ได้โปรดรับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลของเราเถอะ!
ในตอนนั้นเองที่หนานกงหยวนเฟิงเพิ่งรู้สึกว่าตัวเขาไร้พละกำลังแค่ไหน มีกระแสพลังงานที่ทำให้ร่างกายของเขาไม่อาจตอบโต้ได้ ร่างของเขาแทบระเบิดจากพลังงานนั้น
เมื่อทนไม่ไหวอีกต่อไป หนานกงหยวนเฟิงกระอักเลือดออกมากองใหญ่ รู้ดีว่าจะต้องตายแน่หากปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไป จึงรีบปลดปล่อยการสกัดกั้นวรยุทธทันที
ฟึ่บ!
การพักฟื้นภายใน ร่างอันทรงเกียรติ แรงผลักดันสัญชาตญาณ…
ในชั่วพริบตา ระดับวรยุทธของเขาก็กลับคืนสู่ขั้นชั่วกัลปาวสาน และด้วยการขับเคลื่อนพลังปราณอย่างเต็มกำลัง ในที่สุดก็สามารถทรงตัวได้ แต่ใบหน้าของเขายังคงซีดเผือดจากประสบการณ์เฉียดตายที่ได้รับไปเมื่อครู่
เขาเหลียวมองโดยรอบและพบว่าตัวเองอยู่ในดินแดนที่ไม่คุ้นเคย นี่เขากระเด็นออกมาไกลเกินกว่าอาณาเขตของดินแดนที่กว้างใหญ่อย่างเมืองสวรรค์บังของตระกูลหลัว ถึงขนาดที่เมืองนั้นหายลับไปจากสายตาเชียวหรือ?
“นี่…เรากระเด็นมาหลายหมื่นลี้เลยใช่ไหม?” หนานกงหยวนเฟิงคิดคำนวณอย่างรวดเร็ว เขารู้สึกเหมือนกับมีลูกระเบิดลูกย่อมๆระเบิดโพละในสมอง
เมื่อครู่นี้เองที่เขาบอกอีกฝ่ายให้ใช้พละกำลังเต็มพิกัด พูดตามตรง เขาเองก็เตรียมใจรับความพ่ายแพ้ไว้แล้ว แต่คิดไม่ถึงว่ามันจะรวดเร็วและชัดเจนขนาดนี้!
พละกำลังที่เขาเพิ่งเผชิญนั้นอยู่ในระดับที่แม้แต่นักรบการพักฟื้นภายในซึ่งเข้าถึงระดับสูงสุดแล้วก็ยังไม่อาจต้านทานได้
“มันคือพละกำลังที่แท้จริงของเขาหรือ? ไม่แปลกใจแล้วที่หมอนั่นเรียกร้องให้เราทั้งห้าคนดวลกับเขาพร้อมๆกัน พวกเราสู้เขาไม่ได้จริงๆ!” หนานกงหยวนเฟิงอดตัวสั่นไม่ได้เมื่อหวนนึกถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น
หากเขาไม่ปลดปล่อยวรยุทธออกมาในช่วงเวลาคับขันและเรียกพละกำลังกลับคืนสู่ขั้นชั่วกัลปาวสาน เขาคงต้องแหลกเป็นชิ้นๆแน่
ที่สำคัญกว่านั้น หากอีกฝ่ายไม่ได้คิดเพียงแค่จะทำร้าย แต่จงใจจะฆ่าเขา ต่อให้ร่างกายของเขาจะเข้าถึงระดับของวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานแล้ว แต่แรงปะทะนั้นก็คงจะทะลุทะลวงเข้าสู่ภายใน ทำให้เขาตายได้ในทันที…
น่าสะพรึงที่สุด!
ในโลกนี้มีนักรบระดับเซียนขั้น 9 สูงสุดที่ทรงพลังขนาดนี้ด้วยหรือ?
