ส่วนที่ 5 ตอนที่ 5 มรสุมแห่งฉางอัน

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

กองกำลังถูกก้อนน้ำแข็งในแม่น้ำหวงเหอกีดขวางเป็นเวลาสี่แล้ว อวิ๋นเยี่ยไม่รีบร้อนกลับฉางอันอีกแล้ว แม้ว่าเถียนเซียงจื่อจะเป็นคนบ้าแต่ก็มีสติครบถ้วน ไม่ทำเรื่องโง่ๆ ที่เป็นการทำร้ายตระกูลอวิ๋น ขอเพียงแค่ครอบครัวปลอดภัย อวิ๋นเยี่ยก็รู้สึกวางใจ ตั้งใจจะนอนหลับอย่างเต็มที่ในห้องเสียหน่อย หลายวันนี้นอนในกระโจมที่รับลมทั้งสี่ด้านจนเขาเอียนแล้ว การนอนเดิมเป็นงานอดิเรกที่เขาชอบมากที่สุด ตอนนี้ภายใต้เงื่อนไขที่เข้าทาง ทั้งยังชื่นชอบอยู่แล้ว แน่นอนว่าต้องเสพสุขให้เต็มที่เสียหน่อย

 

 

  ต้มน้ำร้อนสำหรับอาบน้ำถังใหญ่แล้วแช่อยู่ในน้ำทั้งตัว ปล่อยให้น้ำอุ่นห่อหุ้มร่างกาย น้ำได้ขวางกั้นเสียงวุ่นวายจากด้านนอก ทั้งร่างราวกับขดอยู่ในร่างของแม่ เขาขดตัวคุดคู้และปล่อยให้ตัวเองลอยและจมอยู่ในถังน้ำ จนกลั้นหายใจเอาไว้ไม่อยู่ จึงโผล่ศีรษะขึ้นจากน้ำและสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ราวกับได้ชีวิตใหม่ เขาได้ทดลองความรู้สึกของการเกือบสิ้นลมหายใจเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างสนุกสนานโดยไม่รู้สึกเพลียเลย

 

 

ชีวิตของตนเองกับชีวิตของคนอื่นนั้นแตกต่างอย่างสิ้นเชิง เหมือนฝ่ายตัดต่อที่งี่เง่าคนหนึ่งฝืนนำภาพยนตร์สองเรื่องที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิงมาตัดต่อรวมกัน แล้วจะให้ตนที่เป็นนักแสดงคนนี้แสดงในภาพยนต์นี้ต่อไปได้อย่างไร

 

 

ยังโชคดีที่มีอาจารย์ผู้เก่งกล้าสามารถในทุกๆ เรื่องอยู่ ช่องโหว่ที่เกิดจากการแสดงอันไม่ได้ความของเขาก็ได้อาจารย์ท่านนี้มาช่วยเติมเต็ม ตอนนี้อาจารย์ในจินตภาพค่อยๆ มีรูปร่างที่สมบูรณ์ขึ้นในใจของอวิ๋นเยี่ย

 

 

เขาไม่ได้ต้องการรูปร่างที่สูงใหญ่ ความสูงของคนโดยเฉลี่ยก็พอแล้ว หน้าผากกว้างที่เต็มไปด้วยสติปัญญา ใบหน้ามักจะมีรอยยิ้มอย่างอ่อนโยนอยู่เสมอ ในแววตาไม่มีความมืดมน มีจอนผมและหนวดเคราพลิ้วปลิวอยู่บนหน้าอก ในมือถือม้วนหนังสือเล่มหนึ่งแต่ไม่ได้อ่านหนังสือ มักจะมองอวิ๋นเยี่ยด้วยแววตาที่รักและเมตตา

 

 

เมื่อพูดโกหกสักพันครั้งก็จะกลายเป็นจริง หากตอนนี้ใช้เครื่องตรวจจับเท็จที่ละเอียดและแม่นยำที่สุดในยุคปัจจุบัน อวิ๋นเยี่ยเชื่อว่าอาจารย์ที่ตัวเองกล่าวอ้างถึงนั้นเครื่องจับเท็จนั้นจะต้องวิเคราะห์ออกมาว่าผิดพลาดอย่างแน่นอน แต่ในสภาพปัจจุบันนี้ การจะโกหกต่อเครื่องจับเท็จนั้นไม่มีปัญหาเลย

 

 

