ตอนที่ 586 เขตหยุนไหล

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 586 เขตหยุนไหล

ฟู่เสี่ยวกวนและคณะเดินทางบนทางสายเก่าจินหนิวไปอย่างช้า ๆ มิได้เร่งรีบ

องค์ชายสี่หยูเวิ่นชูมุ่งหน้าไปทางภูเขาหมินอย่างตื่นตระหนก

เรื่องที่เซวี๋ยติ้งชานแพ้สงครามนั้น ได้ลือกันไปทั่วเจี้ยนหนาน แน่นอนว่าเขาเองก็รับรู้

ในที่สุดก็พ่ายแพ้จนได้

พ่ายแพ้จริง ๆ เสียด้วย !

โชคดีที่ข้าไหวตัวทันจึงมิได้เข้าไปพึ่งพิงเขา มิเช่นนั้นศีรษะคงได้หลุดออกมาจากบ่า และถูกส่งเข้าวังหลวงเป็นแน่

แสงสุริยาในเดือนสี่ช่างอบอุ่นมากยิ่งนัก แต่ทว่าหยูเวิ่นชูกลับรู้สึกหนาวเย็นด้วยความหวาดกลัว

ปีนี้เขาอายุได้เพียง 24 ปีเท่านั้น เป็นช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์ของชายหนุ่ม ตนมีฐานะเป็นถึงชินอ๋อง แต่สภาพของตนในบัดนี้มิได้ต่างอันใดจากสุนัขจรจัดเลยแม้แต่น้อย แม้อาภรณ์จะเหม็นคลุ้งขาดรุ่งริ่ง แต่เขากลับมิกล้าไปซื้ออาภรณ์ชุดใหม่

เขานำป้ายหยกห้อยเอวชิ้นนั้นไปจำนำในโรงรับจำนำที่เมืองหรงโจว ซึ่งแลกเงินมาได้เพียง 200 ตำลึงเท่านั้น แม้จะรู้ดีว่าตนขาดทุนมหาศาล เนื่องจากป้ายห้อยเอวของเขามีมูลค่าอย่างน้อย 1,000 ตำลึง !

แต่เขาจะบังอาจต่อล้อต่อเถียงได้เยี่ยงไร ทั้งยังกลัวเสียเหลือเกินว่าหลงจู๊จะนำเรื่องนี้ไปฟ้องศาล

บัดนี้ เงิน 200 ตำลึงยังคงอยู่ในมือของเขา หลายต่อหลายคราที่ตั้งใจจะไปซื้ออาภรณ์ชุดใหม่มาเปลี่ยน แต่เมื่ออาบน้ำชำระร่างกายเรียบร้อยแล้ว ท้ายที่สุดเขาก็ถอดใจ เนื่องจากสภาพที่เป็นอยู่ตอนนี้ปลอดภัยที่สุดแล้ว

หลังจากเดินทางนานถึงสามวัน ในที่สุดเขาก็มาถึงชุมชนหวงหยาง

ชุมชนหวงหยางตั้งอยู่ที่เชิงภูเขาหมิน เป็นทางเข้าสู่ภูเขาหมินระหว่างเจี้ยนหนานทั้งสองสาย และเป็นชุมชนที่ก่อตั้งกันมาตั้งแต่โบราณ

ในชุมชนหวงหยางนี้ เขาได้ซ่อนองครักษ์เอาไว้ถึง 3,000 นาย และยังมีปรมาจารย์ขั้นสูงจากยุทธภพที่พามาจากเมืองจินหลิงถึง 12 คน

ผู้คนเหล่านี้ เดิมทีเขาต้องการเก็บเอาไว้ใช้ในยามจำเป็น เนื่องจากกลัวว่าหากพ่ายแพ้ก็ยังมีทางให้เดินย้อนกลับ ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่าตนจะมิต้องใช้คนกลุ่มนี้ตลอดไป แต่บัดนี้พวกเขาได้กลายมาเป็นความหวังสุดท้ายของตนแล้ว

