ตอนที่ 97-2 เงาที่สั่นไหว

ซ่อนรักเคียงบัลลังก์

ไม่ว่าอย่างไรมันก็ถือเป็นเรื่องดีสำหรับโอรัน เป็นเรื่องที่ดีต่อพระราชวังตะวันตก

 

 

การไปมาหาสู่กันระหว่างตำหนักดงบินกับพระราชวังตะวันตกนั้นมีบ่อยครั้งขึ้น และในช่วงเวลาที่โอรันผู้ที่คอยปลอบโยนกโยยองเรื่อยมาได้สร้างสมความสัมพันธ์กับกโยยองมากพอแล้ว นางก็เปิดประเด็นหนึ่งขึ้น

 

 

“ฮึ ช่างไม่ซื่อสัตย์ และน่าทุเรศนัก”

 

 

“มีเรื่องอันใดหรือเพคะ”

 

 

“จะว่าอย่างไรดีล่ะ” โอรันที่พูดเมื่อสักครู่เกิดอาการลังเลใจ นางโบกมือปัดและหันหน้าไปทางอื่น “ช่างมันเถอะ หากพูดไปปากของข้าจะสกปรกเสียเปล่าๆ”

 

 

“เหตุใดจึงคิดเช่นนั้นเพคะ ความสัมพันธ์ของหม่อมฉันกับชายาแทจานั้นมีสิ่งใดต้องอ้อมค้อมอีกหรือ”

 

 

กโยยองพูดเร่งเร้าโอรัน ทั้งคู่เถียงกันไปสักพักจนโอรันรู้ว่าไม่มีทางชนะจึงพูดขึ้นมา

 

 

“เรื่องที่มีบุรุษเข้าไปที่ในตำหนักดงบีอย่างไรเล่า”

 

 

“บุรุษ…หรือเพคะ”

 

 

“เพราะตอนนี้กโยซึลตั้งครรภ์อยู่จึงทำให้หลับนอนด้วยกันไม่ได้ ฮวางแทจา ฝ่าบาทจึงไม่เสด็จไปหานาง แต่นางนั้นกลับมีความต้องการ”

 

 

“ว่าอย่างไรเพคะ?”

 

 

สีหน้ากโยยองเคร่งขรึมขึ้นทันที สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความโกรธ ความหวาดกลัว ความดูหมิ่นปะปนกันไปหมด

 

 

“เดิมทีนางทำเป็นเหมือนว่าไม่ได้ชื่นชอบเหล่าบุรุษแต่อย่างใด แสร้งทำเป็นไร้เดียงสาเรียบร้อย ยิ่งทำให้ยั่วยวนเหล่าบุรุษโง่ๆ ได้เป็นอย่างดีเชียว”

 

 

กโยยองไม่มีคำพูดใด โอรันอ่านสายตาของนาง แล้วหัวเราะออกมาพร้อมกับส่ายหน้า และพูดต่อ

 

 

“ไม่กลัวฟ้ากลัวสวรรค์กันเลย”

 

 

“…ช่างกล้าดีนัก…กำลังตั้งครรภ์บุตรของฮวางแทจาอยู่แท้ๆ เหตุใดจึงทำตัวสกปรกเช่นนั้น”

 

 

ไม่มีอะไรที่ต้องพูดเสริมอีกแล้ว ความเชื่อใจที่มีให้กโยซึลนั้นพังทลายหมดแล้ว ภายในหัวใจที่แตกเป็นเสี่ยงๆ นั้นแม้แต่เสียงกระซิบก็เป็นเหมือนกับพายุที่ทำให้กโยยองสั่นไหว กโยยองได้บอกว่าจะสังเกตุการกระทำของตำหนักดงบี และจะตรวจสอบข้อเท็จจริงของข่าวลือนี้ ความอิจฉาทำให้ตามืดบอด กโยยองหมกหมุ่นอยู่กับการขุดคุ้ยเรื่องราวของตำหนักดงบียิ่งกว่าผู้ใด

