ส่วนที่ 5 ตอนที่ 6 เว่ยอ๋องหลี่ไท่

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

ขณะที่สายลมอุ่นในต้นฤดูใบไม้ผลิพัดผ่านเบาๆ บนเขาอวี้ซันยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก ลมหนาวพัดผ่านช่องที่เว้าแหว่งของเขาอวี้ซัน ทำให้คนไม่รู้สึกถึงฤดูใบไม้ผลิเลยแม้แต่น้อย น้ำตกด้านหลังเขาไม่งดงามเหมือนในฤดูร้อน มีเพียงสายน้ำเล็กๆ ไหลลงมาจากหน้าผา ก่อนที่จะถึงตีนเขาก็ถูกสายลมหนาวพัดกระจายกลายเป็นละอองน้ำไป

 

 

หลี่ไท่ห่ออยู่ในเสื้อขนสัตว์ สั่นเทาไปทั้งร่าง ริมฝีปากสีดำคล้ำสั่นไม่ยอมหยุด ฟันกระทบกันส่งเสียงดังกึกๆๆ องครักษ์ร่างกำยำกันอยู่เบื้องหน้าเขาเพื่อป้องกันละอองน้ำไม่ให้โดนร่างกายของท่านอ๋อง บนเสื้อคลุมหนังของเขาก็มีน้ำไหลหยดลงมาไม่หยุด ใกล้จะโดนแช่แข็งทั้งร่างแล้ว

 

 

กังหันลมที่ทำด้วยไม้จะหมุนช้าๆ ภายใต้อิทธิพลของลมหนาว แกนหลักของกังหันลมถูกพันด้วยเชือกขดใหญ่ ในขณะที่กังหันลมหมุนไปเชือกก็จะพันเข้าไปหนึ่งรอบ ทุกๆ ระยะห่างหนึ่งเมตรก็จะทาสีแดงทำสัญลักษณ์ไว้บนเชือก ซึ่งสามารถคำนวณได้อย่างง่ายดายว่า แท้จริงแล้วภายในระยะเวลาที่กำหนดกังหันลมสามารถดึงเชือกกลับได้กี่เมตรกันแน่

 

 

“ห้าสิบเจ็ด” หลี่ไท่พูดจำนวนตัวเลขใหม่ ยื่นมือออกจากกระเป๋าแล้วจับดินสอเขียนด้วยอาการมือสั่นบันทึกตัวเลขนี้ลงในสมุดบันทึกเล่มเล็ก ภายในเวลาหนึ่งก้านธูป ภายใต้การแบกรับน้ำหนัก กังหันลมแบบเรียบง่ายนี้สามารถม้วนเก็บเชือกได้ห้าสิบเจ็ดเมตร

 

 

เขาให้องครักษ์ดึงเพลาแกนหมุนบนกังหันลมออก เมื่อเชือกไม่มีตัวยึดแล้วก็ไหลลงอย่างรวดเร็ว กังหันลมที่ไม่มีเชือกมาพันเกี่ยวจึงหมุนได้คล่องตัวมากขึ้น ความเร็วในการหมุนก็จะยิ่งเร็วขึ้นด้วย เพียงชั่วพริบตาก็ถูกสายลมหนาวแห่งหุบเขาพัดจนเริ่มส่ายโคลงเคลง ตัวโครงไม้เกิดเสียงดังอี๊ดแอ๊ดๆ ด้วยระดับกำลังเช่นนี้ ใช้เวลาไม่นานจะต้องทำให้ตัวโครงไม้หลุดกระจายเป็นชิ้นส่วนอย่างไม่ต้องสงสัย

 

 