กลับไปคราวนี้ต้องไปหาเหยียนลี่เปิ่น ให้เขาวาดรูปตามคำบรรยายของตัวเองออกมาหนึ่งรูปแล้วหาห้องเพื่อที่จะไปแขวนไว้ คนอื่นนั้นต่างก็มีศรัทธา ตนเองก็ต้องมีศรัทธาด้วย เรื่องเทพเซียนและพระพุทธเจ้านั้นเป็นของปลอม ล้วนแล้วแต่เป็นภาพลวงตาที่คิดขึ้นเองทั้งหมด หากตัวเองจะคิดขึ้นมาเองสักคนหนึ่ง ทำไมจะไม่ได้กัน  ที่จริงแล้วในส่วนลึกในสมองของอวิ๋นเยี่ย เขาไม่เชื่อในเรื่องเทพเซียนและพระพุทธเจ้า อีกทั้งยังค่อนข้างเกลียดแค้นเทพเซียนและพระพุทธเจ้าจากก้นบึ้งของหัวใจ เมื่อคิดถึงว่าตัวเองเจาะเวลาผ่ามิติเพราะรูหนอนจนมาถึงราชวงศ์ถัง ยืนเปลือยกายอยู่บนที่รกร้างว่างเปล่าและขอความช่วยเหลือจากเหล่าทวยเทพบนสวรรค์ สุดท้ายเทพเจ้าไม่ตอบสนองอะไรเลย หากไม่ได้มีม้าฝูงนั้นตนเองก็คงจะกลายเป็นมูลของหมาป่าไปแล้ว

 

 

ดังนั้นเขาจึงเกลียดพระเจ้า แม้ว่าจะมีพระเจ้ายืนอยู่ข้างหน้าเขาในตอนนี้ ปฏิกิริยาแรกของอวิ๋นเยี่ยไม่ใช่คุกเข่ากราบไหว้แต่จะเป็นการด่าทอ

 

 

เขานำผ้าเช็ดตัวออกจากห่อสัมภาระของตัวเองซึ่งนำมาจากยุคปัจจุบัน ในช่วงสองปีมานี้เขาไม่ค่อยใช้ผ้าเช็ดตัวผืนนี้ เฉพาะตอนที่ไร้ที่พึ่งทำอะไรไม่ถูกจึงจะนำมันออกจุ่มน้ำแล้วเช็ดทั่วกาย ราวกับว่าเช่นนี้แล้วจะได้รับคำปลอบใจเล็กๆ น้อยๆ

 

 

   พอสวมผ้าฝ้ายเนื้อนุ่มเสร็จ อวิ๋นเยี่ยเอนนอนอยู่บนเตียงที่ปูไว้หนาๆ และเริ่มการพักผ่อน เขาสั่งให้องครักษ์ตระกูลอวิ๋นห้ามไม่ให้ใครมารบกวนในขณะที่ตนเองกำลังหลับอยู่จนกว่าเขาจะตื่นขึ้นมา

 

 

   ฉางอันในปีรัชศกเจินกวนที่สี่ เรื่องดีไม่เคยขาด ชายแดนยังคงส่งข่าวการชนะศึกมาอยู่เรื่อยๆ เรื่องแรกเลยคือเฉิงเหย่าจินได้กวาดล้างกำลังหนุนของชาวเผ่าทูเจวี๋ยในหล่งโย่ว จากนั้นก็เป็นไฉเซ่าที่บุกยึดเมืองเซียงเฉิงได้ ตามด้วยชัยชนะอันยิ่งใหญ่ที่เขาอินซันก็ส่งมาถึงเมืองหลวง ข่านเจี๋ยลี่ถูกจับทั้งเป็น นี่คือข่าวดีอันยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยมีมานานหลายร้อยปีแล้ว ในฉางอันไม่มีการตรวจเมืองตอนกลางคืนเวลาสามวัน ไชโยโห่ร้องกันทั้งเมือง ร้องรำทำเพลงกันตลอดทั้งคืนจนฟ้าสาง การเฉลิมฉลองในตำหนักไท่จี๋นั้นยังคงต่อเนื่องไม่ได้หยุดเลย

 

 

