เล่มที่ 18 เล่มที่ 18 ตอนที่ 533 ฮูหยินเฒ่าหานคือผู้ใด?

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

หลังสิ้นเสียงคำพูดของทหารนายนั้น จงจิงเฉินพลันแสดงสีหน้าบึ้งตึง สายตาของเขายังคงจับจ้องซูจิ่นซีที่กำลังหลบหนี

“จับตัวคนผู้นั้นเดี๋ยวนี้! ”

เหล่าทหารรับคำสั่ง และรีบวิ่งเข้าหาซูจิ่นซี

จงจิงเฉินเหาะขึ้นอย่างรวดเร็วจนน่าประหลาดใจ ก่อนจะมาปรากฏกายอยู่เบื้องหน้าขวางทางซูจิ่นซี เขาใช้กระบี่ยาวชี้ไปที่ระหว่างคิ้วของซูจิ่นซีด้วยสายตาเย็นชา

“เจ้าเป็นผู้ใดกันแน่? ”

แววตาของซูจิ่นซีเผยให้เห็นความเย็นชาร้ายกาจอย่างที่น้อยครั้งจะปรากฏให้เห็น มือที่ซ่อนไว้ภายใต้แขนเสื้อ หนีบเข็มเงินอาบยาพิษไว้ทั้งห้านิ้ว

ทว่าใบหน้าของนางกลับแย้มยิ้มอ่อนโยน

“คุณชายรองเคยถามแล้วไม่ใช่หรือ? ข้าน้อยคือคนในจวนจวิ้นจู่ แซ่ซู! ”

“ในเมื่อเป็นคนของจวิ้นจู่ เหตุใดตอนผ่านด่านตรวจเจ้าถึงบอกว่าตนเองเป็นคนของจวนฉีอ๋องเล่า? ”

“พี่ชายทหาร พวกท่านฟังผิดแล้วกระมัง? ข้าน้อยพูดว่าตนเองเป็นคนของจวนจวิ้นจู่ ข้าพูดว่าตนเองเป็นคนของจวนฉีอ๋องเมื่อใดกัน? ”

ซูจิ่นซีมีท่าทีนิ่งเฉย นางตั้งใจพูดจาเล่นลิ้นเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ ก่อนจะค่อยๆ ยกเข็มเงินและเล็งไปที่จุดตายบนร่างกายของจงจิงเฉิน

สำนักโอสถสกุลจงไม่อาจได้รับการละเว้น ไม่ช้าก็เร็ว สำนักแพทย์และสำนักโอสถต้องเปิดศึกระหว่างกัน ดังนั้นซูจิ่นซีต้องจัดการตัวหายนะอย่างจงจิงเฉินเสียก่อน อย่างไรเสีย คนผู้นี้ก็เลวร้ายเช่นเดียวกับหนานกงหว่านเอ๋อร์ จิตใจไร้คุณธรรม ไม่มีทางทำเรื่องดีได้เป็นแน่

นอกจากนั้น ที่จงจิงเฉินหยาบคายกับซูจิ่นซีเมื่อครู่ ซูจิ่นซีจำฝังใจได้ทุกคำพูด นางจดจำแค้นนี้ได้อย่างชัดเจน!

ทว่าขณะที่ซูจิ่นซีกำลังจะลงมือ ทันใดนั้น ด้านหลังของนางก็เกิดเสียงดังอึกทึก

รถม้าสองคันวิ่งมาจากทางนอกเมืองด้วยความเร็วดุจสายฟ้า และพุ่งเข้าชนผู้คนจำนวนไม่น้อยที่อยู่ข้างทาง แม้แต่ด่านตรวจประตูเมืองเหลียนเฉิงก็ไม่สามารถขัดขวางไว้ได้ รถม้าคันนั้นพุ่งเข้าชนด่านตรวจและบรรดาทหารที่เข้ามายืนขวางทาง ทั้งยังเพิ่มความเร็วพุ่งตรงมาทางจงจิงเฉินและซูจิ่นซี

ดูเหมือนม้าจะเกิดอาการตกใจ ทั้งคนขับรถม้าก็ไม่ได้อยู่บนนั้น

ด้านในรถม้า หญิงชราผมขาวนางหนึ่งมีท่าทีตื่นตระหนก นางยื่นมือออกมาด้านนอกรถเพื่อขอความช่วยเหลือ ทว่าไม่ทันไรก็ถูกสะบัดกลับเข้าไปในรถม้า

สถานการณ์ของหญิงชราที่อยู่ด้านในรถม้าก็อันตรายมากพออยู่แล้ว ทว่ายังมีเด็กอายุราวสองถึงสามขวบวิ่งออกมากลางถนนอีก

ขณะที่ฝีเท้าม้าวิ่งมาอย่างรวดเร็วและกำลังจะเหยียบเด็กน้อยคนนั้น ฝูงชนตามท้องถนนพลันร้องอุทาน พวกเขาชะงักงันจนแทบจะหยุดหายใจ ทว่าไม่มีผู้ใดสามารถเข้าไปหยุดรถม้าหรือช่วยเหลือเด็กคนนั้นได้

