ตอนที่ 585 ระบบพื้นที่ที่เท่าเทียม

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 585 ระบบสนามที่เท่าเทียม

คาดมิถึงว่าในภูเขาหมินจะมีเหมืองทองอยู่ด้วย !

สิ่งนี้ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกดีใจอยู่พักหนึ่ง ดังนั้นซูม่อจึงมีภารกิจเพิ่มขึ้นมา หลังจากกวาดล้างลัทธิจันทราเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ให้ยึดเหมืองทองที่ตรงนั้นไว้เสีย รั้งรอให้ราชสำนักส่งคนขุดเหมืองมา และตัวเขาเอง…

เขาเองก็จะแอบหนีกลับเมืองหลวง กลับไปเล่นไพ่นกกระจอกกับเหล่าภรรยามิดีกว่าหรือ ?

เมื่อเตรียมแผนการทุกอย่างเอาไว้เรียบร้อย ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้ออกเดินทางจากเจี้ยนเหมินในวันที่ยี่สิบสาม เดือนสาม โดยใช้เส้นทางสายเก่าจินหนิวเพื่อมุ่งหน้าไปยังจินหลิง

ผู้ติดตามมีสวี่ซินเหยียนและซูซู และยังมีเฮ้อซานเตาอีก 1 คน

ในใจของเฮ้อซานเตาเต็มไปด้วยความรู้สึกคับแค้นใจ

คืนนั้นที่บุกเมืองเจี้ยนเหมิน เขาบุ่มบ่ามเข้าไปยังคลังทองของเมืองเจี้ยนเหมินอย่างมิเกรงกลัวต่อความตาย เขากอบโกยเงินทองและทรัพย์สมบัติมากมายเพียงนั้น นี่ประมาทเกินไปแล้ว !

เพราะกลัวว่าจะถูกทัพอื่นล่วงรู้ความลับนี้เข้า เขาจึงขนย้ายทรัพย์สมบัติในคลังทั้งหมดไปไว้ด้านนอกจวนเฉิงโฉว คิดไว้ว่าจะนำหายนะของการขโมยคลังทองนี้โยนใส่หลังของทหารฝ่ายเซวี๋ยติ้งชานที่ตกตายไปแล้ว

คนตายมิสามารถให้การได้มิใช่หรือ ?

ข้าพาเหล่าสหายมาแบ่งปันสมบัตินี้ ต่อให้เป็นแม่ทัพใหญ่ก็ทำอันใดข้ามิได้ !

มิเคยคาดคิดเลยว่าตนจะได้พบกับคุณชายเศรษฐีที่ดินผู้มีการศึกษา เพียงแค่แรงกระพือเบา ๆ หนึ่งประโยค เขาก็ทำได้เพียงแค่เรียกจ้าวลี่จู้ไปจัดการนำทองคำและของมีค่ากว่าหนึ่งร้อยกระสอบมาคืนทั้งหมด

สุดท้ายคุณชายเศรษฐีที่ดินฟู่เสี่ยวกวนก็มิยอมทำบัญชี !

ให้ตายเถอะ ข้าสู้เขามิได้เลย !

มิน่าแปลกใจที่คุณชายเศรษฐีที่ดินผู้นี้จะสามารถเป็นใหญ่เป็นโตได้ ข้าทำได้เพียงแค่ติดตามเขาเท่านั้น

แต่เยี่ยงไรเสีย ในวันนี้ก็ได้เดินตามผู้ที่เป็นแบบอย่างอยู่ด้านหลัง คุณหนูหกได้ส่งจดหมายมา ในจดหมายมิมีอักขระอันใด มีเพียงรูปวาดสองสามรูปเท่านั้น

จดหมายเยี่ยงนี้ในใต้หล้านอกจากเฮ้อซานเตาก็มิมีผู้ใดเข้าใจแล้ว พอได้อ่านจดหมายฉบับนี้เสร็จก็ได้ยกยิ้มขึ้นมา ในที่สุดคุณหนูหกก็ชมเชยข้าเสียที หากข้าได้เป็นแม่ทัพวันใด เมื่อนั้นก็จะสามารถตบแต่งกับนางได้แล้ว

หลังจากที่แต่งงาน… รูปนั้นคือผ้าแดงผืนหนึ่ง ผ้าสีแดงอยู่ในน้ำ ราวกับกำลังลอยอยู่ นี่หมายความว่าให้ข้าดึงผ้านี้

หึ ๆ เฮ้อซานเตาหัวเราะอย่างโง่งม รอข้ากลับไปก่อนเถอะ ค่ำคืนในเรือนหอ คอยดูข้าเด็ดดอกไม้ของเจ้าออกมาได้เลย !

