เสียงนั้นคุ้นเคยยิ่งนัก
จงจิงเฉิน!
จงจิงเฉินไปแคว้นซีอวิ๋นกับหนานกงหว่านเอ๋อร์ เพื่อร่วมงานอภิเษกสมรสระหว่างเยี่ยโยวเหยากับหนานกงลั่วอวิ๋นมิใช่หรือ? เหตุใดเขาถึงมาปรากฏตัวที่นี่?
ต่อให้งานอภิเษกสมรสของเยี่ยโยวเหยากับหนานกงลั่วอวิ๋นไม่ได้ถูกจัดขึ้น ทว่าเขาไม่ควรเดินทางกลับมายังแคว้นหนานหลีได้รวดเร็วถึงเพียงนี้
จงจิงเฉินเดินเข้ามาทีละก้าว… ทีละก้าว… ทีละก้าว
เขาเดินเข้ามาใกล้ทุกที ใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ จนเกือบจะมาถึงฝั่งของซูจิ่นซี มือของนางที่อยู่ข้างลำตัวค่อยๆ กำหมัดแน่น เตรียมพร้อมต่อสู้
ทว่าขณะที่มือของจงจิงเฉินกำลังจะแตะหัวไหล่ของซูจิ่นซี ทันใดนั้น JX3 ก็กำหมัดชกไปที่ใบหน้าของ JX4 อย่างจังจนซูจิ่นซีกระเด็นออกไปด้วย
ทั้งเขายังสบถอีกว่า “บัดซบ กล้าเหยียบข้า ตาบอดหรือ”
ทันทีที่ JX3 พูดจบ JX1กับJX2 ก็กระโดดเข้าไปถีบ JX3 จนกระเด็น
“กล้าดีอย่างไรทำพี่น้องข้า เจ้าไม่ดูว่าข้าคือใคร บัดซบ ตีมันให้ตาย! ”
ชั่วพริบตา ทั้งสี่คนก็ต่อสู้กันต่อหน้าจงจิงเฉิน และผลักดันให้ซูจิ่นซีแฝงตัวเข้าไปในฝูงชน
ผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างหวาดกลัวว่าตนเองจะติดร่างแหไปด้วย ทว่าพวกเขาไม่ได้หลบออกไปไกลนัก เพียงถอยห่างไปไม่กี่ก้าวเท่านั้น เนื่องจากพวกเขาต้องการดูการแสดงฉากเด็ด และเหลือพื้นที่ให้พวก JX ทะเลาะวิวาทกัน
สถานการณ์โกลาหลอยู่พักหนึ่ง
ซูจิ่นซีเข้าใจดีว่าพวก JX กำลังช่วยเหลือนาง นางจึงฉวยโอกาสที่สถานการณ์กำลังวุ่นวาย ค่อยๆ ถอยออกไปด้านหลังฝูงชน พลางครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงใช้มือคลุกโคลนบนพื้นและนำมาทาบนใบหน้า ก่อนจะรีบเดินไปยังทางเข้าประตูเมือง
หากตอนนี้นางวิ่งไปในทิศตรงข้ามกับประตูเมือง แน่นอนว่าเป็นทางเลือกที่ปลอดภัย อย่างไรก็ตาม หากฉวยโอกาสเข้าเมืองตอนที่เกิดเหตุการณ์วุ่นวาย ก็นับว่าเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
“หยุดอยู่ตรงนั้น! ”
ทหารที่ยืนเข้าแถวอยู่หน้าปากทางเข้าประตูเมืองเดินมาขวางทางซูจิ่นซี
“เจ้าคือผู้ใด ออกจากเมืองไปทำอันใด? ”
“ข้าน้อยเป็นคนในจวนฉีอ๋อง มารดาเจ็บป่วย จึงขอลาไปเยี่ยมมารดา”
ซูจิ่นซีในตอนนี้ สวมชุดทะมัดทะแมงเลียนแบบการแต่งตัวของบุรุษ คล้ายกับที่นางแต่งตัวเป็นซูอวิ๋นคายก่อนหน้านี้
“คนในจวนฉีอ๋อง… ”
นายทหารผู้นั้นสังเกตซูจิ่นซีอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เทียบใบหน้าของนางกับภาพวาดบนผนังประตูเมือง และโบกมือปล่อยให้นางเข้าไป
“ขอบคุณนายท่าน ขอบคุณนายท่าน! ”
ซูจิ่นซีรู้สึกยินดีอย่างมาก นางพูดขอบคุณและรีบสับเท้าเข้าไปในเมืองอย่างรวดเร็ว
เดิมทีนางคิดว่าการเข้าเมืองในครั้งนี้ต้องเสียเวลามากเป็นแน่ ไม่คิดว่าท่ามกลางเหตุการณ์วุ่นวายจะเข้าเมืองได้โดยง่าย
ทหารที่คุมปากประตูเมืองเย่หลินอ่อนแอยิ่งนัก
เหล่าทหารที่ปกป้องประตูเมืองมีความสามารถอ่อนด้อย
สาระสำคัญดูได้จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเบื้องหน้า สาระสำคัญคืออันใด สาระสำคัญคือการสะท้อนให้เห็นว่าผู้นำระดับสูงของทหารเหล่านี้อ่อนแออย่างมาก