“วัสดุเป็นปัญหาใหญ่ กังหันลมที่ทำจากเหล็กลมนั้นพัดไม่ขยับ แต่การแปรรูปเป็นปัญหา โครงสร้างไม้ไม่แข็งแรงพอที่จะทนรับพลังงานจลน์อันแข็งแกร่งของกังหันลมไม่ได้ เช่นนี้จะทำอย่างไรดี ใบพัดของกังหันลมยิ่งใหญ่เท่าไรก็ยิ่งต้านลมมากเท่านั้น น้ำหนักของของหนักที่แบกไว้ก็ยิ่งหนักขึ้นไปอีก ซึ่งตรงนี้ยังมีร่องรอยพิสูจน์ให้เห็นอยู่ น่าเสียดายที่ข้ายังคงไม่เข้าใจว่า แท้จริงแล้วควรทำเช่นไร จึงจะมีวิธีลดการสูญเสียแรงให้เหลือน้อยที่สุด” เมื่อพูดถึงเรื่องเหล่านี้ ดูเหมือนหลี่ไท่จะลืมเรื่องความหนาวเย็นไป สองมือซุกอยู่ในกระเป๋า เดินวนเวียนอยู่บนพื้นเหมือนลาแก่ลากโม่ไม่ยอมหยุด

 

 

 “อวิ๋นเยี่ย เจ้าคนงี่เง่า อยู่ดีไม่ว่าดีไปที่ค่ายทหารทำอะไร ทั้งยังไปถึงทุ่งหญ้าอีก หากถูกชาวเผ่าทูเจวี๋ยที่เลวร้ายนั่นหั่นเป็นชิ้นๆ เจ้าจะให้ข้าไปถามคำถามเหล่านี้กับใคร เจ้ามันก็แค่หนอนหนังสือตัวเล็กๆ คนหนึ่ง จะเป็นอู่โหวบ้าบออะไร ทั้งยังจะไปแนวหน้าอีก เจ้าต่อสู้เก่งนักหรือ ต่อให้จูงสุนัขไปด้วยตัวหนึ่ง หากอยู่ในทุ่งหญ้า ความใจสู้ของมันก็คงจะมีมากกว่าเจ้ากระมัง ทำสงครามเกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วยไม่ทราบ ไม่ซ่อนตัวอยู่ในสำนักศึกษาให้ดีๆ เพื่อสอนหนังสือ อยากจะเป็นวีรบุรุษบ้าอะไรกัน”

 

 

มองดูตัวแท่นไม้ที่ค่อยๆ ร่วงหล่น ความคับข้องใจของหลี่ไท่ก็ยิ่งทวีคูณขึ้น

 

 

“ท่านอ๋อง โครงไม้พังลงแล้ว การทดลองในวันนี้ไม่สามารถทำต่อไปได้ พวกเรากลับกันก่อนเถิด กระหม่อมกังวลว่าพระวรกายของท่านจะไม่สามารถต้านทานลมหนาวที่นี่ได้ หากท่านทรงเจ็บป่วย พระสนมต้องเฉือนเนื้อกระหม่อมเลี้ยงสุนัขเป็นแน่” องครักษ์ร่างกำยำกลัวว่าหลี่ไท่จะมีความคิดพิเรนทร์อะไรอีก จึงฉวยโอกาสขณะที่โครงไม้ล้มลงรีบเกลี้ยกล่อมให้หลี่ไท่กลับไป ที่นี่นั้นหนาวเหน็บจริงๆ

 

 

หลี่ไท่นั้นกลับเชื่อฟังแต่โดยดี เมื่อได้ยินหัวหน้าองครักษ์ของตนเองพูดเช่นนี้ก็มุดเข้าไปในเกี้ยวสองคนหามทันที คนหามเกี้ยวสองคนก็แบกเกี้ยวขึ้นและลงจากเขารวดเร็วปานพายุ หัวหน้าองครักษ์ออกกำลังขยับร่างกาย ใช้มือออกแรงถูแก้มที่ถูกแช่แข็งจนไร้ความรู้สึกอยู่หลายครั้ง จากนั้นจึงวิ่งเหยาะๆ ตามเกี้ยวนั้นลงเขาไป นับตั้งแต่ท่านอ๋องมาที่สำนักศึกษา ภาระหน้าที่ของเขาก็เพิ่มขึ้นมากมาย เมื่อก่อนหากท่านอ๋องหมกตัวอยู่ในหออักษร ขอเพียงเริ่มอ่านตำราแล้วก็จะไม่ย้ายสถานที่เลยทั้งวัน ตนเองวันหนึ่งๆ ว่างจนไม่มีอะไรทำ ไม่เพียงแต่มีเวลาให้ดื่มเท่านั้น ยังมีเวลาไปตรอกผิงอันฟางพบปะสหายได้อีก นั่นจึงจะเป็นสิ่งที่ผู้คนทั่วไปใช้ชีวิตกัน ไม่เหมือนกับตอนนี้ ใช้ชีวิตเทียบกับสุนัขยังไม่ได้เลย หลายวันก่อนต้องแบกก้อนหินปีนขึ้นยอดเขา จากนั้นก็โยนก้อนหินนั้นลงจากยอดเขา กว่าจะรอถึงวันที่ไม่ต้องแบกก้อนหินอย่างยากเย็นแล้ว เตรียมที่จะพักผ่อนหลายๆ วันเพื่อให้ร่างกายที่เมื่อยล้าได้พักฟื้น ใครจะรู้ว่าตอนนี้ต้องมาอยู่ในสายลมหนาวดูกังหันลมพันเชือก บางครั้งยังต้องแขวนถังไม้อีกด้วย