……

……

ฟู่เสี่ยวกวนมาถึงด่านชีผานตอนเดือนสาม วันที่ยี่สิบแปด

ในวันนี้ทัพของหยูชุนชิวคอยเฝ้าระวัง ณ ด่านชีผาน เผิงยวี๋เยี่ยนกลับมาถึงเร็วกว่าฟู่เสี่ยวกวนสามวัน

ฟู่เสี่ยวกวนและคณะหยุดพักเพียงระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น เขาโบกมือลาหยูชุนชิวและเผิงยวี๋เยี่ยน บัดนี้ภายในกลุ่มได้เพิ่มสมาชิกมาอีก 2 คนซึ่งก็คือ เว่ยเซียงหานและจงสือจี้

จงสือจี้นำนโยบายการปัดกวาดใต้หล้าได้เยี่ยงไรที่เขียนเองมอบให้ ฟู่เสี่ยวกวนควบอาชาและกวาดสายตาไปอย่างเอ้อระเหย… ไอหยา ชายผู้นี้ถือว่าใช้ได้ !

เพียงเริ่มต้นประโยคแรกก็ดึงดูดฟู่เสี่ยวกวนได้แล้ว จะปัดกวาดใต้หล้าต้องเริ่มจากบ้านเรือน !

แต่หลังจากคลี่ออกมาเพื่อวิเคราะห์แล้ว เขามิได้ใช้ศัพท์ที่สวยงาม และมิได้กล่าวอย่างผิวเผิน สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดคือวิธีการว่าจะปลูกฝังวินัยให้ขุนนางได้เยี่ยงไร วิธีใดที่จะนำพาความร่ำรวยมาให้ชาวบ้าน และวิธีใดที่จะทำให้ประสบความสำเร็จได้

และมีมุมมองหนึ่งที่ดึงดูดความสนใจของฟู่เสี่ยวกวนเป็นพิเศษ เขาได้เสนอระบบพื้นที่ที่เท่าเทียม… เพื่อรับประกันว่าชาวเกษตรจะได้รับที่ดินเป็นจำนวนมาก โดยให้ขุนนางทำการวัดผลเสียก่อน จากนั้นใช้ครัวเรือนเป็นหน่วย ตามกำลังของแต่ละครัวเรือน จากนั้นก็แบ่งส่วนที่นาเสียใหม่

ชายผู้นี้ ต้องการเปลี่ยนแปลงชีวิตเจ้าของที่ดิน !

ระบบพื้นที่ที่เท่าเทียมเป็นเพียงแบบจำลองเท่านั้น มิสามารถเทียบกับระบบพื้นที่ที่เท่าเทียมของราชวงศ์ถังได้ หรือบางทีอาจจะเป็นข้อจำกัดที่ชายผู้นี้ไม่ได้เขียนออกมาโดยละเอียด

แต่ราชวงศ์หยูในตอนนี้ได้รับความเดือดร้อนจากสงคราม มีที่นาจำนวนมากที่ไร้ซึ่งเจ้าของ สุดท้ายจึงกลายเป็นที่รกร้างจำนวนมาก แท้จริงแล้วการผลักดันนโยบายนี้ก็มีประโยชน์เป็นอย่างมาก แต่จะแบ่งส่วนเยี่ยงไร จะทำให้สมดุลได้เยี่ยงไร ในนี้ยังมีจุดสำคัญอีกมากที่จะต้องคิดขึ้นมาเพิ่มเติม

อืม ! ต้องทดสอบชายผู้นี้อีกสักหน่อย

จงสือจี้ในยามนี้รู้สึกมิสบายใจเล็กน้อย รู้สึกเสียใจที่เขียนระบบพื้นที่ที่เท่าเทียม เพราะเขาเพิ่งจะนึกได้ในตอนหลังว่าฟู่เจวี๋ยเยคือคุณชายเศรษฐีที่ดินของหลินเจียง นี่…มิใช่ว่าเป็นการขัดขาฟู่เจวี๋ยเยหรอกหรือ ?