ใช่แล้ว มู่หรงเฟิงและจงเนี่ยอ่อนแอมากจริงๆ
เมื่อเทียบกับเยี่ยโยวเหยา ก็เปรียบดั่งฟ้ากับดิน
ซูจิ่นซีเดินไปพลางส่ายศีรษะสมเพชผู้นำระดับสูงของแคว้นหนานหลีอย่างมู่หรงเฟิงอยู่ในใจ
ทว่าความจริงได้ยืนยันแล้วว่า หากอวดดีเกินไป แม้แต่สวรรค์ก็ไม่เข้าข้าง
ขณะที่ซูจิ่นซีเดินผ่านประตูเมืองไปได้ไม่กี่ก้าว เรื่องเลวร้ายก็เกิดขึ้นอีกครั้ง
“หยุดก่อน! ”
เสียงของจงจิงเฉินดังขึ้นจากทางด้านหลัง เสียงเรียกในครั้งนี้ไม่เย็นชาเหมือนครั้งที่แล้ว เขาตั้งใจลากเสียงยาวในช่วงท้าย ทั้งน้ำเสียงยังแฝงไว้ด้วยความดุดัน
ซูจิ่นซีรู้สึกสันหลังเย็นวาบ นางหยุดเดินในทันที
บัดซบ!
ไม่มีเรื่องที่เลวร้ายที่สุด มีเพียงเรื่องที่เลวร้ายมากกว่าเดิมเท่านั้น
ครั้งนี้นางต้องเผชิญหน้าเพียงผู้เดียว ไม่มีพวก JX ไม่มีใครช่วยนางได้อีกแล้ว
จงจิงเฉินเดินเข้ามาทีละก้าว… ทีละก้าว… ทีละก้าว
เสียงฝีเท้าหนักแน่นทางด้านหลังค่อยๆ เดินเข้ามาหานาง จังหวะก้าวแต่ละครั้งราวกับเสียงกลองที่กระแทกลงมาในหัวใจ
บริเวณหน้าผากและใจกลางฝ่ามือของซูจิ่นซี มีเม็ดเหงื่อเล็กๆ ผุดขึ้นมา
ทันใดนั้น ขณะที่จงจิงเฉินอยู่ห่างจากซูจิ่นซีไม่ถึงสามก้าว ซูจิ่นซีก็รีบยกเท้าเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
หลบหนี…
หนีได้ก็ต้องรีบหนี หากหลบหนีไม่ได้ค่อยหาวิธีอื่น
คนโง่ก็คิดออก เรื่องบานปลายมาถึงจุดนี้แล้ว ซูจิ่นซีจะหนีรอดไปได้อย่างไร
ซูจิ่นซีวิ่งไปได้ไม่ไกลเท่าไรนัก ก็ถูกจงจิงเฉินที่ไล่ตามมาบีบหัวไหล่อย่างหนัก
จงจิงเฉินเป็นศิษย์ในสำนักแพทย์ ทั้งยังเป็นวรยุทธ์เล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ไม่รู้ว่าเขาไปเอาพลังมาจากที่ใด จึงบีบสตรีเอวบางร่างน้อยอย่างซูจิ่นซีจนแทบจะล้มลงกับพื้น
ซูจิ่นซีรู้สึกขุ่นเคืองใจ มือที่อยู่ภายใต้แขนเสื้อกำหมัดแน่น นางรวบรวมพลังภายในเพื่อโจมตีจงจิงเฉิน ทว่าขณะที่นางหันหลังกลับไปเห็นแววตาหยั่งเชิงของจงจิงเฉิน นางกลับคลายมือออก ท่าทางดุดันพร้อมต่อสู้แปรเปลี่ยนเป็นอ่อนแอหวาดกลัว
จงจิงเฉินหรี่ตาลงเล็กน้อย เขาครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดว่า “เจ้าเป็นใคร? ข้าเคยพบเจ้าที่ใดหรือไม่? ”
ซูจิ่นซีครุ่นคิดด้วยความฉับไว นางคิดอย่างรอบคอบแล้วจึงพูดว่า “ข้าน้อยเคยพบคุณชายจิงเฉิน! คุณชายจิงเฉิน ข้าน้อยเบาปัญญา เคยพบกับคุณชายจิงเฉินครั้งหนึ่งจริงๆ ” ซูจิ่นซีพูดพลางชี้ไปทางหอโอสถสกุลจง “ก่อนหน้านี้ไม่นาน ข้าน้อยเดินตามจวิ้นจู่อยู่ด้านหลัง และพบคุณชายจิงเฉินเพิ่งกลับมาจากสำนักแพทย์เทียนอีขอรับ”
จงจิงเฉินหรี่ตามองซูจิ่นซีครู่หนึ่ง แววตาเย็นชาปรากฏความอ่อนโยนขึ้นมาหลายส่วน เขาปล่อยมือที่บีบหัวไหล่ซูจิ่นซี ก่อนจะยืนเอามือไพล่หลัง แสดงท่าทีหยิ่งทะนง
“ข้าก็ว่า! ที่แท้เจ้าก็เป็นบ่าวรับใช้คนใหม่ที่หลิงเซียวรับเข้ามา”
ซูจิ่นซีจงใจแย้มยิ้มอย่างมีมารยาท นางแสดงกิริยานอบน้อม และรีบพยักหน้าโค้งตัวตอบรับคำจงจิงเฉิน “ใช่ขอรับ! ใช่ขอรับ! เป็นข้าน้อยเองขอรับ!”
