ที่สถาบันวิจัยค่ายหนานตู้เศษซากสถานที่ที่หลงเหลือจากไฟไหม้นั้นไม่เหลือเค้าเดิมของสถาบันวิจัยอันทันสมัยให้เห็นเลย มันเต็มไปที่ความดำไหม้ และเพราะว่าชั้นแรกสุดของสถาบันวิจัยเดิมทีอยู่ภายใต้การวิจัยกายวิภาคของซอมบี้ ทำให้ตอนนี้ทันทีที่ฉางกวนหลงมาถึง จึงได้กลิ่นเหม็นเน่าของซากศพซอมบี้ที่ถูกเผาไม้อย่างเข้มข้นเป็นอันดับแรก
”หน้ากากครับท่านพลเอก” มู๋หรงยู่เฉิงที่อยู่ข้างๆรีบยื่นหน้ากากป้องกันให้ทันทีที่เห็นฉางกวนหลงมาถึง
ฉางกวนหลงที่กำลังเร่งรีบไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้เลยเขาเดินตรงไปที่ประตูและเข้าไปด้านในที่เต็มไปด้วยความมืดทันที นายทหารที่เข้ามารายงานและเป็นคนนำฉางกวนหลงมาที่นี้ก็เดินตามอย่างระมัดระวัง ตัวสั่นเทิ้มด้วยความกลัว ”ชักช้าเสียเวลา!”ฉางกวนหลงอารมณ์ร้อน ตอนนี้เขาไม่สามารถมาสนใจมาตรการรักษาความปลอดภัยอะไรได้แล้ว เขาคว้าไฟฉายมาและตัดสินใจเดินนำเข้าไปเอง
ทุกคนรอบๆไม่มีกล้าส่งเสียงอะไรทั้งนั้นได้แต่รีบเดินตามหลังฉางกวนหลงไป
หลังจากผ่านทางเข้ามาได้ฉางกวนหลงเมินเฉยต่อสภาพซากปรักหักพังภายในที่เหลือแต่เถ้าถ่าน หากกลับเดินผ่านมาถึงประตูที่เหมือนจะมีแป้นรหัสลายมือนิ้วตั้งอยู่
”ตรงนี้สินะ!”ฉางกวนหลงยืนอยู่ตรงหน้าประตูสีดำสนิทที่ด้านนอกถูกความร้อนเผาไหม้ ความโกรธภายในที่สุมอกเอาไว้แทบจะระงับไม่อยู่
ไอ้พวกนักวิจัยในค่ายของเขากล้าตบตาเขาภายใต้จมูกเขาอย่างไม่กลัวเกรงเลยสินะ?!
”ครับ”มู๋หรงยู่เฉิงพยักหน้ารับ ชี้นิ้วไปที่ประตูตรงหน้า “ประตูนี้ถูกความร้อนของไฟเผาจนไหม้ ตัวแป้นรหัสล็อคลายนิ้วมือก็ถูกทำลายแล้ว พวกเราจึงเข้าไปได้เลยครับ”
”เปิดประตู”ฉางกวนหลงกัดฟันออกคำสั่ง
”ปั้วะ!”
