ตอนที่ 484 จริงใจ

บุตรอสูรบรรพกาล

ตอนที่ 484

จริงใจ

“สำนักใหญ่เหมือนกันนะเนี่ย”ไก่ฟ้าหงอนทองว่าพลางเดินเข้าไปในเมืองที่สำนักผลาญสุริยันตั้งอยู่ แม้จะไม่ได้ยิ่งใหญ่เหมือนสำนักใหญ่ๆในอาณาจักรอู๋หรือไป๋ แต่สำนักผลาญตะวันก็ใหญ่มากจริงๆสำหรับสำนักฝึกฝนพลังวิญญาณสำนักหนึ่ง โดยพื้นที่ของสำนักกินอาณาเขตเมืองทางเหนือไปเกือบทั้งหมด คิดเป็น 1 ใน 4 ของเมืองเลยทีเดียว

“พวกท่านกำลังจะไปไหนกัน”ในขณะที่ไป๋จูล่งและไก่ฟ้าหงอนทองกำลังจะเดินเข้าไปในสำนักผลาญสุริยันอยู่ๆศิษย์ที่เฝ้าหน้าประตูก็วิ่งเข้ามาห้ามเสียก่อน

“อ่อ…หลานชายข้าอยากจะขอเข้าสำนักหน่อย เจ้าช่วยติดต่อให้ได้หรือไม่”ไก่ฟ้าหงอนทองว่าพลางยิ้มกว้างออกมาด้วยท่าทีเป็นมิตร

“เข้าสำนัก เจ้าไม่รู้หรือยังไงว่าเรามีกฎเช่นไร หากจะเข้าสำนักจะต้องมีการแนะนำจากสำนักย่อยเสียก่อน ไม่ใช่จะเดินมาสมัครเอาง่ายๆแบบนี้”ศิษย์ที่เฝ้าหน้าประตูพูดพลางทำหน้าไม่ถูกใจออกมาทันที มันเองก็ต้องฝึกฝนกับสำนักย่อยมานานแรมปีกว่าจะได้เข้าสำนักผลาญสุริยัน พยายามมาหลายปีกว่าจะได้รับหน้าที่ดูแลหน้าสำนักเชียวนะ

“เอาน่าๆ เจ้าช่วยเรียกคนมีอำนาจมาคุยกับข้าหน่อยก็แล้วกัน”ไก่ฟ้าหงอนทองยังคงยิ้มแย้มพลางเดินเข้าไปกอดคอศิษย์ผู้ทำหน้าที่เฝ้าหน้าสำนักเอาไว้

“เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร พวกท่านอาวุโสไม่ออกมาพบคนง่ายๆ…..”ศิษย์เฝ้าหน้าสำนักทำท่าจะต่อว่าไก่ฟ้าหงอนทองเสียเต็มปาก แต่อยู่ๆไก่ฟ้าหงอนทองก็ยื่นตั๋วเงินแผ่นหนึ่งออกมา ซึ่งในนั้นเขียนจำนวนเงินที่ล่อตาล่อใจมากทีเดียว

“ท่านอาวุโสค่อนข้างยุ่ง เอาเป็นว่าข้าจะลองไปถามท่านก็แล้วกัน”ศิษย์เฝ้าประตูสำนักว่าพลางรับตั๋วเงินเอามาใส่เอาไว้ในเสื้อตนเองด้วยท่าทีเหมือนต้องรับเสียไม่ได้ ก่อนที่มันจะรีบวิ่งเข้าไปในสำนักอย่างรวดเร็ว

“ท่านน้า เมื่อครู่ท่านน้าทำอะไรหรือขอรับ”ไป๋จูล่งถามด้วยท่าทีงงๆ อีกฝ่ายอยู่ๆก็เปลี่ยนท่าทีไปเสียอย่างนั้น ทำเอามันประหลาดใจไม่น้อย