 

 

เขาไม่เข้าใจว่าแท้จริงแล้วท่านอ๋องต้องการจะทำอะไรกันแน่ จะบอกว่าเป็นการละเล่นของเด็กก็ดูไม่ค่อยเหมือนนัก ครั้งล่าสุดที่โยนก้อนหินเขาก็เห็นกับตาว่าก้อนหินหนักสองร้อยจินถูกร่มคันใหญ่พาลอยโคลงเคลงเข้าไปในป่า เชิงเขาก็มีผู้คนอยู่มากมาย นักปราชญ์ในสำนักศึกษาและนักเรียนจำนวนมากที่มาสังเกตการณ์นี้ ก้อนหินถูกลมพัดไปจนเกิดเสียงร้องอื้ออึงขึ้น จากสีหน้าของท่านอ๋องที่ดูพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง ดูเหมือนว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สุดยอดมาก

 

 

ต่อมาท่านอ๋องได้สั่งให้องครักษ์แบกร่มคันใหญ่แล้วกระโดดลงมาจากหน้าผา โดยบอกว่าอยากจะเห็นว่าคนคนหนึ่งจะร่วงหล่นลงมาจากกลางอากาศโดยไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อยได้อย่างไร ทหารองครักษ์คนนั้นคุกเข่าบนพื้นโขกศีรษะจนหน้าผากแตก จึงได้ทำให้ท่านอ๋องยอมเปลี่ยนความคิดโดยใช้หมูแทนคน เมื่อหมูถูกโยนลงมาจากหน้าผา ในตอนแรกมันยังคงร้องโหยหวน แต่เมื่อผ่านไปไม่นานนักหมูตัวนั้นก็หยุดร้องโหยหวน ดูราวกับว่ามันจะเพลิดเพลินไปกับความงามบนท้องฟ้า ขณะที่หาหมูตัวนั้นพบในระยะห่างออกไปหนึ่งลี้ มันกำลังลากร่มขนาดใหญ่พลางใช้จมูกเขี่ยหญ้าเพื่อหาไส้เดือนกิน หมูไม่ตาย ถ้าหากคนแบกร่มขนาดใหญ่ไว้ก็จะไม่ตกลงมาตายเช่นกัน องครักษ์ที่เลือกตีอกชกลมรู้สึกเสียใจภายหลัง ถ้าหากเขาใจกล้ากว่านี้อีกสักหน่อย หลังจากกระโดดลงมาแล้วเขาต้องได้รับการเลื่อนตำแหน่งแน่ๆ โอกาสที่ดีแท้ๆ หายไปต่อหน้าต่อตา

 

 

หลี่ไท่นับวันยิ่งเกลียดงานจิปาถะที่ไม่มีที่สิ้นสุดของเขามากขึ้นเรื่อยๆ ดูเหมือนแต่ไหนแต่ไรมาที่ดินพระราชทานแห่งนี้จะไม่เคยสงบสุขเลย มักจะมีเรื่องที่น่ารำคาญมารบกวนเขาเรื่องแล้วเรื่องเล่าอยู่ตลอดเวลา