 

 

เรื่องของวังตะวันออก คนภายในย่อมสืบสาวได้ว่องไวและแม่นยำอยู่แล้ว

 

 

“ชายาแทจาเพคะ”

 

 

วันหนึ่งกโยยองเอ่ยออกมาอย่างลำบาก หลายวันมานี้นางเอาแต่ทุกข์ใจอยู่กับสืบเรื่องราว ทว่าคำตอบนั้นมีเพียงหนึ่งเดียว และตอนนี้ก็รอแค่ว่านางจะตัดสินใจได้เมื่อไร ต่อให้เปิดประเด็นแล้วแต่ใจก็เต้นแรงจนยากที่จะพูดออกไป ทว่าในตอนที่นางเปิดประเด็น ไม่สิ การที่นางเชิญโอรันมาที่ตำหนักดงบินนั้น ก็ถือว่าได้ตัดสินใจแล้ว

 

 

“แน่นอนแล้วว่าพระชายาฮวางแทจาทรงมีชู้” ดวงตาของกโยยองเต็มไปด้วยความโกรธแค้น

 

 

“และชู้คนนั้นก็คือ ฮวางเซจาเพคะ”

 

 

ตอนที่โอรันได้ยินคำตอบที่รอฟังอยู่นั้นนางถึงกับตกใจจนแทบหมดสติ ทว่านัยน์ตาก็เต็มไปด้วยความปีติยินดี ยิ่งเป็นคำตอบที่หาได้ มันก็ยิ่งมีประโยชน์มากเท่านั้น นางจงใจพุ่งความสงสัยไปที่บุรุษที่แวะเวียนไปหากโยซึล มากกว่าตัวกโยซึลเอง วังตะวันตกเลือกใช้วิธีที่ลับและแม่นยำโดยที่ตนไม่ต้องเสี่ยงอะไรทั้งสิ้น เหนือสิ่งอื่นใดคือการไขข้อสงสัยได้โดยที่ไม่ต้องลงมือเอง

 

 

หลังจากนั้นคนจากวังตะวันตกก็มักจะเข้าๆ ออกๆ ตำหนักดงบินอยู่เสมอ แม้กระทั่งกโยยองก็เคยพบเจอกับดึกวอลสองต่อสองมาแล้ว ดึกวอลถอนหายใจยาวให้กับเรื่องที่กโยยองนำมาเล่าให้ฟัง และยังพูดจาเรื่องผิดถูกด้วยสีหน้าที่หนักใจ แต่ในขณะเดียวกันก็มีท่าทีเกรงกลัวอยู่ด้วย และนั่นก็ยิ่งช่วยสุมไฟให้กับกโยยอง

 

 

“ควรต้องทำตาม…กฎระเบียบของพระราชวังมิใช่หรือเพคะ”

 

 

กโยยองเชื่ออย่างไม่สงสัยเลยว่าการกระทำของตนเองนั้นถูกต้อง

 

 

***

 

 

เป็นกโยยอง

 

 

ผู้ที่เปิดเผยเรื่องราวการพบกันอย่างลับๆ ของคู่รักที่โง่เขลาคู่นี้คือกโยยอง เรื่องราวความรักของรูแฮกับ

 

 

กโยซึลรู้ถึงหูของวังตะวันตกได้ก็ด้วยปากของนาง ไม่สินางขายข่าวให้กับพวกเขา และตอนนี้กโยยองก็ได้ตระหนักถึงความผิดพลาดที่ได้กระทำลงไปแล้ว

 

 

มันเป็นการกระทำที่น่าอับอาย

 

 

เพราะทั้งหมดทั้งมวลนี้มาจากการกระทำของนาง จึงยิ่งทำให้รู้สึกคลื่นไส้

 

 

“…หม่อมฉันชายารองกโยยอง ขอทูลต่อองค์จักรพรรดิ โปรดทรงปล่อยพระชายาฮวางแทจาและฮวางเซจาไปเถิดเพคะ”

