พละกำลังเต็มพิกัด
คำพูดนั้นทำให้ชายหนุ่มโมโหเดือด ความโกรธพุ่งปรี๊ดขึ้นสมอง ใบหน้าแดงก่ำจนดูเหมือนพร้อมระเบิดได้ทุกขณะ
เขารู้สึกว่าตัวเองคงจะโมโหจนขาดใจตายหากพูดอะไรออกไปอีกคำ
สำหรับคนที่มีวรยุทธระดับพวกเขา อย่าว่าแต่ 1 วินาทีเลย ต่อให้แค่ 1 ใน 10 ของ 1 วินาทีระหว่างการสู้รบก็เกินพอที่เขาจะสังหารใครสักคนได้แล้ว มาให้เวลาเขา 1 วินาทีให้เขาทำอะไรก็ได้ตามต้องการโดยจะไม่ตอบโต้ ช่างเป็นการแสดงความเมตตากรุณาเสียจริง!
“ผมไม่ต้องการ! ผมขอท้าให้คุณงัดทุกอย่างที่มีออกมา ขอผมดูพละกำลังเต็มพิกัดของคุณหน่อย!” ชายหนุ่มกัดฟันและคำรามกร้าว
“คุณแน่ใจนะ?” จางเซวียนขมวดคิ้ว
“ทำไมจะไม่แน่ใจล่ะ? ผมไม่ใช่โม่เอ๋อนี่ที่จะมีแต่เทคนิคการเคลื่อนไหว อย่าห่วงน่ะ ผมก็จะใช้กระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของผมเหมือนกัน เพื่อแสดงให้คุณเห็นว่าพวกเราจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ไม่ใช่คนที่ใครจะดูถูกเหยียดหยามได้!”
ฟิ้วววว!
ชายหนุ่มคำราม รังสีของเขาพุ่งออกมา แม้ระดับวรยุทธจะลดลงเป็นนักรบระดับเซียนขั้น 9 สูงสุดแล้ว แต่รังสีของเขาก็ยังเทียบชั้นได้แม้แต่กับผู้เชี่ยวชาญระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ ทั้งทรงพลังและไม่มีผู้ใดทำลายล้างได้
“ถ้าอย่างนั้น ผมจะเริ่มโจมตีละนะ!” ได้ยินคำตอบของชายหนุ่ม จางเซวียนพยักหน้าอย่างพอใจ
“ตามสบายเลย ผมจะ…”
ชายหนุ่มเงื้อมือขึ้น ตั้งใจจะปล่อยพลังจากฝ่ามือ แต่ยังไม่ทันจะได้ทำอะไร ก็มีลำแสงวาบขึ้นตรงหน้าจนภาพที่เห็นดูพร่าเลือน จากนั้นเขาก็รู้สึกเจ็บแปลบจากการถูกโจมตีเข้าที่หน้าอก
แคร่กกก!
กระดูกซี่โครงหลายซี่แตกละเอียด เขาถูกสอยกระเด็นไปไกล จากนั้นก็ตกลงมากระแทกพื้น และก็เหมือนกับโม่เอ๋อ สุดท้ายก็สลบเหมือด แต่ถึงอย่างนั้น ทั้งร่างก็ยังบิดงอไม่หยุดราวกับยังคงทุกข์ทรมานจากแรงปะทะ
“คุณบอกผมเองนะว่าให้ใช้พละกำลังเต็มพิกัด ไม่ให้ยั้งมือ” จางเซวียนพูดขณะลดสายตาลงมองชายหนุ่มที่แน่นิ่งอยู่กับพื้นด้วยสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ “พวกคุณทุกคนคงได้ยินแล้วว่าผมให้โอกาสเขาโจมตี 1 วินาที แต่เขากลับไม่ใส่ใจ ผมคิดว่า 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ให้ราคากับชื่อเสียงของตัวเองมากไปนะ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องดีเสมอไปหรอก เพราะมันอาจเสื่อมสลายไปได้ในไม่ช้า!”