 

 

นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน เขาหยิบเอกสารราชการเรื่องขอลดค่าเช่าขึ้นมา จากนั้นก็เขียนอนุมัติมั่วๆ ไปสองสามคำแล้วโยนทิ้งไว้ข้างๆ เขาที่อายุเพียงสิบสี่ปีในหัวมีแต่ตัวอักขระแปลกๆ พวกนั้นอยู่เต็มไปหมด สำหรับเรื่องทั่วไปแล้ว มีความรู้เบื่อหน่ายน่ารำคาญที่ผุดขึ้นจากก้นบึ้งของจิตใจ

 

 

พวกขุนนางที่ขึ้นตรงกับจวนอ๋อง จู้จั้วหลาง[1]เซียวเต๋อเหยียน มี่ซูหลาง[2]กู้อิ้น จี้ซื่อชันจวิน[3]เจี่ยงย่าชิง กงเฉาชันจวิน[4]เซี่ยเหยี่ยน มักจะรวมตัวกันมาเพิ่มความวุ่นวายให้กับหลี่ไท่ ประเดี๋ยวก็ขอให้ท่านอ๋องทรงปฏิบัติตัวเป็นแบบอย่างของราชนิกุล ช่วยสร้างประโยชน์สุขให้กับประชาชนในเขตที่ดินพระราชทาน ประเดี๋ยวก็ขอให้ท่านอ๋องได้โปรดติดต่อกับฝ่าบาทให้มากขึ้นเพื่อที่จะได้รับความโปรดปราน ทั้งยังถึงขั้นที่ขอให้เข้าวังไปถวายพระพรฮองเฮาเป็นประจำ อย่างเลวร้ายที่สุดเลยก็ควรไปมาหาสู่กับขุนนางใหญ่ในราชสำนักให้มากๆ เพื่อให้ในพระทัยของฝ่าบาททรงเห็นว่าเป็นผู้ที่ฉลาดปราดเปรื่องมากสามารถ

 

 

ในฐานะองค์ชายหลี่ไท่เองก็ไม่ใช่คนโง่ มีหรือที่จะมองจุดประสงค์ของคนเหล่านี้ไม่ออก ก็เพื่อสนับสนุนตัวเองอย่างเต็มที่เพื่อให้แย่งตำแหน่งสูงสุดกับพี่ใหญ่หลี่เฉิงเฉียนไม่ใช่หรือ เมื่อก่อนเคยมีจินตนาการอยู่บ้าง บางครั้งตอนกลางคืนก็ยังหลับฝันหวานว่าตัวเองได้เป็นฮ่องเต้ด้วย

 

 

ในตอนนี้ ความหวังฟุ้งเฟ้อเช่นนี้แทบจะไม่เหลือร่องรอยใดๆ อยู่ในความคิดเขาเลย เสด็จพ่อของเขามีวันไหนบ้างที่ไม่ได้เข้านอนหลังเที่ยงคืนและตื่นตีห้าบ้าง บนโต๊ะทรงพระอักษรมักจะมีฎีกาที่ต้องตรวจอนุมัติไม่จบไม่สิ้น วันนี้เป็นกังวลเกี่ยวกับภัยพิบัติจากตั๊กแตน พรุ่งนี้ก็เศร้าเสียใจกับเรื่องที่ผู้ใต้บังคับบัญชาในอดีตคิดก่อกบฏ เฮ้อ ชะตาชีวิตฮ่องเต้ประเภทนี้ที่ถือดาบเข่นฆ่า วางดาบก็ต้องคิดแผนการ เป็นสิ่งที่ตัวเองต้องการจริงๆหรือ เสด็จพ่อได้เพิ่มที่ดินพระราชทานให้ เพิ่มแล้วเพิ่มอีกจนตอนนี้ถึงจุดสูงสุดแล้ว ทุกครั้งที่เห็นแววตาที่อิจฉาของพี่สามหลี่เค่อแล้ว ทำไมจึงไม่รู้สึกภาคภูมิใจเลย

 

 