 

 

เมื่อน้ำเสียงที่กลั้นน้ำตาไว้ของกโยยองสิ้นสุดลง ก็มีเสียงพูดขึ้นต่อ

 

 

“หม่อมฉัน ชายาเซจา ฮเยจิน ขอทูลต่อองค์จักรพรรดิ โปรดปล่อยทั้งสองไปเถิดเพคะ”

 

 

“กระหม่อม เซจา บินซอง ขอทูลต่อองค์จักรพรรดิ โปรดประทานพระบรมราชานุญาตให้แก่ความประสงค์ของท่านพี่ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เมื่อฮเยจินที่กำลังมองสถานการณ์อย่างเหม่อลอยก้มศีรษะลง บินซองที่อยู่ข้างๆ ก็ทูลขอต่อองค์จักรพรรดิเหมือนกันกับนาง ออฮยูลเจนั้นมักจะฟังสำเนียงภาษาที่ค่อนเป็นสำเนียงต่างชาติของฮเยจินไม่ค่อยออก การพูดกันออกมาอย่างช้าๆ ด้วยน้ำเสียงที่ฟังแล้วรู้สึกน่าเบื่อนั้น ช่างเหมือนกับฟังคำทำนาย เขาเห็นว่านี่เป็นคำพูดจากปากของเด็กที่ไม่อาจมองข้ามคำพูดของนางได้ ไม่คิดเลยว่าแม้แต่นางก็ยังเห็นดีด้วย

 

 

สายตาของออฮยูลเจมองทุกคนที่ก้มศีรษะอยู่

 

 

“ช่างโง่เขลาเสียจริง”

 

 

เขาสบถออกมา คนพวกนี้คือคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในพระราชวังมาตลอด แต่ถึงกระนั้น ดูเหมือนว่าในใจของพวกเขาก็ยังมีสิ่งที่อ่อนโยนอย่างความรักอันลึกซึ้ง หรือความจริงใจหลงเหลืออยู่ สายตาที่มองไปทางคนเหล่านั้นที่ร้องขออย่างเสี่ยงชีวิตช่างดูเยือกเย็น สายตาที่ค่อยๆ เลื่อนไปอย่างช้าๆ สุดท้ายก็หยุดมองไปที่กโยซึลกับรูแฮ

 

 

ทั้งคู่จับมือกันแน่นราวกับว่าในตอนนี้ไม่มีสิ่งใดต้องเก็บซ่อน หรือต้องเกรงกลัวอีกต่อไป

 

 

ออฮยูลเจหลับตาทั้งสองข้างลง ในเมื่อมีเชื้อพระวงศ์หลายคนร้องขอ เขาก็อาจจะต้องหลับตาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แล้วอนุญาตไป ทว่าออฮยูลเจนั้นคือจักรพรรดิผู้ผ่านการนองเลือดมาอย่างโชกโชน เขาไม่ใช่สตรีในพระราชวังที่ฝันถึงคำว่าศีลธรรมอันอบอุ่น การที่จะขึ้นมาอยู่จุดนี้ได้เขาต้องปลดชีพผู้คนมากมายด้วยความเลือดเย็น ด้วยเหตุนี้การที่จะเอาชีวิตของเด็กทั้งสองไปในช่วงบั้นปลายชีวิตของตนนั้นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด แม้ว่าหนึ่งในนั้นจะเป็นลูกแท้ๆ ของตนก็ตาม แม้จะเป็นลูกที่หวงแหนมากกว่าใครก็ตาม ออฮยูลเจตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้ว

 

 

รอยยิ้มจางหายจากใบหน้า ออฮยูลเจลืมตาขึ้นมาด้วยสีหน้าบึ้งตึง แล้วลุกขึ้นจากบัลลังก์

 

 

“ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จะไม่มีชื่อยูอึลจินอยู่ในลำดับวงศ์ตระกูลดันมกอีกต่อไป”