ความสำเร็จของเหล่าทหารได้บาดตาบาดใจเหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋นในราชสำนักจนตาแดงหมดแล้ว พวกเขาไม่สามารถไปที่ชายแดนเพื่อฆ่าศัตรูสร้างผลงานได้ การจะสร้างผลงานนั้นได้แต่พุ่งเป้าเกี่ยวกับเรื่องภายในประเทศได้เท่านั้น การจะบรรเทาทุกข์ของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของภัยพิบัติจากตั๊กแตนได้อย่างไรจึงกลายเป็นงานที่เหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋นเลือกเป็นสิ่งแรก

 

 

ความจริงได้พิสูจน์แล้วว่า หากขุนนางฝ่ายบุ๋นเอาจริงขึ้นมา ขุนนางฝ่ายบู๊นั้นยังห่างชั้นอีกมาก ภายในช่วงเวลาสั้นๆ มีคำสั่งอย่างเด็ดเดี่ยวออกมานับไม่ถ้วน เพื่อรวบรวมเสบียงอาหารให้เพียงพอ พวกเขาบังคับเปิดคลังของพ่อค้าธัญพืชอย่างอันธพาล จากนั้นก็จ่ายเงินเหรียญทองแดงที่แทบจะไม่มีค่าอะไรเลยให้พวกเขาเพียงเล็กน้อย ห้าเหวินซื้อได้หนึ่งโต่ว[1] นี่คือราคาเสบียงอาหารก่อนเกิดภัยพิบัติ

 

 

อู๋เผิงนายอำเภอเขตฉางอันและอู๋หมิงหย่วนแบกโลงศพและสั่งให้เหล่าทหารเปิดยุ้งฉางที่บ้านขององค์หญิงอู่หยาง เสบียงหกพันตั้นถูกบังคับซื้อมาและแจกจ่ายให้กับผู้ที่ตกยากในชั่วข้ามคืน จากนั้นนายอำเภอท่านนี้ก็ปล่อยผมเดินเท้าเปล่าไปรอบเมืองเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ ใช้ตัวเองเป็นตัวอย่างต่อสาธารณชน และป่าวประกาศต่อประชาชนชาวฉางอันว่าเขานั้นบาปหนักหนา หมิ่นประมาทเกียรติของราชนิกุล ขอให้ทุกคนใต้หล้าดูเรื่องนี้ไว้เป็นตัวอย่าง จากนั้นคุกเข่าตรงหน้าประตูพระราชวังไม่ยอมลุกขึ้นเพื่อขอรับโทษตาย

 

 

ฝางเสวียนหลิงถอดเสื้อคลุมออกและคลุมไว้บนร่างของอู๋เผิง ตู้หรูฮุ่ยถอดหมวกและสวมไว้ที่ศีรษะของอู๋เผิง ขุนนางฝ่ายบุ๋นแต่ละคนฉีกชายเสื้อออกมาคนละชิ้น พันแผลที่เท้าสองข้างของเขาอย่างแน่นหนา พร้อมใจกันคุกเข่าอยู่ที่หน้าประตูพระราชวังเพื่อสวดภาวนาให้อู๋เผิงรอดชีวิต

 

 

ฝ่าบาททรงพิโรธเป็นอย่างมาก ภายในวันเดียวลดตำแหน่งขุนนางไปสิบสองคน ฝางเสวียนหลิงถูกตำหนิกลางท้องพระโรง ตู้หรูฮุ่ยถูกปรับห้าร้อย อู๋เผิงถูกเนรเทศไปยังมณฑลปัวโจวที่อยู่ห่างไกล หากไม่มีราชโองการห้ามกลับมา ความผิดที่องค์หญิงอู่หยางกักตุนเสบียงจำนวนมากนั้นเป็นเพราะราชบุตรเขยเหลียงคุน ปลดฐานันดรศักดิ์เจวี๋ยเว่ยให้เป็นสามัญชน องค์หญิงอู่หยางอภิเษกแล้วสามปี ให้ยึดที่ดินพระราชทานกลับคืน หากไม่มีเหตุจำเป็นห้ามเข้าวัง

 

 

 เมื่อตอนที่ครอบครัวอู๋เผิงออกจากเมืองฉางอันนั้น ประชาชนต่างก็ออกมารอต้อนรับและกำลังดื่มน้ำแห่งฉางอันกันคนละชาม ออกจากประตูทางด้านใต้มุ่งหน้าไปยังมณฑลปัวโจว คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะพบโจรป่าที่หุบเขาเยี่ยนจื่อจีแถบลุ่มแม่น้ำฉางเจียง ทั้งครอบครัวประสบเคราะห์ภัย แต่ฆาตกรลงมือไม่หมดจด จึงมีสามคนถูกจับและบอกว่าราชบุตรเขยเหลียงคุนเป็นผู้บงการ เมื่อข่าวแพร่ออกไปไพร่ฟ้าต่างก็ลุกฮือ