ท่ามกลางเสียงร้องอย่างตื่นตระหนกของฝูงชน เท้าม้าลอยขึ้นกลางอากาศ และกำลังจะเหยียบลงบนศีรษะของเด็กคนนั้น

ในช่วงเวลาวิกฤต ลำแสงกระบี่พลันปรากฏขึ้น ม้าตัวนั้นเชิดหน้าแผดเสียงร้องดังลั่น เลือดสีแดงฉานพุ่งทะลัก และมันก็พลิกตัวล้มลงไปนอนบนพื้น

จากนั้น เจ้าของกระบี่ก็พุ่งเข้าไปในรถม้าก่อนที่มันจะพลิกคว่ำ และช่วยหญิงชราออกมาจากรถม้าได้ทันเวลา

ขณะเดียวกัน ฮูหยินนางหนึ่งที่ยังไม่หายจากอาการตกใจ ก็รีบวิ่งไปกลางถนนและอุ้มเด็กน้อยขึ้นมา

“ลูกแม่ เจ้าเป็นอันใดหรือไม่! เจ้าเกือบทำให้แม่หัวใจวายตาย! ”

เมื่อเด็กคนนั้นเห็นมารดาตนเองก็ร้องไห้ออกมาเสียงดัง

ฮูหยินผู้นั้นใบหน้าซีดเผือด นางอุ้มเด็กน้อยไว้ในอ้อมแขนพลางกล่าวขอบคุณเจ้าของกระบี่ และเดินหลบไปข้างถนน

ทว่าเจ้าของกระบี่นั้นหาใช่ซูจิ่นซี กลับเป็นจงจินเฉิน

จงจิงเฉินวางฮูหยินเฒ่าลงบนพื้น เขากำลังจะไล่ตามซูจิ่นซีที่วิ่งปะปนไปในฝูงชน ทว่าฮูหยินผู้นั้นกลับมองม้าที่นอนจมกองเลือดด้วยสีหน้าตกตะลึง และคว้าคอเสื้อของจงจิงเฉินไว้ทันที

“เจ้า… เจ้าช่างใจกล้ายิ่งนัก เจ้ากล้าฆ่าฮว่อเอ๋อร์ ม้าล้ำค่าของข้า เจ้าต้องชดใช้ ต้องชดใช้ให้ข้า! ”

จิงจงเฉินคิดจะสะบัดตัวออกจากมือของหญิงชรา ทว่านางจับคอเสื้อของเขาไว้แน่น เมื่อต้องเผชิญหน้ากับหญิงชราอายุราวเจ็ดสิบแปดสิบปี จิงจงเฉินไม่สามารถใช้กำลังกับนางได้ เขาทำได้เพียงกัดฟันกรอดและมองซูจิ่นซีวิ่งไกลออกไปเรื่อยๆ

“ยายแก่น่ารังเกียจ เจ้าปล่อยมือ ข้ามีเรื่องต้องจัดการ! ”

หญิงชราได้ยินเช่นนั้นก็เดือดดาลทันที

“เจ้า… เจ้ากล้าดีอย่างไรมาด่าข้า! ได้! ได้! ได้! วันนี้ข้ากับเจ้าต้องเห็นดีกัน! ”

จงจิงเฉินเผยแววตาเย็นชา เขาพูดว่า “ยายแก่น่ารังเกียจ เจ้าอย่ามองข้ามความหวังดีของผู้อื่น หากข้าไม่เข้าไปช่วยเจ้า เจ้าคงตายไปนานแล้ว”

จงจิงเฉินไม่คิดว่าความหวังดีที่ช่วยเหลือฮูหยินเฒ่าผู้นี้ จะทำให้ตนรู้สึกหงุดหงิดและโมโหมากกว่าฮูหยินเฒ่าเสียอีก

เขาคิดพลางใช้กำลังเพียงเล็กน้อยผลักนางออกไปโดยไร้ความปราณี

ฮูหยินเฒ่าวัยเจ็ดสิบแปดสิบปีถูกจงจิงเฉินผลักจนล้มลงกับพื้น นางไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้ชั่วครู่ ฝูงชนโดยรอบที่เห็นเหตุการณ์ต่างแสดงท่าทีเป็นกังวล

“เกิดอันใดขึ้น หรือว่านางจะล้มจนเจ็บหนักไปแล้ว! ”

“พูดยาก อายุปูนนี้แล้ว จะทนไหวได้อย่างไร? ”

“โอ้ย ตายแล้ว! สงสัยจะล้มจนเจ็บหนัก! รีบพาไปร้านยาเดี๋ยวนี้ หากชักช้านางอาจเสียชีวิตเอาได้! ”

จงจิงเฉินเห็นเช่นนั้นพลันขมวดคิ้วเครียด ทว่าเมื่อนึกถึงซูจิ่นซีที่วิ่งหนีไปไกลแล้ว ภายในใจก็ปรากฏความรู้สึกโหดเหี้ยม เขาจึงหันหลังวิ่งไล่ตามซูจิ่นซีไป โดยไม่คิดจะชายตามองฮูหยินเฒ่าผู้นั้นแม้แต่น้อย