ร่มคันใหญ่ที่พาหมูหนีออกไปได้ ทำไมเห็นแล้วข้าจึงดีใจเป็นบ้าเป็นหลัง เมื่อตอนที่หวงสู่มุดออกมาตรงบริเวณวงกลมสีขาวที่ตัวเองวาดไว้โดยไม่ขาดไม่เกินแม้แต่นิดเดียว ทำไมหัวใจจึงเต้นแรงมาก การที่สายฟ้าผ่าลงรอบๆ กายอวิ๋นเยี่ย ทำไมทำให้ตัวเองอิจฉาอย่างหลงใหลเหมือนต้องมนตร์สะกด แม้แต่งานที่น่าเบื่อในการทำเครื่องหมายบนแผนที่ด้วยการขีดเส้นแนวนอนและแนวตั้งก็ทำให้ตัวเองเคลิบเคลิ้มได้ ข้าเป็นองค์ชาย ไม่ใช่ว่าควรจะเกิดมาเพื่อแย่งชิงบังลังก์กษัตริย์อย่างถวายชีวิตอย่างนั้นหรือ

 

 

เขาบังคับตัวเองให้สงบใจลงและหยิบฎีกาเหล่านั้นขึ้นมาใหม่ โดยอ่านและพิจารณาทีละฉบับๆ

 

 

“มีกิเลนปรากฏตัวขึ้นที่ฉู่โจวหรือ” เมื่อพลิกอ่านตรวจฎีกาของชื่อสื่อ[5]เมืองฉู่โจวกลับได้เห็นประโยคนี้ หลี่ไท่โกรธมาก เจ้าสารเลว จะมาหลอกข้าอีกแล้ว คราวก่อนบอกข้าว่ามันคือต้นท้อที่ออกดอกคู่ ทั้งยังบอกว่ามันคือสมบัติมงคลนิรันดร์ ตนเองจึงได้ชื่นชมและให้รางวัล สุดท้ายถูกอวิ๋นเยี่ยหัวเราะเยาะอยู่ครึ่งปีเต็มๆ ทั้งยังตั้งฉายาให้ว่าดอกท้อคู่อีกด้วย ของพรรค์นั้นอวิ๋นเยี่ยหามาจากสวนผลไม้ได้ไม่ต่ำกว่ายี่สิบดอก คราวนี้ยังจะเอาอีกหรือ ทั้งยังว่าเป็นกิเลนอะไรด้วย ของสิ่งนั้นมีไฟลุกไหม้ทั้งร่าง มีความสามารถในการทะยานฟ้าทะลุหมอกได้ แล้วพวกเจ้าจับมาได้อย่างไร คงจะไม่ได้หลอกข้าอีกหรอกนะ

 

 

ตั้งแต่ได้เห็นอวิ๋นเยี่ยควบคุมฟ้าผ่าได้อย่างใจนึก หลี่ไท่ก็เลิกเชื่อถือของเล่นเหล่านี้อย่างสิ้นเชิง อวิ๋นเยี่ยบอกว่ามันเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอย่างหนึ่ง เมื่อเมฆสองก้อนที่แตกต่างกันมาปะทะกันเข้าก็จะเกิดฟ้าผ่าขึ้น แม้ว่าจะยังไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูดเกี่ยวกับอิเลคตรอนและโปรตอนว่ามันคืออะไร แต่หลี่ไท่ก็คิดว่าคำอธิบายนี้น่าเชื่อถือกว่าเรื่องที่เทพเจ้าสายฟ้าที่อยู่บนก้อนเมฆใช้ค้อนตอกลงบนแท่งสิ่ว กระพือปีกตีฉาบใหญ่เป็นอย่างมาก

 

 

อวิ๋นเยี่ยอธิบายจนหงุดหงิด จึงบอกว่าสักวันหนึ่งเขาจะสร้างบอลลูนไอร้อนและพาตัวเองลอยเข้าไปในกลุ่มเมฆ เมื่อได้เห็นก็จะเข้าใจเอง มันคือไอน้ำทั้งหมด ไม่แตกต่างอะไรจากไอร้อนที่ลอยออกมาจากกาน้ำชา