“คุณรนหาที่ตายแล้ว!” ได้ยินชายวัยกลางคนพูดจาโอหังหลังจากเล่นงานสหายของเขาจนสลบไป ชายหนุ่มอีก 2 คนที่เหลือคำรามกร้าว
ทั้งคู่ก้าวออกมาพร้อมกับกัดฟัน ตั้งใจจะฉีกชายที่อยู่ตรงหน้าให้เป็นชิ้นๆ
ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะมีใครหน้าไหนในทวีปแห่งปรมาจารย์กล้าดูถูก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์*!*
ชายหนุ่มทั้งสองเข้ามายืนขนาบข้างจางเซวียน คนที่อยู่ด้านซ้ายคำรามก้อง “คุณคือหลัวเทียนหยาใช่ไหม? มีปัญหาอะไรหรือเปล่าถ้าจะต้องดวลกับพวกเรา?”
หากสายตาฆ่าคนได้ จางเซวียนคงมอดไหม้เป็นเถ้าถ่านเพราะสายตาแผดเผาของพวกเขาแล้ว
“ไม่มีปัญหาหรอก แต่คุณทั้งคู่น่ะควรจะเข้ามาหาผมพร้อมๆกัน วิธีนี้จะทำให้เราประหยัดเวลาได้ ผมไม่รู้ว่าสำหรับคุณทั้งสองจะเป็นอย่างไร แต่เอาจริงๆนะ ตอนนี้ผมเหนื่อยแล้ว!” จางเซวียนพูดพร้อมกับโบกมือด้วยความรำคาญ
“เหนื่อย?”
เหนื่อยบ้าเหนื่อยบออะไร*! ทั้งหมดที่คุณทำลงไปก็แค่ตบกับเตะอย่างละครั้ง แล้วมาบอกว่าเหนื่อยหลังจากใช้พลังเพียงเท่านี้นี่นะ?*
ชายหนุ่มทั้งสองอ้าปากค้าง
คุณสอยโม่เอ๋อกระเด็นไปด้วยหมัดเดียว และเล่นงานศิษย์น้องอีกคนหนึ่งของเราด้วยการเตะ*…แล้วยังมีหน้ามาบ่นว่าตัวเองเหนื่อย?*
อย่างน้อยก็ควรจะพูดจาให้มันมีสาระกว่านี้หน่อย*?*
“ไอ้ทีท่ายียวนกวนประสาทแบบนี้…ทำไมเราถึงรู้สึกคุ้นหูคุ้นตาเหลือเกิน?” หลัวชวนฉิงอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะรีบสลัดความรู้สึกนั้นทิ้งไปและหันกลับไปมองการเผชิญหน้าระหว่างทั้งสาม
เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มทั้งสองแข็งแกร่งกว่า 2 คนที่ขึ้นมาก่อนหน้า และทั้งคู่จะกลายเป็นคู่ต่อสู้ที่ไร้เทียมทานหากผนึกพละกำลังกัน ถึงเขาจะมั่นใจในตัวหลัวเทียนหยา แต่ก็อดกังวลไม่ได้
ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ ดูเหมือนการต่อสู้พร้อมจะระเบิดขึ้นได้ทุกวินาที แต่ในตอนนั้นเอง เสียงทุ้มลึกก็ดังขึ้นกลางอากาศ “คุณทั้งสองคนน่ะ ยืนอยู่ตรงนั้นก่อน!”
ชายหนุ่มทั้งคู่รีบหันกลับไป เห็นท่านอาจารย์ของพวกเขาลุกขึ้นยืนและกำลังมองมา
“ท่านอาจารย์…”
“สหายของเราคนนี้น่ะ ไม่เพียงแต่จะสำเร็จความเข้าใจเรื่องการสกัดกั้นมิติถึงขั้น 4, วรยุทธของเขายังเหนือชั้นด้วย คงไม่เป็นการพูดเกินจริงหากจะกล่าวว่าเขาเป็นผู้ไร้เทียมทานในระดับขั้นของเขา ต่อให้คุณทั้งคู่ผนึกกำลังกันโจมตี ก็มีโอกาสสูงที่คุณจะสู้เขาไม่ได้” หนานกงหยวนเฟิงพูดอย่างเคร่งขรึม
ถึงหมอนี่จะโผล่พรวดออกมาจากตระกูลหลัวโดยที่ดูเหมือนจะไม่มีใครรู้จักหน้าค่าตาเขามาก่อน แต่พละกำลังของอีกฝ่ายก็ถือว่าน่าสะพรึงมาก
ลูกศิษย์ที่เขาพามานั้นล้วนได้รับการคัดเลือกอย่างถี่ถ้วนจากบรรดาลูกศิษย์ทั้งหมด เป็นกลุ่มคนชั้นสูงของสำนักขงจื๊อผู้ยิ่งใหญ่ สามารถรับมือกับเหล่าปรมาจารย์และยอดขุนพลที่ปราดเปรื่องที่สุดได้อย่างง่ายดาย
แต่ทั้งคู่กลับมาพ่ายแพ้ยับเยินแบบนี้ ประสิทธิภาพการต่อสู้ของชายวัยกลางคนนั้น เรียกได้คำเดียวว่า – น่าสะพรึง!
