังจากที่ได้ยินคําพูดของอีกฝ่าย ในเมื่อเธอไม่ คิดว่าฟางเซี่ยวหรูจะสามารถทําสีหน้าไร้เดียงสาเช่นนั้นได้ มันราวกับว่าฟางเซี่ยวหรูเปลี่ยนไปเป็นคนละคน