ในแง่ของความปราดเปรื่องดูเหมือนเขาจะทัดเทียมได้แม้แต่กับขงซือเหยา…ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนแบบนี้อยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์! หนานกงหยวนเฟิงรำพึงอย่างอัศจรรย์ใจ
แค่หมัดเดียว ก็ชัดเจนแล้วว่าใครคือผู้ชนะ
ดูเหมือนเขาคงจะต้องได้รับโทษเมื่อกลับสู่สำนักขงจื๊อผู้ยิ่งใหญ่
แต่นั่นแหละ ก็ไม่มีอะไรที่เขาจะทำได้ แพ้ก็คือแพ้ ในฐานะทายาทของนักปราชญ์โบราณ เขาไม่อาจละทิ้งศักดิ์ศรีของตัวเองและฉกฉวยของล้ำค่าจากตระกูลหลัวมาเพียงเพราะเขาพ่ายแพ้
“ช่างมันเถอะ ค่อยคิดเรื่องนี้ทีหลัง!” หนานกงหยวนเฟิงถอนหายใจเฮือกขณะรีบมุ่งหน้ากลับตระกูลหลัว
…..
“คุณกลับมาเสียที!”
ทันทีที่หนานกงหยวนเฟิงกลับถึงจัตุรัสนั้น ก็เห็นหลัวเทียนหยากำลังนั่งอยู่บนที่นั่งของเขา มีหม้อร้อนควันขึ้นฉุยอยู่ตรงหน้า หลัวเทียนหยาถือตะเกียบคู่หนึ่งไว้ในมือ กำลังสวาปามอาหารที่อยู่ตรงหน้าอย่างตะกละตะกรามขณะพูดว่า “พวกเราเกิดหิวขึ้นมาระหว่างที่รอให้คุณกลับมาที่นี่ ก็เลยตัดสินใจหาอะไรกินก่อน คุณจะร่วมวงกับเราไหม?”
“…..” หนานกงหยวนเฟิงรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาในอก
ช่างน่าหงุดหงิดเสียจริง!
ชัดเจนว่าหลัวเทียนหยาคนนี้จงใจนั่งกินอาหารดีๆเพื่อทำให้พวกเขาอับอาย
หากใครต่อใครรู้ว่าเหล่าผู้เชี่ยวชาญจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์เข้าท้าทายตระกูลหลัว แต่แล้วก็ถูกสอยกระเด็นไปไกลด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว และในตอนที่พวกเขากลับมา ตระกูลหลัวก็พากันกินอาหารมื้อเย็นแล้ว…
ชื่อเสียงของพวกเขาคงป่นปี้ไม่มีเหลือ!
รู้ดีว่ามีแต่จะทำให้ตัวเองอับอายขายหน้ามากขึ้นอีกหากยังอยู่ต่อ หนานกงหยวนเฟิงเก็บลูกข่างมิติเข้าไปในแหวนเก็บสมบัติของเขาและประสานมือ “ผม, หนานกงหยวนเฟิง, ยอมรับความพ่ายแพ้ ลาก่อน!”
จากนั้นเขาก็ร้องเรียกลูกศิษย์ทั้ง 4 “ไปกันเถอะ!”
หลังจากพูดจบ ทั้งกลุ่มก็ออกบินและหายวับไปในชั่วพริบตา
“ไปให้พ้นเลย…”
“นี่เราเพิ่งเอาชนะ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ได้ใช่ไหม?”
“เทียนหยาจงเจริญ!”
“เทียนหยา คุณทำให้ฉันหลงใหลใฝ่ฝันในตัวคุณ ฉันอยากมีลูกกับคุณ!”
“นับจากนี้ไป เทียนหยาคือต้นแบบของผม ผมจะขยันหมั่นเพียรฝึกฝนอย่างหนักเพื่อให้เป็นได้แบบเขา…”
…..
เกิดความเงียบงันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เสียงเซ็งแซ่จะดังอื้ออึงไปทั่วตระกูลหลัว
ทุกคนคิดว่าตระกูลหลัวคงจะต้องอับอายขายหน้าเหมือนอย่างที่ผ่านมา โดยเฉพาะเมื่อคู่ต่อสู้ของพวกเขามาจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ ใครจะไปคิดว่าหลัวเทียนหยาเพียงคนเดียวจะพลิกผันสถานการณ์และกอบกู้ศักดิ์ศรีกลับคืนสู่ตระกูลหลัวได้สำเร็จ?