 

 

เว่ยเจิงถวายฎีการ้องขอความเป็นธรรมเพื่ออู๋เผิงและขอให้ฝ่าบาทจับกุมเหลียงคุน เพื่อสร้างความชอบธรรมให้ใต้หล้านี้ สร้างความน่าเกรงขามให้ราชสำนัก เพียงพริบตาเดียวเหล่าขุนนางต่างก็พากันเดือดดาล การให้ทหารพลีชีพลอบสังหารขุนนางนั้นมีเพียงช่วงกลียุคเท่านั้นจึงจะปรากฏเหตุการณ์เช่นนี้ หากเหลียงคุนไม่ตาย ฟ้าดินจะไม่มีวันให้อภัย

 

 

หลังจากศาลต้าหลี่ยื่นรายงานไม่ถึงสามวัน เหลียงคุนก็ถูกตัดศีรษะเสียบประจาน ทิ้งศพไว้เป็นเวลาสามวัน ปลดฐานันดรศักดิ์องค์หญิงขององค์หญิงอู่หยาง และสั่งให้ออกบวชชั่วชีวิตห้ามสึกเด็ดขาด

 

 

ทันทีที่ประกาศเรื่องนี้ออกมา ขวัญกำลังใจของข้าราชฝ่ายบุ๋นก็ฮึกเหิมขึ้น นิสัยผัดวันประกันพรุ่งเมื่อครั้งอดีตก็เปลี่ยนไป ขุนนางเริ่มใกล้ชิดกับประชาชนออกตรวจตราทุกหนแห่ง สร้างความสงบสุขต่อผู้ประสบภัย รัชศกเจินกวนที่รุ่งโรจน์แห่งต้าถังจึงได้เริ่มเปิดฉากขึ้นจากจุดนี้

 

 

ภายใต้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่จากทางการ ชาวบ้านผู้ประสบภัยจากภัยพิบัติจากตั๊กแตนก็รีบกลับไปบ้านเกิดก่อนที่จะถึงการทำไร่ไถนาในฤดูใบไม้ผลิ ราชสำนักแจกจ่ายวัวเพื่อการทำนาเป็นจำนวนมาก ม้าเกวียนเพื่อช่วยให้ผู้คนได้สร้างครอบครัวของพวกเขาใหม่อีกครั้ง ตระกูลหลี่แห่งราชวงศ์ถังได้สร้างบันทึกใหม่ขึ้นโดยในช่วงตลอดฤดูหนาว ไม่มีผู้คนเสียชีวิตเนื่องจากความอดอยากขาดแคลนเสื้อผ้าจนต้องหิวตายแม้แต่คนเดียว สังคมมั่นคงมีเสถียรภาพเป็นอย่างยิ่ง เมื่อถึงการตัดสินประหารนักโทษในฤดูใบไม้ร่วง ก็มีเพียงยี่สิบเจ็ดคนเท่านั้นที่ถูกประหารชีวิต ซึ่งกล่าวได้ว่านี่เป็นปาฏิหาริย์เรื่องหนึ่ง

 

 

หลี่เฉิงเฉียนม้วนเก็บเอกสาร ขยี้ดวงตาที่อ่อนล้า เมื่อวานนี้ผู้ประสบภัยกลุ่มสุดท้ายก็กลับไปที่เขาฉีซันแล้ว เดิมทีพวกเขาไม่ยินยอมที่จะกลับไป โดยบอกว่าการทำงานในหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นนั้นดีกว่าการปลูกพืชเสียอีก เจ้านายก็ใจดีไม่เคยเอารัดเอาเปรียบตัวเองเลย ในช่วงปีใหม่ของปีนี้ยังแจกจ่ายเนื้อสามจินให้แต่ละครอบครัวด้วย การทำไรไถนาที่เขาฉีซันหนึ่งปีก็ยังไม่เนื้อให้กินเลย ชาวบ้านผู้ประสบภัยรู้ดีว่าถ้าพวกเขาไม่ได้กลับบ้านก็จะสร้างปัญหาให้กับตระกูลอวิ๋น จึงตั้งใจเลือกชายชราคนหนึ่งมาสอบถามกับรัชทายาทโดยบอกว่าเขาจะทำงานทั้งหมดให้เสร็จก่อน จึงค่อยกลับได้หรือไม่

