“….” เหล่าทหารในที่แห่งนี้ต่างพากันสูดลมหายใจลึก รู้สึกถึงจากก้นบึ้งของหัวใจว่า ความกล้าหาญของสตรีเบื้องหน้านี้มากจนน่ากลัว
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมุมปากยกยิ้ม ไม่โกรธเคืองคำพูดของเยี่ยเม่ยสักน้อย ทว่ากลับแย้มยิ้มแช่มช้า น้ำเสียงอ่อนโยน “หากเจ้าจะไปให้ได้ บางทีเยี่ยนอาจทนไม่ไหวเก็บศพของเจ้าไว้ข้างกายเยี่ยน อย่างไรการอยู่ร่วมกันก็เป็นคำพูดชั่วนิรันดร์ ไม่จำเป็นต้องให้คนเป็นๆ อยู่ข้างกายกันเสียหน่อย คนตายอยู่เคียงข้าง เยี่ยนยังรู้สึกพึงพอใจเหมือนเดิม”
เยี่ยเม่ยจ้องอากัปกิริยาชดช้อยของเขา พิจารณาด้วยความคาดไม่ถึงอยู่ชั่วครู่
ในที่สุดก็ถามคำถามที่นางอยากถามมานานด้วยน้ำเสียงเย็นชาไม่เปลี่ยน “ท่านสนใจตัวข้าเช่นนี้ ตั้งคำถามมากมายปานนั้น ซ้ำยังไม่ยินยอมให้ข้าจากไป เวลานี้ยังพูดจาน่าขนลุกอย่างนี้อีก ท่านบอกมาตามตรงเถอะ ท่านรักข้าตั้งแต่แรกพบใช่หรือไม่”
“แค่ก…” อวี้เหว่ยสำลัก เบือนหน้าหลบ ไอเสียจนหน้าแดง
เหล่าทหารเองก็อึ้งไปชั่วขณะ มองเยี่ยเม่ย สตรีผู้นี้หน้าตางดงามก็จริง ท่าทีเย็นชา ทว่ามีแรงดึงดูดชวนให้คนอยากเอาชนะ สวมเสื้อผ้ารัดรูป เอวผูกสายรัดเอวสีดำเอาไว้ ถึงพวกเขาไม่เคยเห็นสิ่งทอเช่นนี้มาก่อน ทว่าวัสดุและเสื้อผ้าพวกนี้ไม่แปลกประลาด ไม่แตกต่างกับยุคโบราณมากนัก
เพียงแต่คำพูดของนาง…เตี้ยนเซี่ยของพวกเขามีสตรีแบบไหนที่ไม่เคยพบบ้าง ยังจะชอบนางตั้งแต่แรกพบอีกหรือไง นางเสียสติไปแล้วหรือเปล่า
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนได้ฟัง นิ่งไปชั่วครู่
สายตาเปี่ยมเสน่ห์มองมาที่ร่างของเยี่ยเม่ย พลันยิ้มออก นั่นคือรอยยิ้มสูงสง่าชนิดหนึ่ง นัยน์ตาอัดแน่นด้วยอารมณ์ความรู้สึก “หากเยี่ยนบอกว่าใช่เล่า”
เยี่ยเม่ยเลิกคิ้ว หรือนี่เป็นเพราะเสน่ห์ของนางกัน ในความเป็นจริงชายตรงหน้านี้ งามล้ำเหนือกว่านางอีก
ถึงแม้นางเป็นคนมีความมั่นใจมาตลอด ซ้ำมั่นใจมากอีกด้วย ชั่วขณะที่ผู้ชายคนนี้ยอมรับว่าชอบนางตั้งแต่แรกพบ นางยังไม่ค่อยเข้าใจบ้าง แต่ตัวนางก็ไม่มีอะไรให้เขาหาประโยชน์ได้ ความคิดที่ว่าจะหลอกใช้นางดูเป็นไปได้น้อยทีเดียว
คิดเสียว่าเขาชอบนางตั้งแต่แรกพบแล้วกัน
นางประเมินเขาอยู่ชั่วครู่ เอ่ยเสียงเย็นแสดงจุดยืนของตน “ข้ารู้ว่าตัวเองเป็นคนสูงส่งชวนให้คนหวั่นไหว เย็นชาไร้ที่เปรียบ คล้ายกับดอกไม้บานบนยอดเขาสูงตระหง่านไม่อาจเด็ดดอม ทั้งยังเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าสตรีที่เพียบพร้อมเช่นข้า คนทั่วไปไม่กล้าตามจีบ ท่านมีความกล้าเอ่ยออกมาเช่นนี้ ข้ารู้สึกซาบซึ้งมาก ซ้ำยังแปลกใจ แต่ข้าในตอนนี้ยังไม่สนใจท่าน ท่านยังไม่ทำให้ข้าลดตัวลงไปรับเสน่ห์ของท่านได้”