ในชั่วพริบตา จากคนคนหนึ่งซึ่งไม่เคยมีใครรู้จักหรือได้ยินชื่อ หลัวเทียนหยากลับกลายเป็นผู้ที่ได้รับความยกย่องและเคารพมากที่สุดในตระกูลหลัว เป็นต้นแบบของทั้งผู้อาวุโสและคนรุ่นเยาว์
“เอ่อ…” เห็นสีหน้าตื่นเต้นและแช่มชื่นของเหล่าสมาชิกตระกูลหลัวที่อยู่รอบตัวเขา จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก
การที่เขาปฏิเสธการหมั้นหมายกับตระกูลหลัวส่งผลกระทบอย่างรุนแรง ไม่เพียงแต่กับชื่อเสียงของตระกูลหลัว ยังสร้างความแตกแยกด้วย แต่ก็ดูเหมือนว่าเหตุการณ์ครั้งนี้จะช่วยให้พวกเขาฟื้นคืนจากความบอบช้ำและกลับรวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียวได้อีกครั้ง
“น้องเทียนหยา ผมขอขอบคุณแทนพวกเราทั้งตระกูลที่คุณช่วยปกป้องพวกเราไว้จากการเสื่อมเสียเกียรติครั้งนี้” หลัวกั้นเจินพูดขณะเดินไปยังใจกลางเวที
เขาโบกมือ แล้วดาบของนักปราชญ์โบราณจื่อร่งซึ่งลอยอยู่กลางอากาศก็ลอยเข้าสู่มือของเขา เขามอบมันให้จางเซวียน “นี่คือเดิมพันที่หนานกงหยวนเฟิงให้ไว้ ในบรรดาทั้งตระกูลหลัว ไม่มีใครเหมาะสมที่จะเป็นเจ้าของมันมากไปกว่าคุณอีกแล้ว!”
จางเซวียนถึงกับผงะกับความใจกว้างของหลัวกั้นเจิน
พูดตามตรง เขาช่วยเหลือตระกูลหลัวก็เพื่อบรรเทาความรู้สึกผิดที่กัดกินหัวใจ จึงไม่คาดหวังว่าจะต้องได้อะไรตอบแทน จึงรีบโบกมือและพูดว่า “นี่เป็นความรับผิดชอบของผมในฐานะทายาทตระกูลหลัว ดาบนี้เป็นของตระกูลหลัว ผมไม่ควรล้ำเส้น…”
“ไม่ต้องมีพิธีรีตองไปหรอก, น้องเทียนหยา คุณได้ช่วยเหลือทั้งตระกูลของเราไว้และทำให้พวกเรารวมกันเป็นหนึ่งได้อีกครั้ง คุณเป็นเพียงคนเดียวในหมู่พวกเราที่คู่ควรกับการได้รับดาบนี้” หลัวชิงเฉินยืนกรานพร้อมกับยิ้มให้
“เอ่อ…” เห็นสายตาจริงจังที่อีกฝ่ายจ้องมองเขา จางเซวียนรู้ทันทีว่าไม่มีทางเลือก จึงได้แต่พยักหน้าและรับดาบมา “ในเมื่อคุณพูดแบบนั้น ผมก็จะรับไว้ละนะ”
เขาเป็นเจ้าของหอกสวรรค์กระดูกมังกร จึงไม่สนใจดาบของนักปราชญ์โบราณจื่อร่งแม้แต่น้อย แต่ถึงอย่างไร เขาก็สามารถส่งคืนมันกลับสู่คลังสมบัติของตระกูลหลัวได้ในภายหลัง หรือไม่…ก็คงจะเป็นอาวุธที่ดีสำหรับจ้าวหย่าเมื่อเขาช่วยเหลือเธอกลับมาได้สำเร็จ
หลัวกั้นเจินถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นจางเซวียนรับดาบไป เขาตั้งคำถาม “ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด ผู้ที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์การยอมจำนนของเหล่าบรรพบุรุษก่อนหน้านี้ก็คือคุณใช่ไหม?”
