ตอนที่ 96 คำอ้อนวอนต่อความรัก

ซ่อนรักเคียงบัลลังก์

“จงพูดอีกครั้ง”

 

 

บรรยากาศในท้องพระโรงเย็นเยียบ

 

 

“กระหม่อมหลงรักพระชายาฮวางแทจา ไม่สิ มกฮวา อูรึมพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เงียบสนิท

 

 

ไม่มีผู้ใดกล้ากระซิบกระซาบกันว่านี่มันเรื่องทุเรศอะไรกัน เพราะมันเป็นเรื่องที่น่าตกใจจนพูดไม่ออก เป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้น เลยทำให้ทุกคนปิดปากนิ่งสนิท

 

 

ในขณะที่ไม่ผู้ใดเคลื่อนไหวทำสิ่งใด ดึกวอลก็ยิ้มขึ้นแล้วลุกขึ้นยืน

 

 

“ทรงทอดพระเนตรดูเถิดพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าพระบาท ฮวางเซจาได้ทรงกระทำผิดศีลธรรม…”

 

 

“หุบปาก” น้ำเสียงทุ้มชวนขนลุกเอ่ยขึ้น

 

 

ด้วยน้ำเสียงที่น่าเกรงขามทำให้ดึกวอลหยุดพูดอย่างไม่รู้ตัว แต่น้ำเสียงนั้นไม่ใช่เสียงของออฮยูลเจ ทว่าเป็นน้ำเสียงของบีพาอัน บีพาอันที่ก้มหัวอยู่ค่อยๆ ลุกขึ้นมาอย่างช้าๆ เขาหันตัวไปหาดึกวอล แม้บีพาอันจะมีอายุน้อยกว่าสี่ปีแต่ตัวเขานั้นสูงใหญ่กว่าดึกวอลเป็นอย่างมาก และตัวที่สูงใหญ่ของบีพาอันนี้เป็นสิ่งที่น่าเกรงขามและทำให้ดึกวอลลำบากใจมานาน

 

 

บีพาอันไม่ได้ก้าวเดินอย่างเชื่องช้า แต่กลับพุ่งเข้าไปหาดึกวอลอย่างรวดเร็วพร้อมกับกระชากคอเสื้อและดึงใบหน้าเขาเข้ามา แล้วจ้องเข้าไปในดวงตาโค้งมนดำสนิทฃวนขนลุกของดึกวอล ดึกวอลรู้สึกได้ถึงขนที่ลุกชันไปทั่วทั้งตัว ที่หูของเขาได้ยินเสียงทุ้มๆ แต่แทงลึกเข้าไปในหู

 

 

“ดวงจันทร์กำลังพยายามขึ้นไปให้เหนือเนินเขา โดยที่ไม่รู้ว่าเนินเขานั้นสูงเพียงใดสินะ”

 

 

แน่นอนว่าคำว่าดวงจันทร์นั้นหมายถึงดึกวอล ส่วนคำว่าเนินเขานั้นมาจากคำว่า อัน ที่หมายถึงเนินเขาซึ่งก็คือบีพาอัน บีพาอันมักจะเพิกเฉยต่อดึกวอลด้วยใบหน้าที่นิ่งสนิทนั่น แม้ทั้งคู่จะเป็นฮวางแทจาและแทจา แต่หากอยู่ต่อหน้ากันแล้ว บีพาอันก็เป็นเหมือนกับองค์จักรพรรดิ ส่วนตัวของดึกวอลนั้นรู้สึกว่าตนเป็นได้เพียงแค่ทาสชั้นต่ำคนหนึ่ง และนี่คือเหตุผลที่ทำให้ดึกวอลเคียดแค้นนัก

 

 

เขาอยากจะทำลายบีพาอัน ดึกวอลรู้สึกไม่พอใจอยู่เสมอที่บีพาอันที่ได้ตำแหน่งฮวางแทจาเพียงเพราะเหตุผลที่ว่าเขาเป็นโอรสของฮวังฮูแห่งองค์จักรพรรดิทั้งๆ ที่ยังเด็ก และไม่ได้มีความสามารถพิเศษอันใด จ้องมองตนเองจากบนตำแหน่งนั้น แต่ดึกวอลก็รู้ดีอยู่เสมอว่า

 

 