“ไม่มีอะไรหรอก”ไก่ฟ้าหงอนทองหัวเราะพลางยิ้มออกมา เรื่องเช่นนี้จูล่งยังไม่จำเป็นต้องรู้หรอก

“ท่านหรือคือคนที่อยากจะพบข้า”หลังจากรออยู่พักหนึ่ง ชายชราผู้หนึ่งก็เดินออกมาจากประตูสำนักพร้อมกับศิษย์คนเฝ้าประตูก่อนหน้านี้ ท่าทางชายชราผู้นี้จะเป็นอาวุโสของสำนักผลาญสุริยันกระมัง

“ยินดีที่ได้พบท่านอาวุโส วันนี้ข้ามีเรื่องอยากจะขอร้องท่านเสียหน่อย”ไก่ฟ้าหงอนทองว่าพลางเดินเข้าไปหาท่านผู้อาวุโสอย่างสบายใจ

“มีอะไรก็พูดมา วันนี้มามีธุระอีกมาก”ท่านผู้อาวุโสตอบพลางทำหน้าไม่พอใจออกมา อยู่ๆศิษย์ของมันก็มารบเร้าขอร้องให้มันออกมารับแขกให้ได้มันก็นึกว่าเป็นคนใหญ่คนโตเสียอีก แต่กลับเป็นเจ้าอ้วนกับหลานชายท่าทางธรรมดาๆเสียอย่างนั้น แม้จะพอดูร่ำรวยอยู่บ้าง แต่ไม่มีผู้คุ้มกันเลยท่าทางจะแค่พอมีฐานะ

“ข้าอยากจะฝากหลานชายเข้าสำนักของท่านหน่อย ไม่ทราบว่าท่านอาวุโสพอจะช่วยได้หรือไม่”ไก่ฟ้าหงอนทองถามพลางยิ้มออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง

“เกรงว่าจะไม่ได้ หลานท่านไม่มีพลังวิญญาณเกรงว่าจะไม่เคยฝึกฝนวิชามาก่อน สำนักเราเน้นรับคนมีความสามารถ หากรับหลายท่านมาข้าก็ไม่คิดว่าหลานท่านจะเรียนรู้ร่วมกับศิษย์คนอื่นได้”ท่านอาวุโสตอบพลางส่ายหน้าช้าๆ ความจริงหากจูล่งเป็นเด็กธรรมดาการทำเช่นนี้นับว่าถูกต้องแล้ว เพราะต่อให้รับมาพวกมันก็ไม่ได้สอนวิชาพื้นฐานอยู่แล้ว สู้ให้ไปเรียนวิชาแรกเริ่มจากสำนักย่อยเอาดีกว่า

“อย่าพึ่งใจร้อนเลยท่านอาวุโส เราไปนั่งจิบชาคุยกันสักครู่ดีหรือไม่”ไก่ฟ้าหงอนทองถามพลางทำมือเป็นสัญลักษณ์เกี่ยวกับเงินช้าๆ แน่นอนว่าท่านอาวุโสย่อมพอจะทราบความหมายอยู่บ้าง

“งั้นข้าจะลองดูความจริงใจของท่าน”อาวุโสเห็นเช่นนั้นก็พาไก่ฟ้าหงอนทองและไป๋จูล่งเข้าไปข้างในสำนัก ก่อนจะพาพวกมันไปในห้องส่วนตัวของตนเองโดยให้จูล่งและศิษย์เฝ้าประตูรออยู่ข้างนอก

“เอาล่ะ ท่านต้องการให้หลายชายเข้าสำนักไม่ทราบว่าท่านมีความจริงใจมากแค่ไหนกัน”อาวุโสพูดด้วยท่าทีดุดันอย่างมาก แต่ไก่ฟ้าหงอนทองกลับไม่ได้รู้สึกกดดันอะไรเลย มันยังคงยิ้มแย้มอยู่เช่นเดิม

“แน่นอน ข้ามีความตั้งใจและจริงใจอย่างมากในการให้หลานของข้าได้เข้าสำนัก”ไก่ฟ้าหงอนทองตอบพลางนำตั๋วเงินออกมาจากกระเป๋าเสื้อ มันวางตั๋วเงินใบนั้นลงบนโต๊ะของท่านอาวุโสอย่างเชื่องช้าทำให้เห็นจำนวนเงินได้อย่างชัดเจน

“แต่…หลานชายของท่านไม่มีพื้นฐานพลังวิญญาณเกรงว่า….”

