ดวงใจอ่อนไหวและอ่อนแอ? 

 

 

เยี่ยเม่ยหันหน้ามองศพเกลื่อนพื้น สามารถเอาชีวิตคนมากมายขนาดนี้ ในใจต่อให้ไม่เข้มแข็งดุจวัวถึกก็ไม่มีทางเกี่ยวพันกับคำว่าอ่อนแอแน่ 

 

 

แต่ว่าเขา ‘บาดเจ็บ’ หรือเปล่า จุดนี้ไม่ได้อยู่ในขอบเขตความใคร่ครวญของเธอ 

 

 

ต่อให้รู้สึกถึงจิตสังหารจากด้านหลัง รู้ว่าผู้ชายคนนั้นอาจลงมือกับตน เธอก็ยังไม่หันกลับไป สาวเท้าไปด้านหน้า 

 

 

กระแสเสียงของเยี่ยเม่ยยังสงบดั่งเดิม “ถ้าจิตใจอ่อนแอเกินไป คุณสมควรถูกทำร้ายบ้าง เพื่อยกระดับจิตใจของตนให้เข้มแข็งขึ้นมา อีกอย่างอย่าได้ดูถูกจิตใจของตนเกินไปนัก ไม่แน่ว่ามันอาจจะเข้มแข็งกว่าที่คิดไว้มาก อย่างน้อยในสายตาฉัน มันก็ไม่ได้อ่อนแออะไรขนาดนั้น”  

 

 

อวี้เหว่ยมุมปากกระตุก จ้องมองแผ่นหลังของเยี่ยเม่ย นี่นางกำลังใจดีปลอบโยนเตี้ยนเซี่ยหรือ 

 

 

สายตาเป่ยเฉินเสียเยี่ยนฉายแววประหลาดใจ จ้องเงาหลังเยี่ยเม่ยที่เดินห่างออกไปสิบกว่าก้าว 

 

 

           ลมปราณเตรียมเข่นฆ่ากลางมือค่อยจางลงในชั่วพริบตา เขายกมืออย่างสง่างาม คล้ายสายลมอ่อนในฤดูใบไม้ผลิก่อตัว พัดเป็นลมวูบหนึ่ง 

 

 

           สายลมที่ดูอ่อนโยนกลับทำให้เยี่ยเม่ยขมวดคิ้วแน่น 

 

 

           เธอพบว่าขาของตนเวลานี้คล้ายถูกตรึงไว้ ไม่อาจก้าวต่อไปได้ ร่างกายถูกสายลมคล้ายอ่อนโยนสายหนึ่งหยุดรั้ง หากเธอยืนไม่มั่น อาจถูกดึงดันให้ถอยกลับไปหลายก้าว 

 

 

           เธอหันขวับกลับไปมองเขา 

 

 

           ทว่าไม่รู้ว่าเขายืนอยู่ด้านหลังเธอตั้งแต่เมื่อไหร่ ทั้งสองเผชิญหน้ากัน ระยะห่างไม่เกินครึ่งก้าว 

 

 

           เยี่ยเม่ยใจกระตุก เขาถึงกับเข้าใกล้เธอโดยไม่ให้สุ้มให้เสียง นั่นหมายความว่าอย่างไร  

 

 

           สิ่งเดียวที่บอกได้ก็คือความสามารถของเขาไม่ด้อยกว่าเธอ ถึงกระทั่งสูงกว่าเธอด้วยซ้ำ 

 

 

           แต่สิ่งที่เธอไม่เข้าใจก็คือ สายลมนั้นคืออะไรกันแน่ พลังพิเศษอย่างนั้นเหรอ 

 

 

           ระหว่างเธอกำลังสงสัย ผู้ชายเบื้องหน้าค่อยๆ ยื่นมือออกมา 

 

 

           สายตาเป็นประกายเย็นเยียบ เพียงเสี้ยววินาทีมีดสั้นในแขนเสื้อก็กวัดแกว่งอยู่เบื้องหน้าเขา 

 

 

           ส่วนใบหน้างดงามราวปีศาจของเขานั้นพลันปรากฏรอยยิ้มสนุกสนานขึ้นมา เรียวนิ้วดุจหยกสลักรวบข้อมือของเยี่ยเม่ยด้วยความรวดเร็ว 

 

 

           เขาออกแรงกระชากครั้งเดียวดึงเยี่ยเม่ยเข้ามาอยู่ในอ้อมอก 

 

 

           เขาคลายมือที่ถือมีดสั้นของเธอ รั้งเอวเยี่ยเม่ยไว้ ส่งผลให้มีดสั้นในมือเยี่ยเม่ยขวางอยู่ที่หว่างเอวเขา ทว่าเขาไม่ใส่ใจ 

 

 