บีพาอันไม่ใช่คู่แข่งที่รับมือได้ง่ายๆ

 

 

ฉะนั้นดึกวอลจึงต้องใช้สีหน้าที่เสแสร้ง ภายใต้ดวงตาโค้งมนดุจพระจันทร์เสี้ยวนั้นได้ซ่อนดวงตาอันมืดมนที่เต็มไปด้วยความแค้น ภายใต้รอยยิ้มที่ดูนุ่มนวลเต็มไปด้วยความโกรธ ท่าทีของเขาที่มักจะยิ้มแย้มอยู่เสมอ ดูไม่ได้มีความคิดอื่นใด เป็นเพียงเล่ห์กลที่หวังให้บีพาอันเผลอไผลเพียงเท่านั้น และในตอนที่บีพาอันเผลอ ดึกวอลก็หมายที่จะทำให้บีพาอันนั้นตกนรกมอดไหม้ แล้วเอาตำแหน่งและทุกอย่างของบีพาอันมาเป็นของตน

 

 

แต่ดึกวอลนั้นประมาทบีพาอันเกินไป

 

 

“ดึกวอลมิรู้หรือว่าคนที่เจ้ากำลังหยาบคายอยู่ด้วยนั้นเป็นใคร ดูเหมือนเจ้าจะโง่เง่าเสียจนมิอาจเข้าใจได้ว่า การที่เจ้าทำให้ชายาของเราขายหน้า ก็เหมือนทำให้เราขายหน้าด้วยเช่นกัน”

 

 

“ฮวางแทจา”

 

 

ออฮยูลเจเอ่ยเรียกบีพาอันเบาๆ บีพาอันคลายมือที่จับคอเสื้อของดึกวอลลง ไม่สิ บีพาอันผลักเขาออกไปแล้วหันไปทางออฮยูลเจ แล้วก้มหัวลง ส่วนออฮยูลเจก็ไม่ได้ตำหนิติเตียนการกระทำของบีพาอันแต่อย่างใด เขาเพียงแค่เรียกบีพาอันเท่านั้นและไม่ได้หันไปมองทางดึกวอลเลย ดึกวอลที่ถูกเหวี่ยงลงไปบนพื้นส่งเสียงร้องขึ้นมาเล็กน้อย โอรันรีบวิ่งเข้าไปแล้วประคองแขนดึกวอลไว้ข้างหนึ่ง สายตาอันดุดันของนางจ้องมองไปที่กโยซึล แม้สายตาที่กำลังตกใจของกโยซึลจะมองบีพาอันอยู่ แต่บีพาอันนั้นหลังจากก้มหัวคำนับออฮยูลเจแล้วเขาก็กลับไปนั่งที่ของตนอย่าเงียบๆ เพียงเท่านั้น

 

 

แม้คำพูดของรูแฮจะถูกกลบเกลื่อนไปด้วยความวุ่นวายเล็กๆ น้อยๆ แต่เพราะความวุ่นวายนี้ทำให้ออฮยูลเจสามารถที่จะเผชิญหน้ากับรูแอได้อย่างสงบลง ริมฝีปากของเขาที่กำลังมองลูกชายของตนที่ทำให้เกิดข่าวลือต่างๆ มีรอยยิ้มเล็กๆ เผยออกมา

 

 

“ฮวางเซจา นั่นมันหมายความว่าเยี่ยงไร”

 

 

“ตามที่กระหม่อมได้กล่าวไปพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ในที่สุดหยดน้ำตาของกโยซึลก็หลั่งไหลลงมา แน่นอนว่าออฮยูลเจก็ไม่พลาดที่จะสังเกตุเห็นหยดน้ำตาที่ไหลหยดลงมาบนกระโปรงของนาง

 

 

“พระชายาฮวางแทจา เจ้าร้องไห้ด้วยเหตุผลอันใดหรือ”

 

 

นี่เป็นน้ำเสียงที่นุ่มนวลต่างจากตอนที่พูดกับผู้ปกครองพระราชวังทั้งสี่ เป็นน้ำเสียงเหมือนกับเสียงกล่อมเด็ก เป็นน้ำเสียงที่เหมือนคุยกับลูกสาวตัวเล็กที่น่ารักน่าชัง ทว่ากโยซึลก็รับรู้ได้ถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงนั้น หลังจากที่นางสะดุ้งเฮือกและตัวสั่น นางก็รีบเช็ดน้ำตา ทว่าหยดน้ำตาที่ไหลออกมานั้นไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง

 

 

“เป็นน้ำตาจากเหตุผลใดหรือ เป็นเพราะกลัวที่ได้รับความรักที่ไม่ควรได้รับอย่างนั้นหรือ หรือเป็นน้ำตาที่เห็นคล้อยไปกับเขาอย่างนั้นหรือ”

 

 

กโยซึลที่ใช้เสื้อเช็ดหน้าตัวเองเงยหน้าขึ้นและพูดด้วยอาการสั่นเครือ

 

 

“…หม่อมฉัน หลงรักฮวางเซจาเพคะ”

 

 

ในที่สุดนางก็พูดออกมา มันเป็นความรักที่ไม่อาจถูกยอมรับได้อย่างสิ้นเชิง แต่ก็ไม่สามารถหลอกลวงด้วยคำโกหกเพื่อให้มีชีวิตรอดต่อไปได้ ตอนนี้ไม่สามารถที่จะเก็บซ่อนมันไว้ได้อีกแล้ว และตนก็ไม่อยากเก็บซ่อนมันไว้อีก อยากจะตะโกนออกไปให้โลกรู้ว่าคนที่ตนรักนั้นคือ รูแฮ

 

 

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

 

 

อยู่ดีๆ ออฮยูลเจก็หัวเราะลั่นท้องพระโรง ส่วนคนอื่นๆ ในท้องพระโรงนั้นถูกห้อมล้อมไปด้วยความตึงเครียด ยกเว้นบีพาอัน ในขณะที่ทุกคนตกใจตัวแข็งทื่ออยู่นั้น บีพาอันก็ก้าวขึ้นมาข้างหน้าหนึ่งก้าว เขาคุกเข่าลงไปข้างหนึ่ง ส่วนขาอีกข้างหนึ่งตั้งชันขึ้น เขาวางมือข้างหนึ่งไว้บนเข่าที่ตั้งขึ้นนั้น แล้วก้มศีรษะเล็กน้อยและเอ่ยพูดออกไป

 

 

“ฝ่าพระบาท กระหม่อมมีเรื่องทูลขอเรื่องหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“เจ้าแสดงท่าทีที่เป็นพิธีการเช่นนี้ คงเป็นเรื่องของคู่รักที่ทำผิดบาปนี่ใช่หรือไม่”

 

 

ออฮยูลเจไม่ใช่องค์จักรพรรดิที่ตื่นตูม เขากำลังเหน็บแนมคนสองคนที่ทำความผิดที่ไม่อาจให้อภัยได้ด้วยความสุขุมเหมือนกับบีพาอัน

 

 

“โปรดทรงไล่ชายา และฮวางเซจาออกไปจากพระราชวังเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

สิ่งที่บีพาอันพูดออกมานั้นไม่มีใครคาดคิดมาก่อน แม้แต่รูแฮกับกโยซึล ออฮยูลเจตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงแบบเดิม

 

 

“ให้ออกจากพระราชวังอย่างกะทันหันอย่างนั้นหรือ”

 

 

“โปรดไล่พวกเขาออกไปจากพระราชวังแห่งนี้ ที่ที่พวกเขาถูกผูกรั้งไว้ด้วยโซ่ตรวน และไม่อาจผูกใจไว้กับมันได้ด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

บีพาอันพูดต่อว่าอีกว่าโดฮวานนั้นเป็นสายเลือดของเขาอย่างแท้จริง และเขาก็เป็นบิดาของโดฮวานอย่างแท้จริง ไม่มีผู้ใดเอ่ยแย้งเขาได้ และบีพาอันก็ยังพูดขอให้ปล่อยกโยซึลไป ปล่อยนางไปพร้อมกับรูแฮ ให้นางได้ออกไปจากพระราชวังที่แม้จะห้อมล้อมไปด้วยทองคำที่หรูหราตระการตา ทว่ากลับเยือกเย็นอย่างสุดจะทนนี้

 

 