ตุบ…..ยังพูดไม่ทันจบอยู่ๆไก่ฟ้าหงอนทองก็วางสมุนไพรล้ำค่าชิ้นหนึ่งลงมาบนโต๊ะ แม้สำหรับไก่ฟ้าหงอนทองจะเป็นสมุนไพรที่หาเก็บได้ตามข้างทาง แต่สำหรับสำนักที่อยู่ห่างไกลเช่นนี้มันมีค่ามหาศาลทีเดียว

“นั่นสินะขอรับ ถึงไม่มีพื้นฐานวิญญาณแต่คนเราก็ต้องเริ่มจากศูนย์กันทั้งนั้น”ท่านผู้อาวุโสหัวเราะร่าก่อนจะรีบหยิบสมุนไพรเก็บเข้าไปในมิติของมันทันที

“แต่ว่า…สำนักของเราเน้นรับผู้มีพลังธาตุอัคคีเป็นหลัก….”

ตุบ….ไม่ต้องให้มันพูดจนจบ ไก่ฟ้าหงอนทองก็นำแร่ธาตุอัคคีชิ้นหนึ่งออกมาวางเอาไว้บนโต๊ะ หากเทียบกับชุดสมบัติที่มันเคยสะสมมันก็แค่เศษหินก็เถอะ แต่มันก็คงพอจะสร้างอาวุธวิเศษดีๆสักชิ้นได้กระมัง

“นั่นสินะ ถึงพลังธาตุจะไม่ตรงแต่ใครๆก็ใช้ธาตุไฟได้ แถมนายน้อยยังไม่ได้ปลุกพลังธาตุเลย บางทีอาจจะเป็นธาตุอัคคีก็เป็นได้”ท่านอาวุโสว่าพลางยิ้มกว้างอย่างดีอกดีใจ

“แต่..สำนักเราค่อนข้างจะมีการแข่งขันสูง ท่านเข้ามาโดยไม่มีพลังวิญญาณเช่นนี้อาจจะโดนดูถูกจากคนอื่น”

“ข้าถึงหวังว่าท่านจะดูแลหลายชายข้าให้หน่อยยังไงล่ะ”ไก่ฟ้าหงอนทองพูดจบก็นำยาเม็ดหนึ่งออกมาวางเอาไว้บนโต๊ะ ยานี่ที่ตัวจูล่งมีอยู่เพียบเลย แน่นอนว่ามันก็เก็บๆเอามาจากที่ราชสีห์เพลิงทำทิ้งเอาไว้นั่นล่ะ

“ไม่ต้องห่วงขอรับ รับรองว่าจะไม่มีใครกล้าทำอะไรนายน้อยอย่างแน่นอน”ท่านอาวุโสยิ้มกว้างพลางรีบเก็บของทั้งหมดลงมิติส่วนตัวของตนเองทันที

.

.

“ล่งเอ๋อ ข้าคุยให้แล้ว เจ้าเข้าสำนักได้ตั้งแต่วันนี้เลย”ไก่ฟ้าหงอนทองว่าพลางเดินออกมาหาไป๋จูล่งด้วยท่าทีสบายๆ สำนักบ้านนอกเช่นนี้ช่างซื้อได้ง่ายจริงๆ เพียงของหายากธรรมดาๆไม่กี่ชิ้นก็ทำให้ฝากฝังหลานชายได้แล้ว