จงสือจี้ลอบหันไปมองฟู่เสี่ยวกวนอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ใจกระตุกขึ้นมาเล็กน้อย… ฟู่เจวี๋ยเยคิ้วขมวดมุ่น สีหน้าดูเคร่งเครียด เขาย่อมมิชอบเป็นแน่แท้ เฮ้อ… ดูเหมือนจะไร้ความหวังเสียแล้ว แต่ก็หวังว่าจะมิทำให้ฟู่เจวี๋ยเยแค้นเคืองเสียจนต้องสั่งประหาร มิเช่นนั้นแล้วเพียงเขาเอ่ยออกมาหนึ่งประโยค ก็มิต้องไปคิดถึงเส้นทางในอนาคตของตนอีกต่อไปแล้ว

ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ และเอ่ยเรียกจงสือจี้เอาไว้

“บทความนี้ถือว่าเขียนใช้ได้ แต่ข้ายังรู้สึกว่ามันขาดหายไปมากนัก หรือมีคำเอ่ยอีกมากที่เจ้ามิได้ใส่ลงไปใช่หรือไม่ ? ”

“อ่า…” จงสือจี้อ้าปากค้าง และรีบกล่าวว่า “ข้าน้อย… ข้าน้อยมิกล้าเขียน”

“เจ้ากลัวอันใดกัน ? ข้าต่างหากคือผู้คุมหลัก เรียงความนโยบายของพวกเจ้า ถึงแม้ว่าสุดท้ายจะถวายให้แก่ฝ่าบาท แต่จะเลือกผู้ใดนั้นมันคือสิทธิ์ของข้า… ด้วยเหตุนี้ ตลอดการเดินทางนี้เจ้าก็จงคิดเอาไว้ให้ดี เมื่อถึงเขตเปาค่อยนำร่างระบบพื้นที่ที่เท่าเทียมฉบับเต็มมาให้ข้าดู”

“อ่า…” จงสือจี้ตกตะลึงขึ้นมาอีกครา เมื่อครู่ยังคิดอยู่เลยว่าตนได้ทำให้ฟู่เจวี๋ยเยขัดเคืองหรือไม่ ? คาดมิถึงว่าเขาจะให้ข้าร่างฉบับเต็มในเวลานี้ หากตนเขียนร่างฉบับนี้ออกมา คาดว่าจะทำให้ฟู่เจวี๋ยเยขัดเคืองจนถึงตายเป็นแน่ !

“ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังกังวลเรื่องใด จงเขียนอย่างตั้งใจ ข้ามิได้กล่าวว่าต้องยอมรับความคิดของเจ้า จงจำเอาไว้ว่า หากคิดจะเป็นขุนนางที่อยู่ภายใต้การดูแลของข้า อย่าได้ทำตัวมีลับลมคมใน พวกเราตรงไปตรงมา หากข้าทำมิถูก เจ้าก็สามารถลุกขึ้นด่าข้าได้ ขอเพียงเจ้ามีเหตุผลที่เพียงพอ ข้าจะมิโทษเจ้าอย่างแน่นอน ! ”

จงสือจี้กลับสูดลมหายใจเข้าลึกเหมือนว่าพวกขุนนางจะมิเหมือนกับที่ฟู่เจวี๋ยเยกล่าวเอาไว้ ที่บิดากล่าวไว้ก็มิใช่เยี่ยงนี้ หากขัดแย้งกับเบื้องบน หรือขัดความปรารถนาของเบื้องบน การสวมรองเท้าเล็กเป็นเรื่องที่เลี่ยงมิได้ ทำได้มิดีอาจจะทำให้หมวกหายจนถึงขั้นถูกตัดศีรษะเลยก็เป็นได้ !

ดังนั้นบิดาเลยมักจะกล่าวว่า เมื่ออยู่ในราชสำนัก ก็เหมือนย่ำอยู่บนน้ำแข็งแผ่นบาง ๆ

แต่ความหมายในคำเอ่ยของฟู่เจวี๋ยเยมิใช่แบบนั้น หรือว่าเขาต้องการทำให้ข้าเข้าใจผิดแล้วกระทำผิดออกมาเยี่ยงนั้นหรือ ?

มิคุ้มค่าเอาเสียเลย !

เขาคือเจวี๋ยเยผู้ยิ่งใหญ่ ข้าเป็นเพียงแค่ชาวบ้านธรรมดาทั่วไป เขาจะวางแผนร้ายใส่ข้าเพื่อเหตุอันใด ?

