“ใช่ เป็นฮูหยินเฒ่าหานจริงๆ ! ”
“ฮูหยินเฒ่าหาน ท่านหกล้มเป็นอย่างไรบ้าง? ”
“ฮูหยินเฒ่าหาน ท่านรีบลุกขึ้นเถิด! ”
ในตอนนั้น สำนักโอสถไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังเช่นนี้ สำนักแพทย์ก็ไม่ได้ตกต่ำพ่ายแพ้ถึงเพียงนี้ ฮูหยินเฒ่าหานมีบุญคุณกับคนในเมืองเย่หลินไม่น้อย
ผู้คนที่จดจำบุญคุณของฮูหยินเฒ่าหานได้ ต่างรีบเข้ามาประคองฮูหยินเฒ่าหาน
ฮูหยินเฒ่าหานลุกขึ้นยืน ทั้งยังจับเสื้อของจงจิงเฉินไว้แน่น ดวงตาแก่ชราทว่าดำขลับงดงามพลันหรี่ลง ขณะที่มองใบหน้าของจงจิงเฉิน แววตาของนางก็เผยให้เห็นความเจ้าเล่ห์
ในเวลานี้ จงจิงเฉินอดสังเกตปฏิกิริยาของฮูหยินเฒ่าหานไม่ได้
แม้จะเป็นคนในตระกูลจงเช่นเดียวกัน ทว่าจงจิงเฉินถูกส่งไปที่สำนักแพทย์เทียนอีตั้งแต่ยังเล็ก จึงไม่เคยเห็นฮูหยินเฒ่าหานตัวจริง
ทว่าเขาเคยได้ยินชื่อเสียงของฮูหยินเฒ่าหานมาบ้าง และล่วงรู้มาบ้างว่าฮูหยินเฒ่าหานไม่ใช่คนธรรมดา
ใช่แล้ว ฮูหยินเฒ่าหานไม่ธรรมดาจริงๆ
ก่อนหน้านี้ หากยังไม่รู้ชื่อเสียงของนางก็ยังพอทำเนา ทว่าเมื่อได้ยินชื่อของนางและได้พบตัวจริง ก็รู้สึกว่าบนตัวนางมีราศีมหัศจรรย์บางอย่างปรากฏขึ้น
แม้เสื้อผ้าที่นางสวมใส่จะไม่ใช่ของล้ำค่า ทว่าบุคลิกของนางกลับสูงศักดิ์เพียบพร้อม ทั้งยังมีรัศมีโดดเด่น นางยืนอยู่ตรงนั้น ทว่ากลับทำให้จงจิงเฉินที่เป็นถึงคุณชายรองแห่งสำนักโอสถสกุลจงต้องตกใจอย่างน่าประหลาด
“ท่าน… ท่านคือฮูหยินเฒ่าหานจริงๆ หรือ? ”
ฮูหยินเฒ่าหานกระชากเสียงเย็นชา พลางปัดเสื้อผ้าเล็กน้อยอย่างวางมาด “หึ จงซูอี้สั่งสอนหลานตนเองเช่นนี้หรือ? ”
ประการแรก อย่างไรเสียนางก็เป็นผู้อาวุโสในตระกูลเดียวกัน ประการที่สอง รอบข้างยังมีฝูงชนมุงดูจำนวนมาก จงจิงเฉินเป็นคนที่รักหน้าตาและชื่อเสียงของตน เขาไม่มีทางไร้มารยาทกับฮูหยินเฒ่าหานต่อหน้าฝูงชน จึงทำความเคารพฮูหยินเฒ่าหานด้วยท่าทีนอบน้อม
“หลานจิงเฉิน คำนับท่านย่า! ”
ฮูหยินเฒ่าหานไม่มีทางหลงกลท่าทีเช่นนี้ของจงจิงเฉิน นางมองจงจิงเฉินด้วยสายตาเย็นชามากยิ่งขึ้น
“อย่าคิดว่าเจ้าเรียกข้าว่าท่านย่าแล้ว เจ้าจะไม่ต้องชดใช้เรื่องม้าพระราชทานตัวนั้น ความผิดที่ควรได้รับก็ต้องได้รับ สิ่งที่ควรชดใช้ก็ต้องชดใช้! ”
จงจิงเฉินตกตะลึง ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกสันหลังเย็นวาบ
วังหลวงเคยพระราชทานม้าล้ำค่าให้สำนักแพทย์ สมัยที่ฮ่องเต้ยังทรงพระเยาว์ พระองค์เคยทรงม้าตัวนั้นมาก่อน จากนั้นจึงมอบให้จงซีจือ ท่านอารองแห่งสำนักแพทย์สกุลจง เรื่องนี้จงจิงเฉินเคยได้ยินมาแล้ว
อย่างไรก็ตาม ไม่คาดคิดว่าจะเกิดเรื่องบังเอิญที่ผิดพลาดเช่นนี้ ม้าตัวนั้นกลับตายด้วยน้ำมือของเขา
ตามกฎหมายของแคว้นหนานหลี การสังหารม้าพระราชทานมีโทษประหาร
เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ จงจิงเฉินพลันขมวดคิ้วเครียด
ทว่าความคิดของเขากลับหมุนวนอย่างฉับไว และคิดหาหนทางรอดได้อย่างรวดเร็ว ‘เวลานี้ ฝ่าบาทมิได้ประทับในวังหลวง แม้บิดาจะได้รับบาดเจ็บ ทว่ายังมีอำนาจในราชสำนัก ทั้งยังมีท่านมหาอุปราช… วังหลวงไม่มีทางมอบโทษประหารให้เขาอย่างแน่นอน’
จงจิงเฉินคิดมาถึงตรงนี้ ความกังวลภายในใจก็คลายลงไม่น้อย เขาแสร้งทำท่าทียอมรับความผิด “หลานน้อมรับคำสั่งสอนของท่านย่า วันนี้หลานกระทำการโดยประมาท หลังจากนี้ หลานจะไปรับโทษที่กรมอาญา ความผิดที่ควรรับ สิ่งที่ควรชดใช้ หลานพร้อมรับผิดชอบทั้งหมด”
หานฮูหยินเป็นคนฉลาดหลักแหลม เหตุใดนางจะดูไม่ออกว่าจงจิงเฉินกำลังพูดจาโยกโย้กับนาง
ทว่าเป้าหมายที่นางปรากฏตัวในครั้งนี้ ไม่ใช่เพื่อโต้แย้งกับจงจิงเฉิน นอกจากนั้น เป้าหมายของนางได้สำเร็จลุล่วงแล้ว นางจึงไม่คิดโต้เถียงอันใดกับจงจิงเฉินอีก
“ในเมื่อเจ้าเข้าใจแล้วก็ดี ถึงเวลาเจ้าก็ไปที่กรมอาญา อย่าลืมพูดแทนสำนักแพทย์ของข้าสักประโยค การตายของม้าพระราชทานตัวนั้น ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับสำนักแพทย์! ”
ไม่คิดว่าฮูหยินเฒ่าหานจะโต้เถียงอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ จงจิงเฉินตกตะลึงเล็กน้อย ทว่าเขายังพูดตอบรับคำอย่างนอบน้อม “แน่นอน! ”
ยามนี้ คนขับรถม้าของฮูหยินเฒ่าหานก็วิ่งเข้ามาจากทางนอกเมือง เขาวิ่งจนหอบหายใจไม่ทัน ทั้งใบหน้ายังซีดขาว
“ฮูหยินเฒ่า ท่านไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่? บ่าวสมควรตาย บ่าวสมควรตาย บ่าวไม่ควรปล่อยให้ฮูหยินอยู่บนรถม้าเพียงลำพัง บ่าวผิดไปแล้ว ฮูหยินเฒ่าได้โปรดลงโทษบ่าวด้วยเถิด”
“ไม่เป็นไร ข้าไม่เป็นอันใดมาก เจ้าไปจัดการรถม้าเถิด กลับไปค่อยว่ากัน! ”
“ขอรับ!”
คนขับรับคำและรีบไปจัดการรถม้า
ฝูงชนที่เคารพในตัวฮูหยินเฒ่าล้วนเต็มใจเข้าไปช่วยเหลือ ไม่นานนักรถม้าก็กลับมาอยู่ในสภาพเดิม ทั้งยังเปลี่ยนม้าใหม่หนึ่งตัว
ฮูหยินเฒ่าไม่สนใจจงจิงเฉินอีกต่อไป นางขึ้นไปบนรถม้า จากนั้นรถม้าก็วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
แน่นอนว่าม้าพระราชทานที่นอนตายจมกองเลือดอยู่ตรงนั้น จงจิงเฉินต้องเป็นคนจัดการ
ไม่ว่าภายในใจจะคิดเช่นไร ทว่าใบหน้าของจงจิงเฉินยังคงแสดงออกอย่างเคารพนบนอบตลอดเวลา
อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นว่ารถม้าคันนั้นค่อยๆ วิ่งลับสายตาไป แววตาของจงจิงเฉินก็แปรเปลี่ยนในทันที ดูเหมือนเขาจะคิดบางอย่างขึ้นมาได้ เขาหันไปมองม้าพระราชทานที่นอนตายจมกองเลือด แววตาค่อยๆ ปรากฏความเย็นชา
ในเมื่อเป็นม้าพระราชทานอันล้ำค่า เป็นไปไม่ได้ที่จะนำออกมาข้างนอก
เขาหลงกลหญิงชราแห่งสำนักแพทย์เข้าแล้ว!