“ขอรับท่านน้า”จูล่งตอบพลางยิ้มกว้างในขณะที่ศิษย์เฝ้าประตูกลับทำหน้างงๆ การเข้าสำนักผลาญสุริยันเป็นเรื่องยาก แต่ไก่ฟ้าหงอนทองกลับพาไป๋จูล่งเข้าได้ง่ายๆ นี่ในห้องนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่

“นายน้อ….ข้าหมายถึงคุณชายจูล่ง เชิญทางนี้ขอรับ”ท่านอาวุโสที่เดินตามมาพูดด้วยท่าทีที่เปลี่ยนไปราวกับหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว

“น้าขอไปพักในเมืองก็แล้วกัน เจ้าจะทำอะไรก็ตามสบายเลย”ไก่ฟ้าหงอนทองว่าพลางโบกมือให้จูล่งช้าๆ มันไม่ได้บอกอาวุโสว่าตระกูลของจูล่งคือตระกูลไป๋ บอกแต่ว่าหลานของมันชื่อจูล่งเท่านั้น

“ทุกคน วันนี้จะมีศิษย์น้องคนใหม่เข้ามาร่วมกับพวกเจ้าด้วย ถึงมันจะไม่มีพลังวิญญาณแต่ก็อยากให้พวกเจ้าดูแลศิษย์น้องกันอย่างดีเข้าใจหรือไม่”อาวุโสที่พาจูล่งเข้าไปในลานฝึกพูดพลางฝากฝังอาจารย์ผู้สอนเรื่องจูล่งเอาไว่เป็นอย่างดี แถมยังกำชับว่าต้องดูแลเป็นพิเศษเลยทีเดียว ซึ่งท่าทีของผู้อาวุโสนั้นก็อยู่ในสายตาของเหล่าศิษย์เช่นกัน

“ไม่ใช่ว่าสำนักผลาญสุริยันรับศิษย์ประจำปีไปแล้วหรอกหรือ”ชายคนหนึ่งถามด้วยท่าทีประหลาดใจ มันต้องสู้กับคนในสำนักย่อยมาตั้งมากมายเพื่อเข้าเป็นศิษย์สำนักผลาญสุริยัน นี่อะไรกัน เด็กที่ไม่มีพลังวิญญาณจากไหนก็ไม่ทราบสามารถเข้ามาได้หน้าตาเฉยเลยทีเดียว

“หรือว่ามันจะเป็นหลานของท่านอาวุโสกัน”ชายคนหนึ่งถามพลางมองไปรอบๆ ทำเอาเรื่องของไป๋จูล่งโดนพูดถึงกันอย่างหนาหูเลยทีเดียว

“หึ จะเป็นใครก็ช่าง แต่แบบนี้ข้าไม่ชอบเลยว่ะ”ชายอีกคนว่าพลางมองไปทางจูล่งด้วยท่าทีไม่พอใจนัก

“เอาล่ะ พวกเรามาเรียนกระบวนท่ากันต่อก็แล้วกัน”อาจารย์ประจำลานฝึกพูดพลางเริ่มสอนกระบวนท่าให้เหล่าศิษย์ในสำนักต่อ และเพราะเป็นวิชากระบวนท่าทำให้จูล่งสามารถทำตามได้ทันทีโดยไม่ต้องเผยพลังวิญญาณออกมา แต่ในสายตาคนอื่นๆกลับมองว่าจูล่งโชคดีที่วิชานี้ไม่ใช้พลังวิญญาณเท่านั้นไม่อย่างนั้นมันต้องได้อับอายเป็นแน่

“ดี เจ้าทำได้ดีมากทีเดียว”อาจารย์ประจำลานฝึกพูดพลางมองไปทางจูล่งด้วยท่าทีชื่นชม มันจดจำกระบวนท่าได้ไวมากแถมยังใช้งานได้ทันทีอีกต่างหาก แม้แต่ศิษย์ที่มีพลังวิญญาณหลายๆคนยังทำไม่ได้เลย ท่าทางหากสามารถปลุกพลังวิญญาณของจูล่งขึ้นมาได้จูล่งต้องเก่งกว่านี้แน่นอน