“การยอมจำนนของเหล่าบรรพบุรุษ?” จางเซวียนเลิกคิ้วด้วยความสงสัย
“คุณมาจากครอบครัวสาขา ก็ไม่แปลกหรอกที่จะไม่รู้เรื่องนี้ ตระกูลหลัวของเราก่อตั้งขึ้นจากแก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิติ ซึ่งหากใครสักคนในโลกใบนี้สำเร็จวิชาแก่นสารแห่งมิติ เขาก็จะได้การยอมรับจากผู้ก่อตั้งและทำให้บรรดาบรรพบุรุษของเรายอมจำนน” หลัวกั้นเจินอธิบาย
“เอ่อ ถ้าอย่างนั้นก็คงจะเป็นผม” จางเซวียนตาโตเมื่อนึกได้
หลังจากที่ออกจากตระกูลหลัวไปในวันนั้น เขาก็เดินทางไปยังภูเขาห้วยขาวพร้อมกับหลัวลั่วชิง ในเมื่อปรากฏการณ์การยอมจำนนของเหล่าบรรพบุรุษเกิดขึ้นในระหว่างช่วงเวลานั้น และเกี่ยวข้องกับการสำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารแห่งมิติและการสกัดกั้นมิติ ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นเพราะเขา
“ข้อเท็จจริงที่ว่าคุณสำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารแห่งมิติและการสกัดกั้นมิติ ทำให้คุณมีความชอบธรรมที่จะได้รับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลหลัว!” หลัวกั้นเจินพูดก่อนจะรีบประสานมือและโค้งคำนับอย่างงาม “น้องเทียนหยา ผมหวังว่าคุณจะนำพาตระกูลหลัวของเราไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองสูงสุด!”
“อะไรนะ? คุณต้องการให้ผมเป็นหัวหน้าตระกูล? ไม่ ไม่ได้หรอก จะเป็นแบบนั้นได้อย่างไร?” จางเซวียนกำลังสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ก็พอดีกับที่ได้ยินอีกฝ่ายขอร้องให้เขารับตำแหน่งหัวหน้าตะกูลหลัว เขาถึงกับกระโดดหนีด้วยความพรั่นพรึง
เขาไม่ได้เป็นสมาชิกตระกูลหลัวด้วยซ้ำ จะเป็นหัวหน้าตระกูลของพวกเขาได้อย่างไร?
“ตระกูลหลัวเพิ่งเผชิญหน้ากับการถูกเหยียดหยามครั้งร้ายแรงที่สุดตลอดประวัติศาสตร์หลายหมื่นปีของพวกเรา เจ้าทายาทน้อยแห่งตระกูลจางยกเลิกงานหมั้นกับตระกูลของเราต่อหน้ากลุ่มอำนาจชั้นนำมากมายของทวีปแห่งปรมาจารย์ ทำลายศักดิ์ศรีของเราจนป่นปี้ไม่มีเหลือ คุณเป็นเพียงคนเดียวที่มีเกียรติและเก่งกาจพอที่จะทำให้ตระกูลหลัวของเรารวมกันเป็นหนึ่ง รวมทั้งเรียกความมั่นใจกลับคืนให้เราอีกครั้ง ได้โปรดพาตระกูลหลัวของเราไปสู่ความยิ่งใหญ่ด้วยเถิด!” หลัวกั้นเจินโค้งคำนับจนแทบจะขนานกับพื้น แสดงการร้องขออย่างจริงใจ
“ได้โปรดเป็นผู้นำตระกูลของเราเถอะ!”
หลัวชิงเฉินกับผู้อาวุโสคนอื่นๆประสานเสียงกับหลัวกั้นเจินและพากันโค้งคำนับอย่างงาม
“เอ่อ…” จางเซวียนหวิดจะคลุ้มคลั่ง
เขามาที่นี่เพื่อชดเชยความผิดที่ตัวเองเคยทำไว้กับตระกูลหลัว ไม่ได้มาเพื่อเป็นหัวหน้าตระกูล…
นี่มันบ้าบออะไร*?*
เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับเราได้อย่างไรกัน*?*
ความยุติธรรมและความชอบธรรมของโลกนี้อยู่ที่ไหน*?*
มันเป็นความผิดของเราหรือที่มีทั้งความโดดเด่นและน่าสนใจขนาดนี้*?*
ถ้าเรารู้ล่วงหน้าเราจะทำตัวแบบธรรมดาว่าแต่*…ไอ้ทำตัวธรรมดานี่มันทำอย่างไร?*
เป็นความผิดของเราใช่ไหมที่ไม่รู้ว่าแบบไหนเรียกว่าธรรมดา*?*
ได้โปรดเถอะใครก็ได้ช่วยพาเราออกจากสถานการณ์นี้ที*…*
ทำไมการทำตัวธรรมดามันถึงได้ยากนัก*?*