อย่างไรก็ตาม ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าฮูหยินเฒ่าที่ราวกับกำลังจะขาดใจตายกลับลุกขึ้นยืนอีกครั้ง และกอดขาของจงจิงเฉินเอาไว้

“ทุกท่านตัดสินเอาเถิด บุรุษผู้นี้ลงมือกับฮูหยินเฒ่าเช่นข้าก็ยังพอทำเนา แต่ไม่คิดว่าเขาจะฆ่าม้าล้ำค่าที่ได้รับพระราชทานมาจากฮ่องเต้ นี่เป็นความผิดโทษตัดศีรษะ หากปล่อยให้เขาหนีไป ข้าจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร! ”

เมื่อได้ยินว่าม้าที่ตายเป็นม้าพระราชทาน ทุกคนต่างพากันตกตะลึง และมองไปยังม้าที่นอนตายอยู่บนพื้น

สิ่งของที่ได้รับพระราชทานจากราชวงศ์ล้วนเป็นของล้ำค่า ไม่ต้องพูดถึงกรณีที่ถูกผู้อื่นฆ่าตาย แม้จะแก่ตายก็ต้องบันทึกข้อมูลลงในส่วนงานทะเบียน อีกทั้งขั้นตอนยังยุ่งยากซับซ้อน

หากประพฤติผิด อาจได้รับโทษตัดศีรษะทั้งตระกูล

ครู่หนึ่ง ผู้คนก็เริ่มส่งเสียงดังอึกทึกและพากันวิพากษ์วิจารณ์ บ้างก็ประณามจงจิงเฉินว่าหยาบคายต่อฮูหยินเฒ่า ทว่ายังมีคนเห็นอกเห็นใจจงจิงเฉินและตำหนิฮูหยินเฒ่า พวกเขารู้สึกว่าจิงจงเฉินให้ความช่วยเหลือผิดคน

นอกจากนั้น ฝูงชนยังให้ความสนใจเรื่องนี้อย่างมาก

ม้าพระราชทาน?

ฮูหยินเฒ่าผู้นี้คือใครกัน?

เมื่อมองจากการแต่งตัว แม้จะดูมีฐานะมากกว่าชาวบ้านทั่วไป ทว่าไม่ได้สูงศักดิ์เท่าไรนัก เหตุใดนางถึงมีม้าพระราชทานอยู่กับตัวได้

เมื่อนึกมาถึงจุดนี้ คนผู้หนึ่งก็เดินเข้าไปใกล้เพื่อพิจารณาฮูหยินเฒ่าอย่างละเอียด

ดวงตาของเขาพลันเปล่งประกาย “โอ้ ท่านคือฮูหยินเฒ่าหานจากสำนักแพทย์สกุลจงใช่หรือไม่? ”

สำนักแพทย์สกุลจง?

เป็นชื่อที่ได้ยินเมื่อนานมาแล้ว นานจนแทบจะเป็นเรื่องในอดีตชาติ หากคนผู้นั้นไม่ได้เอ่ยถึง ทุกคนคงลืมไปแล้วว่าแคว้นหนานหลียังมีสำนักแพทย์และสำนักโอสถ

สำหรับคำว่า ‘ฮูหยินเฒ่าหาน’ คำนี้อยู่ในความทรงจำของผู้คน แม้จะเนิ่นนานเฉกเช่นเดียวกับคำว่า ‘สำนักแพทย์สกุลจง’ ทว่าคำนี้ได้ทิ้งแสงสว่างไว้ในความทรงจำและกาลเวลา ทั้งยังยาวนานยิ่งกว่าคำว่า ‘สำนักแพทย์สกุลจง’ และเจิดจรัสยิ่งกว่า ‘สำนักแพทย์สกุลจง’ เสียอีก

ใช่แล้ว ฮูหยินเฒ่าหานแห่งสำนักแพทย์สกุลจง ยามที่นางยังเยาว์วัย นับได้ว่าเป็นคนที่มีชื่อเสียงโด่งดัง

เมื่อได้ยินคำว่า ‘ฮูหยินเฒ่าหาน’ ภาพหญิงงามในอดีตก็ปรากฏขึ้นในความคิดของทุกคน ความงดงามที่ยากจะหาผู้ใดเปรียบ จนพวกเขาอดหันไปมองฮูหยินเฒ่าหานอย่างละเอียดอีกครั้งไม่ได้

แม้กาลเวลาจะเปรียบดั่งดาบฆ่าหมู ทว่ากาลเวลากลับไม่สามารถเอาชนะสาวงามได้

แม้บนใบหน้าของฮูหยินเฒ่าหานจะปรากฏร่องรอยแห่งกาลเวลา ทว่ามันไม่อาจลดทอนเสน่ห์ในอดีตได้เลย

“โอ้ เป็นฮูหยินเฒ่าหานจริงๆ ! “