“ศิษย์น้อง ท่าทางเจ้าจะยังไม่ค่อยเข้าใจนัก ให้ข้าช่วยดีหรือไม่”ทันทีที่อาจารย์สอนเสร็จและออกไปจากลานฝึก เหล่าศิษย์ที่ฝึกร่วมกับจูล่งก็พลันหันมาหาจูล่งในทันที แน่นอนว่าพวกมันไม่ได้หวังจะช่วยจูล่งฝึกอย่างที่บอกแต่อย่างไร

“จะช่วยข้าหรือขอรับ”จูล่งเลิกคิ้วด้วยท่าทีประหลาดใจ ศิษย์สำนักผลาญสุริยันช่างใจกว้างจริงๆ เข้ามาได้พักเดียวพวกศิษย์พี่ก็เข้ามาช่วยฝึกแล้ว ช่างน่ายินดียิ่งนัก

“แน่นอน ข้าจะทำให้เจ้าได้รู้เองว่าวิชาของสำนักเรามันฝึกยากแค่ไหน”ชายตรงหน้าจูล่งพูดพลางใช้ดาบไม้ในมือฟันใส่จูล่งทันที เพียงแต่จูล่งที่หลบได้แม้กระทั่งกระบวนท่าของเหล่ายอดฝีมือมีหรือจะมาโดนดาบไม้ของศิษย์จากสำนักระดับนี้

“จริงสิขอรับ”ขณะหลบการโจมตีของอีกฝ่าย จูล่งก็เหมือนจะนึกอะไรออก มันจึงเริ่มชวนศิษย์พี่ที่กำลังโจมตีมันพูดคุยเสียอย่างนั้น

“ข้าทราบมาว่าสำนักผลาญสุริยันไม่ถูกกับสำนักร้อยบุปผาสินะขอรับ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นล่ะขอรับ”จูล่งถามด้วยท่าทีสงสัย มันใช้มือจับไปที่คางเพื่อทำท่าเหมือนกำลังครุ่นคิด ก่อนจะเอี้ยวตัวหลบดาบของอีกฝ่ายอย่างกับเป็นเรื่องสบายๆ

“เจ้า…ยังกล้าคิดเรื่องอื่นอีกงั้นหรือ”ชายตรงหน้าจูล่งกัดฟันกรอดด้วยความโมโห เห็นท่าทีกวนประสาทของจูล่งมันก็เริ่มโมโหขึ้นมาจริงๆแล้วเช่นกัน

ตูม!! ดาบไม้ในมือชายตรงหน้ากระแทกพื้นเสียงดังลั่น นั่นหมายความว่ามันเริ่มใช้พลังวิญญาณแล้วนั่นเอง

“ขอภัยขอรับ ข้านี่แย่จริงๆ”จูล่งว่าพลางยิ้มเจื่อนๆออกมา ศิษย์พี่ที่แสนใจดีกำลังช่วยฝึกวิชาให้แท้ๆ มันมัวถามคำถามอยู่ได้ช่างเสียมารยาทจริงๆ

ตูม!! จูล่งที่พึ่งเรียนกระบวนท่าของสำนักเอาดาบไม้เหวี่ยงใส่ร่างของศิษย์พี่เข้าอย่างจัง แม้จะไม่ได้ใช้พลังวิญญาณแต่ด้วยกำลังกายของจูล่งล้วนๆก็มากพอจะส่งเด็กคนหนึ่งที่พลังวิญญาณยังไม่สูงล้ำเท่าไหร่ปลิวไปกระแทกกำแพงด้านหลังได้อย่างไม่ยากเย็น

“ศิษย์พี่….”จูล่งมองไปทางศิษย์พี่ด้วยท่าทีงุนงง มันยังไม่ได้ใช้พลังวิญญาณเสียหน่อย ทำไมอีกฝ่ายถึงได้โดนกระแทกแรงเช่นนั้นกัน?