ถึงลูกศิษย์อีก 2 คนที่เหลือของเขาจะแข็งแกร่งกว่า แต่ก็ไม่น่าจะรับมือกับชายวัยกลางคนได้
“แต่เขาดูถูกเหยียดหยาม 100 สำนักแห่งนักปราชญ์นะ!” ได้ยินท่านอาจารย์คาดการณ์ว่าพวกเขาจะพ่ายแพ้ ชายหนุ่มทั้งสองกำหมัดแน่นอย่างหงุดหงิด
“ชื่อเสียงของ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์สั่งสมขึ้นจากพละกำลังของพวกเรา มันไม่เปราะบางถึงขนาดจะถูกทำลายเพียงเพราะคำดูถูกสองสามคำหรอก!” หนานกงหยวนเฟิงคำราม
จากนั้นเขาก็หันไปมองจางเซวียนอย่างเคร่งเครียดและพูดว่า “ผมรู้ว่ามันไม่เหมาะสมสำหรับชายชราอย่างผมที่จะท้าทายคุณ แต่ของสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์หมายมั่นปั้นมือว่าจะต้องได้มันมาให้ได้ ไม่ว่าจะต้องสูญเสียอะไรเท่าไหร่ก็ตาม ผมไม่อาจกลับไปมือเปล่าได้จริงๆ เพราะฉะนั้น ต้องขออภัยคุณไว้ล่วงหน้า…”
บึ้มมมม!
รังสีอันทรงพลังระเบิดขึ้นสู่เมฆ ทำให้พื้นที่บริเวณโดยรอบดูบิดเบี้ยว ดูราวกับว่าแม้แต่สวรรค์ก็อาจถูกทำลายได้จากพลังงานมหาศาลที่ถูกปลดปล่อยออกไป
นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้นสูงสุด, ชั่วกัลปาวสาน!
เขาคือผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งเทียบเท่ากับเผ่าพันธุ์ปีศาจทั้ง 4 ตัวที่จางเซวียนเจอก่อนหน้านี้
“ก็อย่างที่ผมพูดไปแล้ว พวกคุณทั้งห้าคนควรจะเข้ามาหาผมพร้อมกันทีเดียว เห็นไหมล่ะ? ลงท้ายมันก็ต้องเข้าอีหรอบนั้นอยู่ดี” จางเซวียนชำเลืองมองหนานกงหยวนเฟิงอย่างเฉยเมย
หากเป็นการดวลระหว่างผู้ที่มีระดับวรยุทธเดียวกัน ต่อให้หอกสวรรค์กระดูกมังกรก็สู้เขาไม่ได้ ชายหนุ่มทั้ง 4 ไม่ได้อ่อนแอ แต่ก็ยังห่างไกลนักที่จะเทียบชั้นกับจางเซวียน บางที หนานกงหยวนเฟิงคนนี้อาจจะทำให้เขาบันเทิงใจขึ้นบ้าง
“ก็ดี!” หนานกงหยวนเฟิงสูดหายใจลึกและกดข่มพลังงานในร่างของเขาอย่างรวดเร็ว ในชั่วพริบตา ระดับวรยุทธของเขาก็ลดลงจนเท่ากับจางเซวียน
ด้วยสถานภาพและความอาวุโสของหนานกงหยวนเฟิง ถือว่าไม่เหมาะสมอย่างมากที่ตัวเขาจะมาท้าทายนักรบระดับเซียนขั้น 9
แต่เครื่องรางฟ้าประทานในตำนานก็เป็นของสำคัญสูงสุดสำหรับ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ นี่เป็นภารกิจที่เบื้องบนมอบหมายให้ ซึ่งหากเขากลับไปมือเปล่า ต่อให้เขาจะเป็นทายาทของนักปราชญ์โบราณ แต่ก็ไม่อาจแบกรับผลกระทบที่จะตามมาได้