คนทั้งหมด “…”
คราวนี้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนชะงักไป นับเป็นครั้งแรกที่พบสตรีมั่นใจในตัวเองเช่นนี้ ดูจากน้ำเสียงจริงจังของนาง ไม่คล้ายกับล้อเล่นเลยสักน้อย มุมปากเขากดรอยยิ้มลึกขึ้นหลายส่วน
เขามีท่วงท่างดงาม น้ำเสียงอ่อนโยน ดวงตายิ่งไม่มีเจตนาร้ายเลย “อย่างนั้น แม่นางสามารถมอบโอกาสให้ข้าตามจีบเจ้าได้หรือไม่”
อวี้เหว่ยหันกลับไปมองใบหน้าของเตี้ยนเซี่ยด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ นายท่านคิดทำอะไรกันแน่ คิดจะกลั่นแกล้งแม่นางผู้นั้นหรือเปล่า
เยี่ยเม่ยประเมินเขาอีกครู่หนึ่ง “ท่านไม่ยอมปล่อยข้าไปง่าย ๆ ใช่ไหม”
นางมองออกแล้ว ผู้ชายคนนี้คือปีศาจร้าย
นางเห็นจิตใจรักชาติของแม่ทัพหยวนผู้ถูกเขาฆ่าตายอย่างง่ายดายเมื่อครู่ เขาทำเรื่องเช่นนั้นได้ลงคอ ฆ่าหัวหน้าทหารที่รักชาติผู้หนึ่ง หากมิใช่มีความแค้นล้ำลึกกับประเทศชาติ ก็คงไม่ใส่ใจอะไรทั้งนั้น มีนิสัยชั่วร้าย ทำเรื่องอะไรล้วนเอาแต่อารมณ์
ความเป็นไปได้ที่องค์ชายผู้หนึ่งจะเคียดแค้นบ้านเมืองตัวเองน้อยมาก อย่างนั้นก็เป็นไปได้มากที่เขานิสัยชั่วร้าย
เพียงชั่วครู่นี้เยี่ยเม่ยเข้าใจว่าคนตรงหน้าเป็นอย่างไร ดูออกว่านางคิดจากไปไม่ใช่เรื่องง่าย ใช้ชีวิตของทหารเหล่านี้ข่มขู่เขาสำเร็จก็เป็นไปได้ยากมาก
“ไม่ผิด ไม่ปล่อยเจ้าไปง่ายๆ” เขาจัดแจ้งเสื้อผ้าของตัวเองช้าๆ ตอบคำถาม ลมก่อตัวขึ้น ยิ่งทำให้เขาดูงดงามมากขึ้นไปอีก
ทันใดนั้น น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนเอ่ยว่า “แม่นางลองเสนอเงื่อนไขออกมา ทำอย่างไรเจ้าถึงยอมให้โอกาสเยี่ยนเข้าใกล้ตามจีบเจ้าได้”
อากัปกิริยาของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึก ชายหนุ่มรูปงามเช่นนี้ปรากฏเบื้องหน้า เอ่ยคำพูดเช่นนี้ แม่นางที่ไม่รู้จักเขาคงจะยินดีจนเป็นลมไปแต่แรก ส่วนแม่นางที่รู้จักเขากลับตกใจจนตัวสั่นเทิ้ม พินิจว่าตนล่วงเกินเขาที่ใดแล้ว ซ้ำยังเป็นห่วงอนาคตของตัวเอง
ส่วนเยี่ยเม่ยไม่มีรู้สึกใดๆ ต่อการแสดงออกของเขา
เป็นจริงหรือเท็จ ชอบหรือคิดทำร้ายนาง ล้วนเป็นเรื่องของเขา ไม่เกี่ยวข้องกับนาง
นางยังสงบดั่งเดิม มองใบหน้าหล่อเหลาราวปีศาจของเขา มือล้วงพัดออกจากเอว พัดเล่มนั้นเงางามราวหยกขาว คล้ายนำหยกหลายแผ่นมาติดกัน
พัดหยกหมุนในมือนาง แผ่ไอเข่นฆ่าคมกริบ
นางยกมุมปากขึ้นน้อยๆ ทว่าดูไม่เหมือนรอยยิ้ม มีเพียงความเย็นชาฉายออกมา “ภายในสามกระบวนท่า หากท่านไม่บาดเจ็บใต้การจู่โจมของข้า ข้าจะยอมรั้งอยู่”