 

 

ความจริงนั้นโหดร้ายและน่าเบื่อกว่าตำนานมากมายนัก ไม่มีมนุษย์มีปีกและไม่มีผู้หญิงที่สามารถสร้างฟ้าผ่าได้ด้วยการตีฉาบ หลี่ไท่สามารถจินตนาการได้เลยว่ากิเลนที่ส่งมานั้นถ้าไม่ใช่หมูอ้วนที่แปะด้วยทองคำเปลวทั้งตัว ก็ถือว่าเป็นความตั้งใจของชื่อสื่อเมืองฉู่โจวก็แล้วกัน

 

 

ต้องรีบตำหนิอย่างรวดเร็ว ได้ยินว่าอวิ๋นเยี่ยมาถึงด่านด้านในแล้ว อีกไม่กี่วันก็จะกลับมาแล้ว ถ้าหากให้เขารู้ คงต้องขำตายแน่ คราวที่แล้วเรียกว่า “ดอกท้อคู่” นับว่ายังไว้หน้ากันบ้าง ถ้าหากคราวนี้ให้รู้เข้าว่ามีเรื่องเช่นนี้ ไม่รู้ว่าตั้งฉายาให้ว่าอะไรอีก

 

 

เพื่อชื่อเสียงของตัวเอง หลี่ไท่ได้เขียนคำสี่คำเอาไว้ในฎีกาของชื่อสื่อเมืองฉู่โจวว่า “เหลวไหลทั้งเพ!”

 

 

ฎีกาบนโต๊ะดูเหมือนยิ่งตรวจพิจารณาอนุมัติเท่าไร มี่ซูหลางกู้อิ้นก็ยิ่งส่งมาเพิ่มมากขึ้น เมื่อเห็นมี่ซูหลางยิ้มตาหยี หลี่ไท่ก็อยากจะแหงนหน้ามองฟ้าแล้วถอนหายใจในทันใด พวกเขาก็เป็นเช่นนี้ เมื่อเห็นว่าหลี่ไท่เริ่มทำงานก็จะตื่นเต้นดีใจเป็นที่สุด ราวกับว่าความร่ำรวยมั่งคั่งของพวกเขานั้นอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม

 

 

“วันที่สิบเดือนสอง มีชาวเผ่าหูนำทาสคุนหลุนขึ้นฝั่งและเปิดราคาอยู่ที่หนึ่งร้อยก้วน ทาสคุนหลุนนั้นสูงเก้าฉื่อ มีกำลังดุจช้างสาร มีผิวสีดำเข้มและมีห่วงทองแดงคล้องอยู่ที่จมูกและหู ช่างดูประหลาดตายิ่งนัก ตั้งใจนำมาถวายแด่ท่านโดยเฉพาะ หวังว่าจะเป็นที่พอพระทัยของท่านอ๋อง” นี่คือฎีกาของชื่อสื่อเมืองหยางโจว เรื่องใหญ่ด้านการทหารจะต้องถวายให้กับฮ่องเต้เป็นผู้ตัดสิน เมื่อมาถึงเขาก็มีแต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ ก็เพียงแค่ชายผิวดำคนหนึ่งจำเป็นต้องเสียเงินซื้อด้วยราคาหนึ่งร้อยก้วนเลยหรือ ฟังความไม่เข้าใจ เขียนหนังสือก็ไม่ได้ กินมากกว่าคนอื่น ทำน้อยกว่าคนอื่น สามารถใช้เป็นของเล่นได้อย่างเดียว ในสถานที่ที่เรียกว่าแอฟริกามีคนประเภทนี้อยู่ทั่วทุกแห่งหน เปลือยกายอยู่บนทุ่งหญ้าเล่นซ่อนหากับสิงโต ทั้งยังมักจะถูกสัตว์ป่าจำพวกสิงโตหรือจระเข้จับไปเป็นอาหารเสริมคนสองคน มีค่าถึงหนึ่งร้อยก้วนที่ไหนกัน เห็นได้ชัดว่าเจ้าสารเลวนี่ใช้เงินหลวงมาเอาใจกับเจ้านาย