แววตาของจงจิงเฉินเผยให้เห็นความดูแคลน เขาใช้หางตามองซูจิ่นซี ใบหน้าปรากฏความรังเกียจ
“เห็นท่าทางของเจ้ามอมแมมดั่งสุนัขข้างถนน ดูไม่มีสง่าราศีแม้แต่น้อย สายตาของหลิงเซียวยิ่งอยู่ยิ่งแย่ลงทุกที”
บัดซบ เจ้านั่นแหละเหมือนสุนัขข้างถนน
ซูจิ่นซีโมโหจนกัดฟันกรอด ในใจอยากจะเหยียบจงจิงเฉินให้จมดินด้วยเท้าของตนเอง ทว่าใบหน้าของนางยังคงแย้มยิ้มด้วยความนอบน้อม
“ออกจากเมืองไปทำอันใด? ” จงจิงเฉินถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“จวิ้นจู่ประสงค์จะดื่มสุราหมักจากหมู่บ้านนอกเมือง ข้าน้อยจึงออกนอกเมืองไปซื้อมาให้จวิ้นจู่ขอรับ ทว่าวันนี้เถ้าแก่หอสุราออกไปเยี่ยมญาติที่แดนไกล จึงไม่ได้ซื้อกลับมาขอรับ”
แม้จงจิงเฉินจะเดินตามติดหนานกงหว่านเอ๋อร์ทั้งวัน ทว่าเขากลับดูถูกและไม่เห็นซูจิ่นซีอยู่ในสายตา สีหน้าของเขายิ่งแสดงออกถึงความเหยียดหยาม ทั้งยังใช้หางตามองซูจิ่นซีอีกครั้งโดยไม่พูดอันใด จากนั้นจึงหันหลังเดินไปด้านนอกประตูเมือง เพื่อทำหน้าที่ป้องกันประตูเมืองและจับผู้ร้ายต่อ
แววตาของซูจิ่นซีปรากฏความดุดัน ทว่าใบหน้ายังคงแย้มยิ้มอย่างนอบน้อม “คุณชายจิงเฉิน หากไม่มีอันใดแล้ว ข้าน้อยขอตัวก่อนนะขอรับ จวิ้นจู่ยังรอข้าน้อยอยู่ที่จวน! ”
ซูจิ่นซีเห็นจงจิงเฉินนิ่งเงียบไม่พูดอันใด จึงหันหลังกลับ และสับเท้าเดินจากไปอย่างรวดเร็วดั่งสายลม
ขณะที่จงจิงเฉินกับซูจิ่นซีสนทนากัน พวกเขาพูดคุยกันอย่างเปิดเผย ไม่ได้หลบเลี่ยงผู้ใด ทั้งยังคุยกันด้วยเสียงที่ดังเป็นปกติ ทหารที่คุ้มกันอยู่หน้าประตูเมืองต่างได้ยินอย่างชัดเจน
เมื่อจงจิงเฉินเดินมาถึงด่านตรวจหน้าประตูเมือง ทหารนายหนึ่งก็เกาศีรษะด้วยท่าทางสงสัย
“เจ้านั่นบอกว่าตนเป็นคนจากจวนฉีอ๋อง ทั้งยังกลับไปเยี่ยมมารดาที่เจ็บป่วยไม่ใช่หรือ? ทว่าเหตุใด ตอนที่คุณชายถาม เขาจึงตอบว่าเป็นคนจากจวนจวิ้นจู่เล่าขอรับ? ”