ความหวังนี้มิใช่การก่อกบฏอีกครา แต่เขาต้องการให้องครักษ์ทั้งสามพันคนคุ้มกันเขากลับไปยังเมืองซีหรง อย่างน้อยเขาก็คงไม่ถูกถู่ซือที่ซีหรงฆ่าตาย

หลังจากเดินทางกลับเข้าไปในซีหรงได้แล้ว ก็ได้ตั้งใจเอาไว้ว่าจะพาคนเหล่านี้ไปขโมยขุดเหมืองทองในภูเขาหมิน เสด็จพ่อต้องส่งทหารมาปราบปรามโจรที่ซีหรงเป็นแน่ แต่ทว่าบัดนี้ทหารตะวันตกมิเหลือผู้ใดแล้ว หากต้องการก่อตั้งกองทัพขึ้นมาใหม่อาจจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 ปี

เวลา 1 ปีนี้เพียงพอสำหรับเขาที่จะนำทองจำนวนมากมายมหาศาลหลบหนีไปจากซีหรง เพื่อไปยัง…

ไปที่ใดเล่า ?

เขาคงอยู่ในราชวงศ์หยูต่อมิได้แล้วเป็นแน่ ราชวงศ์อู๋ก็เช่นกัน ไอ้บัดซบฟู่เสี่ยวกวนนั่นเป็นองค์ชายแห่งราชวงศ์อู๋…

แคว้นอี๋ก็ไปมิได้เช่นกัน !

ฟู่เสี่ยวกวนเป็นเต้าถายแห่งว่อเฟิงเต้า ที่นั่นมีอาณาเขตติดกับแคว้นอี๋ ซึ่งบัดนี้ถูกราชวงศ์หยูคุกคามเสียจนหวาดหวั่น หากฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยปากขอคนจากทางแคว้นอี๋ เกรงว่าจะรีบส่งคนมาทันที

ไปแคว้นฝานดีหรือไม่ ?

เห้อ ! ดูเหมือนว่าจะมีเพียงแคว้นฝานเท่านั้นที่พอจะอพยพหนีไปได้

เมื่อคิดได้ดังนี้ เขาก็พลันนึกถึงกองกำลังดาบเทวะกองพลที่สามขึ้นมา ซึ่งเข้าร่วมการต่อสู้ในครานี้ด้วย จากนั้นจึงขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น หากว่ากองกำลังเทวะเดินทางเข้ามาในภูเขาหมิน กำลังคนทั้งสามพันของตนก็ยังมิพอขัดฟันคนพวกนั้นเลยด้วยซ้ำ !

ไอ้ฟู่เสี่ยวกวนเอ๊ย ! ให้ตายเถอะ !

จะทำเยี่ยงไรกับเจ้านี่ดี ?

ไฟแห่งความหวังของหยูเวิ่นชูดับลงอีกครา คิดไปคิดมาและคาดว่ามีความเป็นไปได้สูงเสียทีเดียวที่กองกำลังดาบเทวะจะเข้ามาในภูเขาหมิน และจากความรวดเร็วว่องไวของทหารดาบเทวะ เกรงว่าบัดนี้พวกเขาจะเดินทางมาถึงภูเขาเหวินแล้ว หากตนพาคนจำนวน 3,000 คนบุกเข้าไปต่อสู้ เกรงว่าจะเป็นการเรียกน้ำย่อยให้พวกกองกำลังดาบเทวะกองพลที่สามนี้แทนน่ะสิ

มิได้การ !

อยู่ ๆ เขาก็หยุดฝีเท้าลงแล้วมองไปยังแสงสุริยาที่กำลังจะลาลับขอบฟ้า ผ่านไปชั่วครู่จึงได้เปลี่ยนความคิดเสียใหม่

จะกลับไปยังซีหรงมิได้เป็นอันขาด !