ดึกวอลดันตัวขึ้นจากพื้น และในขณะที่เขากำลังจะพูด ตัวเขาก็ล้มกลิ้งลงไปบนพื้นอีกครั้ง บีพาอันที่กำลังทำความเคารพออฮยูลเจอยู่นั้นปฏิบัติกับดึกวอลอย่างไร้เหตุผล แต่ออฮยูลเจก็ไม่ได้สนใจเขาทั้งสองคนเลย สิ่งที่ทำให้ดึกวอลเงียบปากไปนั้นไม่ได้มีเพียงแค่การกระทำที่รุนแรงของบีพาอันเท่านั้น แต่บรรยากาศรอบตัวบีพาอัน บรรยากาศรอบกายที่แผ่ออกมาราวกับว่าไม่จำเป็นต้องซ่อนสิ่งใดไว้อีกแล้วนั้น ทำให้ดึกวอลไม่อาจขยับตัวได้ ดึกวอลที่ถูกอัดไปที่ร่างกายล้มลงไปบนพื้นท้องพระโรงที่ไม่มีใครสนใจ ได้แต่กัดฟันกรอด ไม่มีแม้แต่กำลังที่จะต่อกรกับบีพาอัน และเนื่องจากไม่มีใครมารบกวนบีพาอัน เขาจึงรีบพูดให้จบ และหลังจากที่เขาพูดจบ คนรักของเขาที่คุกเข่าอยู่ก็พูดออกมา

 

 

“หม่อมฉันได้กระทำการเสื่อมทรามที่มิอาจให้อภัยได้ หม่อมฉันรู้ดีว่าตนเองนั้นมิอาจอยู่ที่นี่ต่อไปได้อีก หม่อมฉันจะจากไปเพคะ ฝ่าพระบาทโปรดทรงไล่หม่อมฉันออกไปเถิดเพคะ หม่อมฉันจะไม่กลับมาที่พระราชวัง แห่งนี้อีก จะไม่กลับมาที่มกกุกอีกเพคะ”

 

 

“ฝ่าพระบาท องค์จักรพรรดิ”

 

 

รูแฮก้มศีรษะลงอีกครั้ง เขาไม่สามารถที่จะเช็ดน้ำตาให้กับกโยซึลได้ เขาจึงเอ่ยพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เจือความสะอื้นอยู่

 

 

“กระหม่อมจะไปพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมควรจะต้องตายเหตุเพราะไปหลงรักคนรักของท่านพี่ ขอโปรดทรงกรุณาอนุญาตเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

นี่เป็นครั้งแรกที่ออฮยูลเจได้ยินรูแฮตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดังเช่นนี้ สำหรับบีพาอันแล้วรูแฮคือน้องชายที่ยังเด็กอยู่ เป็นคนที่เงียบอยู่เสมอ ทว่าก็รักษาตำแหน่งของตัวเองไปด้วย เป็นองค์ชายที่ฉลาดรองลงมาจากเขา เป็นคนที่สุภาพอ่อนหวานยิ่งกว่าผู้ใด ทว่าเด็กคนนี้ได้แอบหลงรักผู้หญิงของพี่ชายตน และตอนนี้ก็กำลังตะโกนว่าจะขอจากไป

 

 

เสียงหัวเราะดังขึ้น ไม่มีคำพูดได้ นอกจากการระเบิดเสียงหัวเราะออกมา

 

 

“จะต้องประหารชีวิตพระชายาฮวางแทจา และฮวางเซจาที่ได้กระทำผิดศีลธรรม จะต้องตัดศีรษะห้อยประจานไว้ที่สูง และนำร่างไปทิ้งไว้กลางทุ่งหญ้าให้คนเย้ยหยันตามกฎของพระราชวังพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

น้ำเสียงที่เจือเสียงหัวเราะนั้นเปล่งคำพูดที่โหดร้ายทารุณออกมาก สีหน้าของรูแฮและกโยซึลซีดเผือด แต่รูแฮก็ยังคงก้มหน้าต่อไป

 

 