“เชิญเลย!” หนานกงหยวนเฟิงโบกมือเป็นสัญญาณให้จางเซวียนเริ่มการโจมตี
จากการดวลสองนัดก่อน เขาบอกได้ว่าทันทีที่เขาลดระดับวรยุทธ ก็คงยากที่จะเทียบชั้นกับชายวัยกลางคนผู้นี้ได้ หากเขาอยากเอาชนะ ก็ต้องทุ่มเทให้สุดตัว แต่แน่นอนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ก็คือชายวัยกลางคนได้ใช้พละกำลังเต็มพิกัดในการต่อสู้กับลูกศิษย์ทั้งสองคนของเขา
ด้วยความคิดนั้น หนานกงหยวนเฟิงประสานมือและพูดว่า “น้องเทียนหยา ผมมีคำขอข้อหนึ่ง ผมหวังว่าคุณจะสู้กับผมด้วยพละกำลังเต็มพิกัดของคุณ!”
“ด้วยพละกำลังเต็มพิกัดของผม?” จางเซวียนขมวดคิ้ว “คุณแน่ใจนะ?”
เขาไม่ได้ใช้พละกำลังเต็มพิกัดด้วยซ้ำตอนที่สู้พร้อมกับหอกสวรรค์กระดูกมังกร แล้วอีกฝ่ายจะต้านทานพละกำลังเต็มพิกัดของเขาได้จริงๆหรือ?
“แน่นอน! ผมเป็นทายาทของนักปราชญ์โบราณจื่อร่ง เพราะฉะนั้น ต่อให้พละกำลังของผมจะอ่อนด้อย ผมก็ยังต้องรักษาศักดิ์ศรี…หวังว่าคุณจะยอมทำตามคำขอของผม!” หนานกงหยวนเฟิงประสานมือ
ถ้าใครต่อใครรู้ว่าอาจารย์ของสำนักขงจื๊อผู้ยิ่งใหญ่, ทายาทของนักปราชญ์โบราณ เอาชนะคู่ต่อสู้ได้โดยที่ให้อีกฝ่ายออมมือให้ เขาคงไม่มีวันเชิดหน้ามองใครได้อีก แม้จะกลับสู่ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์แล้วก็ตาม
“เอ่อ…ได้สิ ผมจะทำตามคำขอของคุณ!” เห็นสีหน้าจริงจังของหนานกงหยวนเฟิง จางเซวียนพยักหน้า “จากนี้ไป ผมจะสำแดงพละกำลังเต็มพิกัดละนะ…”
“ขอผมดูหน่อยว่าผู้เชี่ยวชาญผู้ไร้เทียมทานอย่างคุณที่สำเร็จขั้น 4 ของกฎเกณฑ์แห่งมิติแล้วจะมีพละกำลังแค่ไหน” หนานกงหยวนเฟิงโบกมือขณะขับเคลื่อนพลังปราณให้ไหลเวียนไปทั่วร่าง
แต่ทันทีที่เขาพูดจบ ลูกศิษย์คนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหลังก็ร้องออกมา “ท่านอาจารย์ ระวังด้วย!”
พลั่ก!
ยังไม่ทันที่เขาจะได้ตอบโต้ หนานกงหยวนเฟิงก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่พุ่งเข้าโจมตีแผงอกของเขาพริบตาต่อมา ทัศนียภาพโดยรอบก็พุ่งผ่านเขาไปอย่างรวดเร็ว ตึกรามบ้านช่องของเมืองสวรรค์บังอันใหญ่โตหดเล็กลงจนเหมือนกับจุดดำเล็กๆ ก่อนที่จะหายวับไปจากสายตา