เขาหันหลังเดินกลับไป ท่ามกลางความมืดช่วงพลบค่ำ แสงจากจันทราส่องสว่างมาแทนที่ พวกเขาเดินทางมาถึงเขตหยุนไหล นี่คือเขตที่อยู่ห่างไกลจากชุมชนมากที่สุดในเจี้ยนหนานซีเต้า ที่เชิงเขาหยุนในหนึ่งปีจะมีหิมะตกลงมาอย่างหนักอย่างน้อย 4 เดือน และอย่างน้อย 6 เดือนจะมีหมอกปกคลุม กล่าวได้ว่าเกือบจะถูกตัดขาดจากโลกภายนอก แต่กลับมีผู้คนอาศัยอยู่มากมาย

บนภูเขาหยุนมีสัตว์ชนิดหนึ่งเรียกว่า กวางชะมดป่า ซึ่งกวางชะมดนี้จะมีสิ่งที่เรียกว่า เซ่อเซียง ซึ่งเป็นยาชั้นเยี่ยมขนานหนึ่งและเป็นเครื่องหอมอันล้ำค่าหายากที่ราคาสูงลิ่ว ดังนั้นนายพรานที่เดินทางมาล่าสัตว์ในเขตหยุนไหลจึงมีค่อนข้างมาก พ่อค้าที่เดินทางไปมาก็มากมายเช่นกัน

เหล่าพ่อค้ามิได้เพียงหาซื้อเซ่อเซียงเท่านั้น ที่ภูเขาหยุนยังมียาจีนขึ้นชื่อชั้นดีอีกมากมาย อาทิเช่น เทียนหมั่ว และหวงจิง เป็นต้น

ดังนั้น ที่แห่งนี้จึงเป็นสถานที่ที่มีผู้คนมากหน้าหลายตา ระยะทางห่างไกลจากความเจริญทำให้อำนาจของฮ่องเต้เข้ามิถึง ขุนนางที่ราชสำนักตั้งขึ้นก็มีเพียงชื่อแต่กลับมิมีผลใด ๆ ผู้คนที่นี่มีรูปร่างแข็งแกร่งกำยำ ผืนนาเล็กน้อยถึงเพียงนี้ อาหารย่อมมิเพียงพอให้พวกเขากินกันอยู่แล้ว จะเก็บภาษีเยี่ยงนั้นหรือ ? ฝันไปเถอะ !

หากเก็บภาษีมิได้ แล้วจะทำเยี่ยงไรเล่า ?

มิรู้ว่านายอำเภอคนใดของเขตหยุนไหลคิดวิธีดี ๆ เช่นนี้ขึ้นมาได้ เขาสั่งให้เก็บภาษีพ่อค้าเมื่อเข้าเมืองและเมื่อออกจากเมือง

จำนวนเงินมิได้มากมายอันใด หากมิใช่คนในพื้นที่เขตหยุนไหล เมื่อเดินทางเข้าเมืองจะต้องจ่ายภาษีจำนวน 2 ตำลึง หากเป็นคนในท้องที่จะต้องจ่ายภาษีขาเข้า 10 อีแปะ

พวกเขาใช้เงินภาษีส่วนนี้ในการบริหารจัดการเขต แต่หากต้องการให้นายอำเภอกระทำการใดมากกว่านี้ย่อมเป็นไปมิได้

นายอำเภอคนปัจจุบันของเขตหยุนไหลมีนามว่า จัวหลิวหวิน จิ้นซื่อในรัชสมัยเซวียนลี่ปีที่แปด รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่เก้า เดือนหนึ่ง วันที่สิบสอง ได้ถูกส่งตัวมาดำรงตำแหน่งนายอำเภอ ณ เขตหยุนไหล

หยูเวิ่นชูมิได้รู้จักคนที่มีบทบาทเล็กน้อยเหล่านี้

เขากัดฟันใช้เงินจำนวน 2 ตำลึงยัดใส่มือผู้คุ้มกันประตูเมือง และเข้ามาในเขตหยุนไหลก่อนที่ประตูจะปิดลงเพียงเสี้ยวอึดใจ เขาตัดสินใจจะลอบพำนักที่นี่สักประมาณ 1 ปี หรืออาจจะเนิ่นนานกว่านั้น !