“กระหม่อมจะขอสละชื่อของราชวงศ์ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จะมิใช้สกุลดันมกอีกต่อไป และจะใช้ชีวิตอย่างคนชนชั้นต่ำไม่อยู่ภายใต้การคุ้มครองของพระราชวัง ขอสละเกียรติยศทั้งสิ้นของราชวงศ์นี้ โปรดทรงปล่อยเราไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมได้เจอคนรักในพระราชวังแห่งนี้ พระราชวังที่เต็มเปี่ยมไปด้วยอำนาจ เรามิอาจเลิกรากันได้พ่ะย่ะค่ะ ต่อให้แยกเราออกจากกันด้วยความตาย เราก็จะพบกันใหม่ในโลกหน้า แต่ แต่ในชีวิตนี้ขอโปรดให้เราทั้งคู่ได้ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขเถิดพ่ะย่ะค่ะ โปรดปล่อยพวกเราไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เมื่อออฮยูลเจได้ยินคำพูดที่อ้อนวอนต่อความรักของรูแฮแล้ว เขาก็ยิ้มออกมาอย่างไม่อาจคาดเดาความหมายได้ เขาค่อยๆ ยกมือข้างขวาขึ้นอย่างช้าๆ มือที่ดูมีอายุกางออกเล็กน้อย แล้วชูขึ้นไปบนอากาศนี้ทำให้รูแฮหยุดพูดได้ แต่ก็ทำให้ปากของคนอื่นเปิดขึ้น สตรีนางหนึ่งที่กำลังตกใจพูดแทรกความเงียบขึ้นมา

 

 

“หม่อมฉันฮวังฮู แทรยอง ขอทูลต่อองค์จักรพรรดิ ขอโปรดทรงประทานพระบรมราชานุญาตแก่คำร้องขอของฮวางแทจากับฮวางเซจาเถิดเพคะ”

 

 

นั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้น

 

 

“หม่อมฉันฮวังบี เย ขอบังอาจทูลขอพระบรมราชานุญาตต่อคำร้องขอของพวกเขาเพคะ โปรดปล่อย

 

 

ฮวางเซจาไปเถิดเพคะ”

 

 

“หม่อมฉันสนมซา ขอบังอาจทูลขอพระบรมราชานุญาตให้ปล่อยฮวางเซจาไปเถิดเพคะ”

 

 

“เคยลองคิดไหมเพคะว่าการได้พบคนรักในพระราชวังแห่งนี้ต้องหลบซ่อนแค่ไหน โปรดให้พวกเขาที่พบเจอกันอย่างยากลำบากได้อยู่ด้วยกันเถิดเพคะ”

 

 

“ความสัมพันธ์ทางสายเลือดมันคืออะไร แล้วศีลธรรมมันคืออะไร องค์จักรพรรดิ พระองค์คือฟ้าสวรรค์ ขอทรงโปรดประทานพระคุณเถิดเพคะ”

 

 

“หากทำลายชีวิตของทั้งคู่ที่ยังเด็กอยู่แล้วจะเหลือสิ่งใดหรือเพคะ ขอโปรดทรงประทานพระบรมราชานุญาตให้กับความต้องการของทั้งคู่เถิดเพคะ ฝ่าพระบาท”

 

 

สตรีสามนางที่คุกเข่าก้มศีรษะเอ่ยปากพูด พวกนางไม่ได้ขอร้องอ้อนวอนในนามของสนม แต่ในนามของข้าราชบริพาร แม้แต่ฮวังฮู แทรยอง ก็ไม่คิดว่านางจะมีความเห็นพ้องต้องกันเช่นนี้ ออฮยูลเจตกใจเป็นอย่างมาก ส่วนฮวังบี เยนั้น เนื่องจากนางเป็นแม่ของรูแฮ จึงคาดเดาการกระทำของนางได้อยู่แล้ว แต่การที่สนมเอกซาถึงขั้นก้มหัวให้นั้น เป็นเรื่องที่ไม่อาจเข้าใจได้เลย

 

 

สตรีที่เป็นเรี่ยวแรงสำคัญให้กับตน สตรีที่ตนรักที่สุด และสตรีที่ทำให้ตัวเขานั้นสบายใจที่สุด สตรีเหล่านั้นที่กำลังก้มหัวให้กับคู่รักที่ทำผิดกฎอันเข้มงวดของพระราชวัง ทำให้ออฮยูลเจรู้สึกลำบากใจ และในตอนนั้นก็มีเสียงเล็กๆ ของสตรีนางหนึ่งพูดขึ้นมา

 

 

“…หม่อมฉันชายารอง กโยยอง ขอทูลต่อองค์จักรพรรดิ ขอโปรดทรงปล่อยพระชายาฮวางแทจาและ

 

 

ฮวางเซจาไปเถิดเพคะ”