ตอนที่ 97-1 เงาที่สั่นไหว

ซ่อนรักเคียงบัลลังก์

เป็นกโยยองที่นั่งเงียบๆ มาจนถึงตอนนี้ นางนั่งร้องไห้อย่างไม่มีเสียงในท้องพระโรงตั้งแต่รู้เหตุผลของการประชุมราชวงศ์ในครั้งนี้ แม้จะได้เห็นท่าทีของรูแฮกับกโยซึล ได้ฟังข้อพิพาทของทั้งสองแล้ว แต่นางก็ยังไม่อาจเชื่อมัน ไม่สิ นางไม่อยากที่จะเชื่อมัน จึงได้แต่ส่ายหัวไปมา

 

 

คงไม่กระมัง

 

 

มันจะต้องไม่เป็นเช่นนั้น จะเป็นเช่นนั้นไม่ได้ แต่กโยซึลกับรูแฮก็เปิดเผยความรู้สึกที่แท้จริงออกมาอย่างผ่าเผย ตอนที่นางได้ยินทั้งคู่ป่าวประกาศว่ารักใคร่กัน ในหัวของกโยยองรู้สึกพังทลาย

 

 

คงไม่กระมัง…

 

 

สายตาที่สั่นไหวของนางหันไปที่บีพาอัน และด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยน้ำตาทำให้ไม่สามารถมองเขาได้อย่างชัดเจน แต่ก็พอรับรู้ได้ว่าทุกคำที่บีพาอันยืนยันให้คำมั่นนั้นเป็นคำโกหกทั้งเพ

 

 

หลอกด้วยอุบายตื้นๆ เป็นการโต้แย้งที่ไม่มีใครเชื่อ

 

 

แต่ทุกคนก็เชื่อในคำพูดของบีพาอัน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะทุกคนหวังให้โดฮวานเป็นลูกแท้ๆ ของบีพาอัน หรือเป็นเพราะต้องเชื่อไปอย่างช่วยไม่ได้ ทว่าช่วงเวลาที่ได้อยู่เคียงข้างกันนั้นไม่สูญเปล่า มีเพียงแค่กโยยองเท่านั้นที่รู้ว่าบีพาอันกำลังโกหก ที่จริงแล้วไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดนางก็หาได้สนใจไม่ เพราะคำโกหกของบีพาอันนั้นทำให้กโยยองเข้าใจสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี

 

 

ด้วยเหตุนี้หรือ

 

 

นางรู้สึกจุกอยู่ที่ลำคอ ตัวของนางสั่นไปหมดตั้งแต่ปลายนิ้วลามไปทั่วทั้งร่าง นางรู้สึกราวกับหน้าอกที่แบกรับความอึดอัดไว้นี้ถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ แม้จะหายใจไม่ออก ทว่าลมหายใจที่แห้งผากก็ยังพยายามจะปะทุออกมา ภาพความทรงจำที่กโยยองเคยพูด เคยกระทำต่อกโยซึลไหลผ่านเข้ามา นางคิดไตร่ตรองถึงคำพูดเด็ดเดี่ยวที่เคยพูดแต่ละคำ แล้วเอาแต่ต่อว่าตัวเองในตอนนี้ ที่ได้เอาความผิดหวังที่บีพาอันไม่เคยใส่ใจแม้นางจะอยู่ข้างเขาแท้ๆ ไประบายลงที่กโยซึล แม้คนที่ผิด คนที่สร้างบาดแผลให้นั้นคือบีพาอัน แต่ตนกลับสาดเทคำสาปแช่งเหล่านี้ไปที่กโยซึล นางระเบิดอารมณ์ใส่ผู้ที่ตนต่อกรง่ายกว่าบีพาอัน คิดว่าในเมื่อกโยซึลได้รับความรักจากบีพาอัน นางคงจะไม่รู้สึกอะไร ยิ่งกโยซึลได้รับความรักจากบีพาอันมากเท่าไร ตนก็ยิ่งขยะแขยงนาง