 

 

ประโยคนี้ทำให้หลี่เฉิงเฉียนอึ้งไป มีอย่างที่ไหนที่ชาวบ้านไม่ต้องการทำไร่ไถนาในที่ดินทำกินของตนเอง แต่ชอบทำงานให้ผู้อื่น ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่เกินความคาดหมายของเขา ไม่เข้าใจว่าเกษตรกรเหล่านี้คิดอย่างไร สุดท้ายก็ไม่จำเป็นต้องถาม เมื่อได้เห็นลูกของชาวนาถือชามเก่าใบใหญ่กำลังกลืนทังปิ่งเข้าปาก เขาก็เข้าใจว่าทำไมเกษตรกรเหล่านี้จึงไม่ยอมกลับบ้าน มีเกษตรกรคนไหนบ้างที่ไม่ได้อาศัยการกินโจ๊กประทังชีวิตกินเวลากว่าครึ่งปี คนงานของหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นกลับเริ่มใจกล้าที่จะกินก๋วยเตี๋ยวอย่างไม่ต้องกังวลแล้ว เช่นนั้นผู้คนที่อาศัยในหมู่บ้านจะร่ำรวยมั่งคั่งเพียงไหนกัน นี่ยังเป็นปีแห่งภัยพิบัติอีกหรือ

 

 

แม้ว่าเกษตรกรเหล่านั้นจะรื้อกระท่อมของพวกเขาหลังจากทำงานเล็กๆ น้อยๆ ในมือที่เหลืออยู่ของพวกเขาทิ้ง เพราะรู้ว่าคนตระกูลอวิ๋นรักสะอาด จึงได้ทำความสะอาดสถานที่ที่พวกเขาอาศัยอยู่อย่างหมดจด แล้วจึงพาภรรยาและลูกๆ ช่วยกันลากเงินและเสบียงที่ได้จากการทำงานในหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นจากหมู่บ้านไปอย่างอาลัยอาวรณ์

 

 

หลี่เฉิงเฉียนนึกถึงฉากที่ผู้ประสบภัยได้รับอาหารแห้งจากตระกูลอวิ๋นและร้องไห้กันยกใหญ่ขึ้นมา ในใจก็รู้สึกเจ็บแปลบ ถ้าเป็นตระกูลใหญ่ตระกูลอื่นจะกล้าทำเช่นนี้ไหม ก็จะมีความผิดโทษฐานซื้อใจคนในทันทีทำให้เขาต้องรับผลกรรมที่ทำไว้

 

 

แต่ตระกูลอวิ๋นนั้นถือเป็นกรณีพิเศษ ใครก็ตามในราชสำนักที่ต้องการกล่าวหาว่าตระกูลอวิ๋นมีจิตคิดไม่ซื่อ ไม่ต้องพูดถึงใครอื่น เสด็จพ่อของตัวเองจะต้องถ่มน้ำลายใส่คนผู้นี้เต็มหน้าแน่ หน่อเนื้อเพียงคนเดียวของตระกูลที่อายุสิบเจ็ดปีกำลังฟันฝ่าวิบากกรรมท่ามกลางหิมะอันหนาวเหน็บในดินแดนที่ห่างออกไปหลายพันลี้เพื่อต้าถัง เหล่าหญิงอ่อนแอที่บ้านผู้ซึ่งไม่เข้าใจอะไรเลย เพียงแค่มีเมตตาเผื่อแผ่ผู้อื่นบ้าง ก็ต้องถูกดึงเข้าไปมีส่วนพัวพันในการเตรียมกบฏหรือ

 

 

 เมืองฉางอันในตอนนี้น่าเบื่อมาก เมื่อเช้านี้หลี่เฉิงเฉียนยังได้ยินปู่ของเขาหลี่หยวนบ่นว่าเจ้าหนุ่มแซ่อวิ๋นไม่อยู่ที่นี่ เมื่อเล่นไพ่นกกระจอกแล้วก็ไม่สนุกอย่างยิ่ง หลันหลิงวิ่งมาหาเขาเพราะอยากกินหมูคั่วเนื้อแดง สุดท้ายกินเพียงคำเดียวก็คายมันออกมาบ่นว่าไม่อร่อยเหมือนที่อวิ๋นเยี่ยทำ ทั้งถามว่าเมื่อไหร่เขาจะกลับมาอย่างเอาเป็นเอาตาย เรื่องผีคราวก่อนเล่าให้ฟังเพียงครึ่งเดียว มันช่างทำให้ค้างคาใจนัก