ทุกคนมองนางอย่างไม่เชื่อสายตา รู้สึกว่าสตรีผู้นี้กล้าหาญเกินไป เกรงว่าไม่อยากมีชีวิตแล้ว
ยอดฝีมือสิบอันดับแรกของยุทธภพ ไม่มีใครกล้าประลองฝีมือกับเตี้ยนเซี่ยตรง ๆ นางถึงกับ…ซ้ำยังบอกว่าสามกระบวนท่า เกรงว่ากระบวนท่าเดียวก็จบชีวิตแล้ว อย่างไรเสียใต้หล้านี้คนที่รับมือกับเตี้ยนเซี่ยแล้วไม่ตายในกระบวนท่าเดียว มีไม่ถึงสิบคน
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนคิดไม่ถึงว่านางจะเสนอเงื่อนไขเช่นนี้
เขาพลันหัวเราะขึ้น เสียงหัวเราะเบา ๆ กลับไพเราะน่าฟัง อ่อนโยนชวนคนใจละลาย สายตาปีศาจทรงเสน่ห์มองที่นาง เอ่ยเสียงอ่อนลง “ดี สามกระบวนท่า แม่นาง เชิญ”
เยี่ยเม่ยเห็นว่าเหล่าทหารทั่วทั้งสี่ทิศต่างคิดว่านางไม่รู้จักกำลังตน คิดว่านางรนหาที่ตาย แต่นางไม่สนใจ
สามกระบวนท่าช่วยให้ทดสอบความสามารถของชายตรงหน้านี้ได้ นางมั่นใจ ต่อให้ไม่อาจทำให้เขาบาดเจ็บ ตัวเองก็ไม่จบชีวิต
สายตาเย็นชาของนาง ไม่มีความลังเล ฝีเท้าว่องไว รุกเข้าใส่อย่างดุดัน
เวลาไม่ถึงเสี้ยววินาทีก็พุ่งมาถึงเบื้องหน้าเขา
พัดในมือปรี่เข้าตรงที่คอเขา สะบัดออกไปอย่างแรง พัดเป็นเครื่องประดับ ไม่มีใครคาดเดาได้ว่าจะมีแรงเข่นฆ่าได้ถึงขั้นนี้ ทว่านางกลับทำได้
เขายืนอยู่ตำแหน่งเดิม เท้าไม่ขยับเลยสักน้อย
เมื่อเห็นพัดพุ่งเข้าใส่คอของตน เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเพียงขยับศีรษะไปด้านหลังเล็กน้อย นิ้วเรียวคล้ายหยกสลักกดที่หลังคอเยี่ยเม่ย คนทั้งหมดเหงื่อแตกพลักแทนหญิงสาว ดูจากมุมนี้ ขอเพียงเขาออกแรง นางก็ตกตายได้
จากนั้นเยี่ยเม่ยคล้ายล่วงรู้ก่อนแล้ว
ร่างพุ่งดุดันไปเบื้องหน้า เท้าหลังยกขึ้นชดช้อยราวกับนักระบำ หลบฝ่ามือของเขา ใช้ความตัวอ่อนอย่างไม่น่าเชื่อ เตะเท้าออกไปยังบ่าของเขา
ขณะเดียวกันอาวุธลับที่รองเท้านางก็ทำงาน ที่รองเท้าพลันปรากฏมีดยาวขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือ เตะผ่านไปทางเขา
นางร้องเตือนเสียงเย็น “ระวัง เท้าข้ามีมีด”
หลังจากได้รับชัยชนะแล้ว นางไม่อยากถูกครหาว่าใช้อาวุธลับ ชนะเพราะวิธีสกปรก
เขายิ้มยกมุมปากน้อย ๆ พลันจับขาที่เตะมา ความร้อนจากปลายนิ้วแผ่เข้าไปในฝ่าเท้า ทำให้เยี่ยเม่ยหัวเราะเสียงเย็น นางรอจังหวะนี้อยู่
เสียงเย็นชาของเยี่ยเม่ยร้องออกว่า “พันอิง[1]ผลิบาน”
เสี้ยวเวลาถัดมา พัดในมือแยกออกครึ่งหนึ่ง เปลี่ยนเป็นชิ้นเล็กๆ ราวกลีบดอกไม้จำนวนนับไม่ถ้วน
นางยึดพัดอีกครึ่งที่สมบูรณ์เอาไว้ สะบัดชิ้นส่วนเล็กพวกนั้นออกอย่างแรง พวกกลีบดอกเล็กหมุนติ้วกลางฝ่ามือ พละกำลังแผ่ออก มุ่งจู่โจมเขา
[1] ดอกอิง คือดอกซากุระ