 

 

ชุดกระโปรงที่เสด็จแม่สวมใส่นั้นไม่ลากพื้นอีกแล้วและยังเผยให้เห็นหลังเท้าด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อใช้วัตถุดิบผ้าให้น้อยลง เป็นตัวอย่างให้กับคนใต้หล้าและยังประหยัดเงินได้อีกหลายส่วน พวกเขายังมีความเป็นมนุษย์อยู่หรือเปล่า เงินหนึ่งร้อวยก้วนสามารถซื้อวัวได้สิบกว่าตัว ให้เขานำเงินหนึ่งร้อยก้วนของตัวเองจ่ายชดเชยมา

 

 

จึงเรียกมี่ซูหลางกู้อิ้นมาแล้วบอกสิ่งที่ตัวเองตัดสินใจ ให้เขาร่างหนังสือตำหนิลงไป คิดไม่ถึงว่ากู้อิ้นจะอิดออดปฏิเสธที่จะเขียน

 

 

หลี่ไท่โมโหเป็นอย่างมาก ขณะที่กำลังจะตำหนิ ก็เห็นกู้อิ้นประสานมือและพูดว่า “ท่านอ๋องทรงมีเมตตาต่อไพร่ฟ้าที่ทุกข์ยาก กระหม่อมเคารพนับถือเป็นอย่างยิ่ง เพียงแต่ว่า อย่างไรเสียชื่อสื่อของเมืองหยางโจวก็ยังคงเป็นผู้ว่าการมณฑลด้วย แม้ว่าเรื่องจะจัดการอย่างไม่เหมาะสม แต่ก็เป็นความหวังดี ดังที่กล่าวกันว่าเมื่อเขาหวังดีก็อย่าได้ถือโทษเลย ต่อไปท่านอ๋องยังมีเรื่องที่ต้องใช้เขาอีกมากมาย อย่างไรเสียไว้หน้าเขาบ้างจะเป็นการดีกว่า”

 

 

 กู้อิ้นเป็นยอดคนที่หาได้ยาก เขียนบทความได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว หลี่ไท่ประทับใจเป็นอย่างมาก เดิมคิดว่าเขาเกิดมามีฐานะยากจน จะต้องทนดูเรื่องสกปรกเหล่านี้ในวงการราชการไม่ได้ คิดไม่ถึงว่าคำพูดไม่แยกผิดถูกจะออกมาจากปากของเขา หรือจะบอกว่าเพื่อที่จะมีพันธมิตรเพิ่มอีกคนหนึ่ง แม้ว่าจะต้องทำเรื่องเลวร้ายก็ยังจะร่วมมือกันหรือ

 

 

 

 

——

 

 

[1] จู้จั้วหลาง เป็นชื่อตำแหน่งขุนนางที่อยู่ในฝ่ายจู้จั้วจวี๋ซึ่งขึ้นตรงต่อสำนักราชเลขา ทำหน้าที่ประพันธ์คำกล่าวบวงสรวง คำอวยพร เป็นต้น

 

 

[2] มี่ซูหลาง เป็นชื่อตำแหน่งขุนนางสมัยโบราณที่ขึ้นตรงต่อสำนักราชเลขา ทำหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับการเก็บรักษาตำรา แผนที่ คัมภีร์ เป็นต้น

 

 

[3] จี้ซื่อชันจวิน เป็นชื่อตำแหน่งขุนนางโบราณที่ทำหน้าที่ร่างเอกสารต่างๆ บันทึกการประกาศคุณงามความดีของกองทัพ

 

 

[4] กงเฉาชันจวิน เป็นชื่อตำแหน่งขุนนางสมัยโบราณทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยนายกเทศมนตรีเขตต่างๆ ในการตรวจสอบและบันทึกการทำงานของเขตนั้นๆ เป็นหลัก

 

 

[5] ชื่อสื่อ เป็นตำแหน่งขุนนางสมัยโบราณ ซึ่งทำหน้าที่ฝ่ายควบคุมและตรวจสอบ โดยอำนาจและระดับขั้นแตกต่างกันไปตามยุคสมัย