ประตูที่เคยยากที่จะเปิดในตอนนี้กลับถูกเปิดออกได้อย่างง่ายดายต่อหน้าฉางกวนหลง ทันใดนั้นมันก็มีกลิ่นอับชื้นเหม็นหืนมากมายผสมปนเปอยู่ในอากาศ จนจมูกแทบทนรับไม่ไหว
ฉางกวนหลงหรี่ตาขณะก้าวเดินนำเข้าไปด้านในหลังจากทุกคนเดินผ่านทางเดินยาวเหยียดเข้ามาจนมาถึงขั้นบันไดยาว ทันใดนั้นพวกเขาก็ได้เจอกับภาพที่ทำให้ประหลาดใจ
มันคือภาพผนังที่ถูกขวานชูฮันฟันจนขาดเป็นรูโหว่ขนาดใหญ่ที่พื้นมีเศษซากดินปูนและน้ำนองที่พื้นอยู่
สีหน้าของฉางกวนหลงบูดบึ้งยกไฟฉายในมือสาดส่องไปทั่ว และก็ได้เห็นอุโมงค์ขนาดใหญ่ลึก 5 เมตรที่ตอนนี้เต็มไปด้วยน้ำ เขาไม่สามารถมองเห็นใต้ล่างของอุโมงค์ได้นอกเหนือจากว่ามันไม่มีความลับซ่อนไว้ข้างใต้นั่น ถ้าอย่างนั้นความลับนั้นคงถูกฝังไว้ตลอดกาล
”นี่มัน…”มู๋หรงยู่เฉิงไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ได้เห็นตรงหน้า เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงขลาดกลัว “ตอนที่เราพบที่นี้ครั้งแรก ระดับน้ำมันยังไม่ขึ้นสูงขนาดนี้ครับ”
”ช้าไปหนึ่งก้าวสินะ”น้ำของฉางกวนหลงมีความหงุดหงิดจางๆอยู่ เห็นได้ชัดว่ามีกลุ่มคนที่ไม่อยากให้พวกเขารู้ว่าใต้น้ำนี่มีอะไรอยู่
”เราสามารถค่อยๆสูบน้ำที่นี้ออกไปได้มั้ย?”ฮวงชูเจิ้นเอ่ยความคิดที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจขึ้นมา
ฉางกวนหลงนิ่วหน้าขณะจ้องไปที่อุโมงค์ที่เต็มไปด้วยน้ำตรงหน้าไม่วางตาเขาส่ายหัวและยิ้มออกมา “มันใหญ่เกินไป ลึกเกินไป ในเมื่ออีกฝ่ายมีความสามารถในการปิดกั้นการสำรวจของเราได้ในเวลาสั้นๆแบบนี้ ต่อให้เราระดมกำลังพลมากแค่ไหนมาทำการสืบสวนหรือรอจนกระทั่งสูบน้ำออกไปจนหมด ความลับข้างล่างก็คงหายไปหมดแล้วเช่นกัน”
มู๋หรงยู๋เฉิงเหยียดยิ้มอย่างแค้นใจ”แล้วตอนนี้เราจะทำอย่างไรดีครับ?”
ฉางกวนหลงเขวี้ยงไฟฉายในมือทิ้งและหมุนตัวเดินจากไปด้วยความโกรธ”ดึงกำลังพลของเรากลับไปไว้ที่ค่ายเหมือนเดิม ครั้งนี้เราต้องยอมแพ้ให้อีกฝ่ายไป เพราะเราไม่มีความสามารถจะไปต่อกรและก็คงตามหาใครไม่เจอ ครั้งนี้ฉันจะยอมให้พวกมันได้ชัยชนะไปก่อน!”
ในขณะที่ฉางกวนหลงและคนอื่นๆอยู่ที่ชั้นใต้ดินของสถาบันวิจัยเพื่อทำการสำรวจอยู่ชูฮันก็อยู่ตัวคนเดียวในบ้านพัก กำลังนั่งอ่านข้อมูลงานวิจัยที่ได้หวังไคเก็บรวบรวมจากชั้นใต้ดินมาให้
”แม่งเอ๊ย!การทดลองนี้มัน?” หวังไคช็อคขณะชี้นิ้วไปที่รายงานการทดลองตรงหน้า “นี่มันการวิจัยของหยวนซีเยที่สถายันวิจัยซิงเฉินไม่ใช่เหรอ?” novel-lucky
หวังไคชี้ไปที่เอกสารงานวิจัยตรงหน้าซึ่งรายละเอียดข้างในค่อนข้างทำให้ตกใจอย่างมาก ไหนจะพูดถึงเรื่องที่บอกว่าแม่ของชูฮันเกือบตายตาการทดลองนี้อีก!
มันมีแสงจางๆในนัยน์ตาของชูฮันเขาแสยะยิ้ม “ร่องรอยของซาวชุนฮุยนั้นเห็นได้ชัดเจนเลย ดูเหมือนว่าที่ฮูเหมิงฮาวจะบอกว่าซาวชุนฮุยเป็นคนเสแสร้งจะเป็นจริง”
”นี้มันเกินไป!”หวังไคเดือดจัด “หลังจากผ่านมาตั้งนาน เขาตามตัวสมาชิก Mensa เจอทีละคน แล้วก็ปล่อยให้ทุกคนตายอีกแล้ว? แม่ง! เวรเอ๊ย!”
”เขาเองก็เป็นสมาชิกหลักของMensa” ชูฮันพูดเสียงแผ่ว
หวังไคที่กำลังบ่นอย่างหงุดหงิดอยู่เงียบปากทันทีด้วยความตกใจ ตาเบิกกว้าง จากนั้นก็ชี้ไปที่กองเอกสารตรงหน้าและถามขึ้น “แล้วนายจะทำยังไงกับพวกนี้ต่อ? เผา?”