สรุปก็คือ เขาต้องการรอให้ลัทธิจันทราถูกกองกำลังดาบเทวะหรือทหารชายแดนกำจัดให้เรียบร้อยเสียก่อน รอให้ข่าวการกุมตัวของเขาเริ่มซาลง ค่อยเดินทางออกจากที่แห่งนี้ไปยังแคว้นฝาน ส่วนเรื่องเหมืองทองที่ภูเขาหมินนั้น บัดนี้เขาเข้าใจดีว่าชีวิตสำคัญกว่าเงินทองมากนัก !

ก่อนที่เฉินจั่วจวินจะสิ้นใจ นางกล่าวว่าสมบัติของราชวงศ์เฉินฝังอยู่ที่วัดฟูจื่อ แต่ผู้ที่เก็บกุญแจเอาไว้มีเพียงเช่อเหมินเก่าแก่ มิรู้ว่าที่นางกล่าวออกมาคำสุดท้ายคือ ‘ซือ’ หรือไม่ หรือบางทีอาจจะเป็นเพียงเสียงสุดท้ายที่บ่งบอกถึงความเจ็บปวดก่อนจะจากไป

ที่แน่ ๆ ก็คือ บัดนี้เรื่องราวยากเกินแก้ไขเสียแล้ว แต่การได้รับข้อมูลเหล่านี้มานั้นถือว่าสำคัญเป็นอย่างมาก เนื่องจากได้รับการยืนยันว่ามีสมบัติอยู่จริง อีกทั้งยังรู้ด้วยว่าอยู่ที่จุดใด

เขาจำเป็นต้องวางแผนระยะยาวอย่างแยบยล

ส่วนเรื่องบุตรสาวหยูอี้ซี… ทันใดนั้นจิตใจของตนก็สั่นสะท้านขึ้นมาทันใด ถึงเยี่ยงไรก็เป็นเลือดเนื้อของตน แต่บัดนี้มิอาจปกป้องดูแลนางได้

เขาสลัดความคิดนี้ทิ้งไป จากนั้นก็ไปยังร้านขายเสื้อผ้าเพื่อซื้อชุดใหม่ 2 ชุด แล้วเดินทางไปยังโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง เลือกห้องพักหนึ่งห้องก่อนจะอาบน้ำชำระล้างร่างกาย แล้วเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าสะอาดสะอ้านที่เพิ่งซื้อมาใหม่รู้สึกสดชื่นมากยิ่งนัก

เขาสั่งให้เสี่ยวเอ้อนำอาหารขึ้นมาให้บนห้องพัก และสั่งสุรามา 1 ไห ก่อนจะลงมือกินอาหารจนอิ่ม ตามด้วยดื่มสุราที่มีรสขมเฝื่อนคอ ค่าใช้จ่ายทุกสิ่งอย่างรวมถึงภาษีขาเข้าเป็นเงินจำนวน 5 ตำลึง

ต่อจากนี้คงต้องคิดวิธีหาเงินเสียแล้ว

เขามีศิลปะการต่อสู้ที่ดีเลิศ การหาเงินมิใช่เรื่องยาก อาจจะเป็นผู้ดูแลจวน… เหอะ ๆ มิได้ เยี่ยงไรเสียข้าก็เป็นถึงองค์ชาย

หากจะสอนวิชาการต่อสู้ ก็มิได้ เนื่องจากต้องเปิดเผยหน้าตา ซึ่งอันตรายจนเกินไป

เมื่อคิดไปคิดมา จึงตั้งใจจะเป็นนายพราน ตามล่ากวางชะมดป่าแล้วนำเซ่อเซียงมาขายให้กับพ่อค้า

งานนี้ค่อนข้างปลอดภัยและหาเงินได้ง่าย

เมื่อคิดได้ดังนั้น เขาจึงเอนกายลงนอนบนเตียงอันแสนอบอุ่น สายลมอ่อนพัดโชยมา ในที่สุดก็ได้นอนหลับอย่างสบายเสียที

เขามิรู้หรอกว่า เมื่อสี่วันก่อนหน้านี้ ป้ายหยกที่นำไปจำนำในโรงรับจำนำหรงโจว ได้ตกอยู่ในมือของหนึ่งในสายลับเหล่านั้น