 

 

ทว่าเมื่อได้รู้ความจริงก็พบว่ากโยซึลนั้นกำลังมีความรักที่ยากลำบากมากกว่าตนนัก กโยยองนึกถึงน้ำเสียงอันเศร้าสร้อยของกโยซึลที่ไม่สามารถพูดแก้ตัวหรือคัดค้านอะไรได้ และเอาแต่พูดขอโทษซ้ำๆ ในตอนนั้นนางสามารถคาดเดาได้เลยว่ากโยซึลกำลังได้รับบาดแผลพอๆ กับตัวนางเอง แต่จะทำอย่างไรได้ เรื่องทั้งหมดมันผ่านไปแล้ว กโยยองต้องการที่จะได้รับการอภัยสำหรับทุกสิ่งที่ผ่านมา

 

 

เหนือสิ่งอื่นใด นางกลัวความผิดของตนเอง

 

 

***

 

 

เกลียดกโยซึล

 

 

อาจเป็นเพราะตอนที่พบเจอกันครั้งแรกนั้นกโยซึลดูน่าขันและน่าเวทนา หรืออาจจะเป็นเพราะตนคาดหวังลมๆ แล้งๆ ว่าจะสามารถสนิทสนมกับนางได้ แม้จะย้ำเตือนกับตัวเองอยู่เสมอว่าในพระราชวังแห่งนี้ไม่มีผู้ใดที่เชื่อใจได้ อย่าได้ไว้ใจใคร ทว่าตนก็กลับเชื่อคำนางที่ว่าไม่อาจรักพระสวามีของตนได้ไปเสียแล้ว

 

 

“ในพระราชวังแห่งนี้จะมีคำโง่เง่าเยี่ยงนั้นได้อย่างไรกัน”

 

 

กโยยองระเบิดเสียงหัวเราะเยาะออกมา ในพระราชวังแห่งนี้ความจริงใจนั้นไม่ได้มีความหมายอันใดเลย มันไม่ได้สำคัญเลยว่าจะรักได้หรือไม่ได้ ที่นี่ไม่มีใครที่จะมาคาดหวังกับความรู้สึกที่อ่อนแอและทำให้อ่อนไหวอย่างนั้น แต่ตนกลับโดนหลอกด้วยน้ำตาที่ไร้เดียงสานั่น เพราะนางช่างโง่เขลาจนน่าสงสารและเวทนาเสียจนเผลอเห็นอกเห็นใจ จนถึงขั้นมีความคิดที่ตั้งใจจะดูแลนางอีกด้วย

 

 

ทว่าสุดท้ายนางไม่เพียงก้าวกระโดดไปได้เร็วกว่าตน แต่ยังถึงขึ้นตั้งท้องอีกด้วย นั่นจึงทำให้กโยยองรู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก กับการที่ตัวเองถูกหลอกใช้ด้วยความไร้เดียงสานั่น

 

 

ช่างไร้ศีลธรรม

 

 

“พระชายารองฮวางแทจาทรงไร้เดียงสาเกินไป”

 

 

น้ำเสียงที่อ่อนหวานนั้นเอ่ยเข้าข้างกโยยอง น้ำเสียงออดอ้อนประจบประแจงนี้เป็นเสียงของโอรัน นางนั่งจิบชาด้วยท่าทีที่คุ้นเคยและผ่อนคลายเป็นอย่างมากอยู่ในตำหนักดงบิน โอรันจิบชาและอมไว้ สายตามองลงต่ำ หลังจากนั้นจึงวางถ้วยชาลง

 

 

“อย่างน้อยนางก็เป็นสตรีในเชื้อพระวงศ์ คงจะไม่ต่างอะไร”

 

 

“หม่อมเคยได้ยินเพียงว่าราชวงศ์นั้นเต็มไปด้วยความรักใคร่สามัคคี จึงไม่เคยคิดสงสัยว่านางจะมีเล่ห์เหลี่ยมอันใด”