หญิงชราจงใจใช้ข้ออ้าง ‘ม้าพระราชทาน’ มาตบตาเขา เพื่อให้เวลาซูอวิ๋นคายได้หลบหนีจากเหตุการณ์ชุลมุน
ทว่าจงจิงเฉินเพิ่งนึกได้ในตอนนี้ ก็สายเกินไปเสียแล้ว ซูจิ่นซีหลบหนีจากการจับกุมของเหล่าทหารได้สำเร็จ ไม่เห็นแม้แต่เงา
จงจิงเฉินเพิ่งตระหนักเมื่อเหตุการณ์ผ่านพ้นไปแล้ว เขากำหมัดแน่น เดือดดาลจนดวงตาแดงก่ำ
ทหารที่วิ่งไล่ตามซูจิ่นซีกลับมาพอดี พวกเขาประสานมือคำนับจงจิงเฉิน
“คุณชายรอง! ”
เมื่อเห็นทหารเหล่านั้นก้มหน้าด้วยท่าทีหดหู่ จงจิงเฉินก็รับรู้ได้ทันทีว่าผลลัพธ์เป็นอย่างไร คน… ได้หลบหนีไปแล้ว
เขากำหมัดแน่นขึ้น ดวงตาทั้งสองแดงก่ำจนผู้ที่พบเห็นต้องหวาดกลัว
“รีบออกไปตามหา ต่อให้ต้องค้นบ้านทุกหลัง พลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน ก็ต้องจับตัวมาให้ข้า! ”
“ขอรับ! ”
ทหารทุกนายต่างไม่กล้าชักช้า พวกเขารีบตอบรับคำ และออกไปตามหาคนตามคำสั่ง ทว่าเดินไปได้ไม่กี่ก้าว จงจิงเฉินก็ตะโกนเรียกให้พวกเขากลับมาอีกครั้ง
“กลับมา! ”
ทุกคนต่างหยุดเดิน รอฟังคำสั่งของจงจิงเฉิน
“ส่งคนไปจับตาจวนฉีอ๋องให้ดี”
หัวหน้าทหารนายหนึ่งแสดงท่าทีลังเล ทว่าเขายังคงพูดออกมา
“ทว่า… คุณชายรอง เราได้ส่งคนไปคอยจับตาที่จวนฉีอ๋องแล้วนะขอรับ”
“ส่งคนไปเพิ่ม ส่งคนสกุลจงที่เหลือทั้งหมดไปด้วย อย่าให้แมลงวันแม้แต่ตัวเดียวเล็ดลอดจากจวนฉีอ๋อง! ”
“ขอรับ! ”
ที่จงจิงเฉินพยายามตามจับซูจิ่นซี ไม่ใช่เพราะนางเป็นคนที่อยู่ในประกาศจับของทางการเท่านั้น ทว่ายังมีอีกหนึ่งสาเหตุ เนื่องจากเขารู้สึกคุ้นหน้านางยิ่งนัก เหมือนเคยพบนางที่ใดสักแห่ง
เคยพบนางที่ใดกันแน่… เขาเองก็ยังไม่แน่ใจนัก
ทว่าสัญชาตญาณได้ย้ำเตือนให้เขากระตือรือร้นและตามจับตัวนางมาให้ได้ เพื่อค้นหาคำตอบที่แท้จริง
อย่างไรก็ตาม แม้เขาจะส่งคนไปเฝ้าจวนฉีอ๋องอย่างแน่นหนาก็ไร้ประโยชน์ เพราะครั้งนี้ซูจิ่นซีไม่ได้กลับไปที่จวนฉีอ๋อง
เพราะตอนที่ซูจิ่นซีหลบหนีจากการไล่จับของทหารเฝ้าประตูเมือง นางถูกคนอีกกลุ่มหนึ่งจับตัวไป
คนที่จับนางไปเป็นผู้ใด?
เวลานี้นางอยู่ที่ใด?