 

 

 หลี่อันหลานพี่สาวคนโตหลายๆ ครั้งที่อยากจะพูดแต่ก็หยุดไป เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ หลี่เฉิงเฉียนจึงได้แต่ส่ายศีรษะและทอดถอนใจ เมื่อบุพเพวาสนาพลาดไปแล้ว กว่าจะคิดได้ก็สายไปเสียแล้ว เขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าอวิ๋นเยี่ยจะกลายเป็นพี่เขยเขา คนสองคนที่มีความทระนงตนทั้งคู่ เมื่ออยู่ด้วยกันมักจะถูกลิขิตให้ลงเอยไม่ได้ดี หลายวันที่ผ่านมาเสด็จพ่อและเสด็จแม่ได้เริ่มปรึกษากันเรื่องการแต่งงานของพี่สาวแล้ว อย่างไรเสียนางก็อายุสิบหกปีแล้ว หากเป็นองค์หญิงคนอื่นด้วยอายุนางในตอนนี้ก็เป็นแม่คนไปแล้ว

 

 

อวิ๋นเยี่ยได้หมั้นหมายแล้ว เมื่อเสด็จพ่อได้ยินข่าวก็รู้สึกหดหู่ใจเป็นเวลาหลายวัน เสด็จแม่ก็รู้สึกเสียดายแทนพี่สาว ไท่ซั่งหวงก็ห่างเหินกับพี่สาวไปมาก เพียงเพราะเรื่องขัดแย้งกันเล็กน้อยระหว่างทั้งสอง เพื่อที่จะเอาชนะ พี่สาวเลือกผิดเวลา ผิดสถานที่ ใช้วิธีการที่ผิด สุดท้ายก็ทำให้เกิดสภาพการณ์ที่ต้องพลัดพรากจากกัน

 

 

ถึงเวลาที่จะต้องเรียนประเพณีมารยาทอีกแล้ว ขันทีที่เจียมเนื้อเจียมตัวและดื้อรั้น ตั้งใจจับผิดอีกแล้ว หลี่เฉิงเฉียนพบว่าตัวเองไม่โมโหอีกแล้ว ปฏิบัติพิธีรีตองต่างๆ ตามที่ขันทีสั่งทุกอย่างด้วยอาการซึมกระทือ

 

 

เจ้าจะต้องเป็นฮ่องเต้ที่ยิ่งใหญ่ เจ้าจะต้องเป็นกษัตริย์ที่รุ่งเรืองเหนือกว่าฮ่องเต้ทุกยุคทุกสมัยอย่างแน่นอน เป็นแบบอย่างของแก่ชนรุ่นหลัง เช่นนั้นก็เริ่มต้นด้วยเรื่องพิธีรีตองเถอะ! นี่คือคำเตือนสติของอวิ๋นเยี่ย เมื่อเสี่ยวเยี่ยกลับมาก็สมควรถูกเสด็จแม่จับผูกติดกับเก้าอี้ยาวเพื่ออบรม เมื่อคิดถึงฉากที่อวิ๋นเยี่ยที่ทำอะไรอย่างเรื่อยเฉื่อยผูกติดอยู่กับเก้าอี้ยาว หลี่เฉิงเฉียนก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา ที่แท้แล้วใต้หล้านี้ก็มีคนที่เกลียดเรื่องพิธีรีตองมากกว่าข้าอยู่อีกด้วย

 

 

“รัชทายาท เมื่อครู่เรากำลังศึกษาพิธีบวงสรวงเทพเจ้า ท่านตั้งใจหัวเราะ ถือว่าไม่เคารพสวรรค์ ดังนั้น…” ขันที่ยังไม่ทันได้พูดจบ หลี่เฉิงเฉียนก็พูดต่อว่า “ต้องทำซ้ำใหม่อีกสามสิบครั้ง เรารู้แล้ว”

 

 

 

 

——

 

 

[1] โต่ว หน่วยวัดความจุแบบดั้งเดิมของจีน โดย 1 โต่วเท่ากับ 10 ลิตร