หากมิพอใจข้า เพียงคำเอ่ยเดียว แม้แต่บิดาที่เป็นนายอำเภอก็ต้องถูกปลดออกจากตำแหน่ง

ดังนั้น จงสือจี้ได้ลอบสรุปในใจว่า ทั้งหมดนี้คือความคิดในใจของฟู่เจวี๋ยเย !

เยี่ยงนั้นก็ทำไปตามคำเอ่ยของฟู่เจวี๋ยเยเสีย !

“พอข้ากลับไปเขตเปาแล้ว ข้าจะร่างรายงานระบบพื้นที่ที่เท่าเทียมให้เจวี๋ยเยเป็นข้อ ๆ นะขอรับ”

“อืม…” ฟู่เสี่ยวกวนนำนโยบายเก็บไว้ในอกเสื้อ “เจ้าคิดถึงระบบพื้นที่ที่เท่าเทียมได้เยี่ยงไร ? ”

“ขอมิปกปิดเจวี๋ยเย ด้านนอกร้านค้าตระกูลเว่ยเคยมีที่นาจำนวนมาก แต่หลังจากเกิดสงคราม พวกผู้ชายถูกจับไปเป็นทหาร เด็กกำพร้า แม่หม้าย และบุพการีที่อ่อนแอถูกทิ้งไว้ที่บ้าน พวกเขามิสามารถดูแลที่นาจำนวนมากถึงเพียงนั้นได้ สุดท้ายเมื่อเหล่าชายฉกรรจ์มิกลับมา ก็ทำให้ทุ่งนาแห้งแล้งไปเรื่อย ๆ

ครึ่งหนึ่งของที่นานอกร้านค้าตระกูลเว่ยในวันนี้ได้ตกเป็นของบุคคลภายนอก แต่เมื่อเทียบกับในอดีตแล้ว จำนวนราษฎรลดลงไปถึงครึ่งหนึ่ง กล่าวไปแล้วที่นาเหล่านั้นมีเจ้าของอยู่ ตามกฎหมายแล้ว บุคคลภายนอกมิมีคุณสมบัติในการทำการเกษตร ดังนั้นจึงเกิดสถานการณ์เยี่ยงนี้ขึ้น พวกเขาต้องการที่ดินแต่มิได้รับ สุดท้ายเจ้าของทรัพย์สินเหล่านั้นกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย ทุ่งนาที่เคยอุดมสมบูรณ์ในตอนนี้เต็มไปด้วยวัชพืชและต้นไม้ ถือว่าไร้ประโยชน์ยิ่ง

ดังนั้น ข้าจึงคิดว่า มิได้มีเพียงร้านค้าตระกูลเว่ยเท่านั้นที่พบเจอกับสถานการณ์เยี่ยงนี้ หากให้ราชสำนักนำผืนนาแห้งแล้งเหล่านั้นกลับไปเสีย แล้วค่อยแบ่งไปให้กับผู้ที่ต้องการหลังจากทำการวัดผลเสร็จแล้ว หนึ่งเพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาการดำรงชีวิตของชาวบ้าน สองถือว่ายังสามารถจ่ายภาษีให้แคว้นได้บ้าง แล้วเหตุใดถึงมิทำกันเล่า ? ”

มีเหตุผล ทันใดนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็นึกถึงบางสิ่งขึ้นมาได้ เขาจึงเอ่ยเรียกเฮ้อซานเตา

“เจ้าจงฟังเอาไว้ให้ดี ระหว่างเดินทางกลับไปในครานี้ เจ้าจงร่ำเรียนกับจงสือจี้เสีย เรียนทั้งอ่านและเขียน จงจำเอาไว้ว่า ในกองกำลังดาบเทวะมิมีผู้ใดมิรู้หนังสือ ! ”

เฮ้อซานเตายุ่งยากใจขึ้นมาทันพลัน…

บัดซบ !

นี่มิใช่ว่าต้องการชีวิตของข้าหรอกหรือ ?

เป็นคุณชายเศรษฐีที่ดินอยู่ที่หลินจื๋อมิดีตรงที่ใดกัน ?

หากตอนนี้เปลี่ยนใจมิไปกองกำลังดาบเทวะแล้วยังทันอยู่หรือไม่ ?