 

 

“ราชวงศ์ที่สามัคคีกันอย่างนั้นหรือ ข้างนอกสุกใสข้างในเป็นโพรงทั้งนั้น” โอรันหัวเราะคิกคักออกมาเสียงดัง “จะมีพระราชวังใดในโลกที่จะไม่มีการกำจัดฝ่ายตรงข้ามกัน ลองดูอย่างข่าวลือต่างๆ ที่แพร่สะพัดไปทั่วฮวากุกสิ”

 

 

โอรันทำปากบิดเบี้ยว เมื่อนางพูดเย้ยหยันมากพอแล้วก็เอนตัวเล็กน้อย นางยกมือขวาขึ้นป้องปากไว้แล้วกระซิบกระซาบ ทำท่ามีลับลมคมใน

 

 

“คนพวกนั้นอาจจะสกปรกที่สุดก็เป็นได้ ใครจะรู้”

 

 

โอรันขยับไหล่ทำทีเป็นขนลุกกับสิ่งนั้น ส่วนกโยยองที่นั่งอยู่ตรงหน้านางนั้นได้แต่กัดฟันและไม่มีคำพูดอื่นใด มือที่จับถ้วยชาอยู่บีบแน่นจนสั่นระริก กระทั่งปลายเล็บเปลี่ยนเป็นสีขาว

 

 

 “มีผู้ใดบ้างที่ดูภายนอกใสสะอาดแล้วภายในเป็นเช่นนั้นจริงๆ กลับกันยิ่งต่อหน้าดูใสสะอาด ลับหลังยิ่งสกปรก ผู้ที่ถูกว่าร้ายอย่างพวกเราต่างหากที่พอจะถือได้ว่าเป็นพวกจริงใจ”

 

 

โอรันส่งสายตาที่ทั้งสองรู้กันดี เผยให้เห็นถึงความสนิทสนมของทั้งคู่ การที่โอรันใช้คำพูดสบายๆ ไม่มีพิธีรีตอง และยังพูดคุยแต่เรื่องที่อันตรายนี้ ทำให้รู้ได้ว่านางเข้าๆ ออกๆ ตำหนักดงบินบ่อยกว่าที่คิด แต่กโยยองเองที่เคยไม่ชอบใจเท่าไรเวลาที่นางมาพบ ก็หาได้ตำหนิติเตียนท่าทีล่วงเกินนั่นไม่

 

 

อึก แกร๊ก

 

 

กโยยองดื่มชาภายในอึกเดียวและวางถ้วยชาลง สายตาของนางมองลงไปที่โอรัน เปลือกตาที่ถูกแต่งแต้มอย่างงดงามผิดไปครึ่งหนึ่ง

 

 

“หม่อมฉันคงเข้าใจพระชายาแทจาผิดไปเพคะ ชายาแทจาทรงอ่อนโยนนัก”

 

 

กโยยองเรียกโอรันว่าชายาแทจาอย่างสนิทสนมแทนการเรียกว่าพระชายาแทจา

 

 

“เพราะคำพูดที่ตรงไปตรงมาจึงทำให้ในตอนแรกหม่อมฉันรู้สึกระคายหูนัก ทว่าเมื่อได้รับรู้ถึงความจริงใจของชายาแทจาแล้ว กลับกลายเป็นว่าคำพูดที่ตรงไปตรงมานั้นช่างประเสริฐยิ่งเพคะ”

 

 

“ขอบพระทัยที่ทรงรับรู้ความจริงใจของหม่อมฉัน”

 

 

โอรันตอบกลับด้วยเสียงดังก้อง ในดวงตากลมของนางมีความเย้ยหยันอย่างชัดเจน ดูถูกความจริงใจของกโยซึล แล้วยังกล้าเอ่ยคำว่าจริงใจออกมาจากปากตนอย่างนั้นหรือ

 

 

ช่างเป็นสตรีที่อ่อนแอนัก