ชูฮันเหลือบตามองหวังไค”ซาวชุนฮุยใช้เงินไปตั้งมากกับการวิจัยและเราจะทำลายมันทิ้งได้ยังไง?” เป็นอีกครั้งที่หวังไครู้สึกกลัว”ชูฮัน นี้มันโปรเจคเลวชั่วช้า ไร้ศีลธรรมสิ้นดี!!!”
”ครึ่งหนึ่งของมันเป็นการปูทางเพื่อความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่”ชูฮันพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงล้ำลึก ไม่สนใจทาาทางไม่เข้าใจของหวังไค “ซาวชุนฮุยล้มเหลวในปีท้ายๆของโลกาวินาศ เพราะเขาเลือกเดินทางที่ผิด”
หวังไคนิ่งงันไม่สามารถตามคำพูดของชูฮันได้ทัน
ตอนนี้ชูฮันได้แยกแยะกองข้อมูลตรงหน้าและจำแนกสิ่งที่เขาคิดว่ามีประโยชน์เอาไว้ บางทีงานวิจัยพวกนี้อาจไร้ประโยชน์สำหรับหวังไค แต่สำหรับชูฮันที่ล่วงรู้ถึงเหตุการณ์ที่จะพัฒนาต่อไปในอนาคต ด้วยเหตุนี้งานวิจัยของซาวชุนฮุยจึงมีประโยชน์ต่อชูฮันในบางแง่ แม้ว่ามันจะเป็นการทดลองมนุษย์ที่ดูจะชั่วช้าอย่างมาก แต่เขาสามารถนำมันไปปรับใช้ในบางมุมแทนได้
มันเป็นเพราะความล้มเหลวซ้ำซ้อนของการวิจัยที่ทำให้งานวิจัยของซาวชุนฮุยต้องระงับไว้ในตอนนี้และไปรุ่งโรจน์ในสองปีสุดท้ายของโลกาวินาศ แต่เพราะโลกาวินาศในตอนนี้มันต่างจากชาติที่แล้วอย่างสิ้นเชิง เพราะฉะนั้นชูฮันจะไม่ทำให้ซาวชุนฮุยได้มีโอกาสทำเรื่องเลวทรามเด็ดขาด
———-
ค่ายซางจิงมีการพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วในปีที่สองของโลกาวินาศนอกเหนือจากครั้งล่าสุดที่เกาช้าวฮุ่ยมาพังห้องประชุมในเมืองชั้นในไป มันก็ไม่มีเหตุการณ์วุ่นวายใดๆเกิดขึ้นอีก และเนื่องจากที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่ดีเยี่ยม การพัฒนาของซางจิงจึงมีแต่เพิ่มขึ้นไม่หยุด ค่ายอื่นๆเองก็เริ่มเจริญรุ่งเรืองตามมาเช่นกัน
ตอนนี้บนถนนเส้นหนึ่งในค่ายซางจิง จางตงที่ถูกโมเซอบังคับให้กลับมายังซางจิงกำลังนั่งอยู่ในมุมหนึ่งด้วยสภาพโทรมอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
”พี่โมเซอผมอยากจะหนีไปจากซางจิงจะตาย แล้วพี่จะลากผมกลับมาให้แห้งเหี่ยวแบบนี้ทำไม?” แม้จะอับจนหนทาง แต่ภาพลักษณ์ภายนอกของจางตงก็ยังดูโหดเหี้ยมและน่ากลัวสำหรับผู้พบเห็นเสมอ
จางตงไม่คิดจะต่อต้านและหาทางหนีไปจากโมเซอเพราะเชือกแปลกๆที่โมเซอ้มันมัดมือของจางตงเอาไว้แน่นจนไม่สามารถแกะออกได้เลย การอยากมีชีวิตอิสระเป็นเรื่องปกติ และเขาก็อยากมี แต่มันไม่จำเป็นที่จะต้องเสี่ยงให้ข้อมือหลุดไปด้วย
โมเซอที่นั่งอยู่ข้างจางตงด้วยท่าทีสบายๆคอยเฝ้ามองภาพชาวบ้านในค่ายอย่างเงียบๆ หลังจากผ่านไปพักใหญ่จู่ๆเขาก็เอ่ยสิ่งที่จางตงไม่คาดคิดขึ้นมา “นายรู้จักชาช่าวหน่านมั้ย?”