           เยี่ยเม่ยกระแทกถูกร่างกายของเขารับรู้ถึงกล้ามเนื้อทรงพลัง เธอสมาธิแตกซ่าน กลิ่นอายบุรุษเพศพุ่งเข้ามาปะทะ กลิ่นอายชั่วร้ายทว่าสง่างามแต่เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ ราวกับยาพิษมีพลังดึงดูดอย่างแรงกล้าสายหนึ่ง 

 

 

           เธอยังไม่ทันได้สติ เขาก็ใช้มืออีกข้างเชยคางเธอขึ้นมา 

 

 

           ทั้งสองจ้องหน้ากัน 

 

 

           อากัปกิริยาสง่างามของเขา ทว่าใบหน้ากลับเผยความชั่วร้ายเหมือนปีศาจ เอ่ยช้าๆ “แม่นาง ยามไร้กำลังเอาชนะ บางทีเจ้าสมควรใคร่ครวญที่จะเก็บเขี้ยวเล็บแหลมคมของตนเสีย อย่างไรก็ตามเยี่ยนเป็นคนใจเสาะ หวังให้โลกสงบสุข เกรงกลัวอาวุธคมดาบ” 

 

 

           พูดจาเช่นนี้ ทว่าบนร่างเขามีวี่แววของความใจเสาะที่ไหนกัน 

 

 

           เยี่ยเม่ยกลับเห็นสายตาของเขามีประกายสนใจเพิ่มขึ้น 

 

 

           มีดสั้นอยู่ระหว่างเอวเขา หมุนควงในมือ เก็บกลับเข้าแขนเสื้อ 

 

 

           ผู้ชายคนนี้น่าสนใจไม่น้อย แน่นอนว่าหมายถึงก่อนที่เขาใช้คำพูดพัวพันเธอแบบนี้ 

 

 

เยี่ยเม่ยมองเขา เธออยู่ในอ้อมกอดเขา กลับไม่รีบร้อนถอยห่าง เอ่ยอย่างเฉยชาว่า “ถ้าใจเสาะจริง คุณก็อ่านเรื่องสยองขวัญให้มากหน่อย สามารถช่วยเพิ่มความกล้าได้ ดูท่าคุณไม่ตั้งใจจะแลกชีวิตกับฉัน ถ้าอย่างนั้น…พูดมาเถอะ คุณจะเอายังไงกันแน่”  

 

 

           อวี้เหว่ยได้ฟังมุมปากกระตุกขึ้น องค์ชายสี่ของเขาเป็นคนน่ากลัวที่สุดในสายคนทั้งใต้หล้า ยังต้องอ่านเรื่องสยองขวัญเพื่อเพิ่มพูนความกล้าอีกด้วยหรือไร 

 

 

           ขณะที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกำลังจะเอ่ยปาก พลันได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นมา  

 

 

           ไม่ช้าทหารจำนวนมากพุ่งออกมาจากทั่วสี่ด้านแปดทิศ ซ้ำยังมีผู้นำเป็นแม่ทัพสองคน 

 

 

           แม่ทัพดูแข็งกร้าวผู้หนึ่ง ใบหน้าดูมีคุณธรรม นอกจากดูมีคุณธรรมแล้ว ยังมีอารมณ์โกรธขึ้ง 

 

 

           เขาหยุดลงที่เบื้องหน้า คนทั้งหมดคุกเข่าลง “องค์ชายสี่” 

 

 

           เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกวาดสายตามองพวกเขา คลายมือที่โอบเยี่ยเม่ยออก สายตาปีศาจจ้องเธอ สีหน้าน่าชมทั้งเย้ายวน “คนงาม ก่อนข้าหมดความสนใจเจ้า อย่าได้หนีห่างจากสายตาข้า อย่างไรเสียความอดทนของข้ามีขีดจำกัด มีขีดจำกัดเป็นพิเศษ ไม่ชอบเล่นแมวจับหนู” 

 

 

เยี่ยเม่ยย่อมเข้าใจการข่มขู่ในน้ำเสียงเขา ทว่าไม่มีอารมณ์เอาเรื่อง ใครเป็นหนูใครเป็นแมวยังไม่แน่ 

 

 

           เธอหันกลับไปมองเหล่าทหารคุกเข่าอยู่เต็มพื้น 

 

 

           ทหารส่วนมากอดใจแอบมองไปทางเป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่ได้ จากนั้นก็ค่อยๆ ตัวสั่น  

 

 

           เยี่ยเม่ยเห็นคนทั้งหมดหวาดกลัว สายตามองไปยังบุรุษรูปงามราวปีศาจนั่นอีกครั้ง เกิดลางสังหรณ์ไม่ดี “ที่นี่คือที่ไหนกัน ตอนนี้เป็นช่วงสมัยไหน” 

 

 

           เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่ย้อนถาม นัยน์ตาใสกวาดมองนาง น้ำเสียงอ่อนโยน “ที่นี่คือชายแดนระหว่างเป่ยเฉินกับต้ามั่ว ตอนนี้หรือ ข้าขอคิดดูก่อน อืม เป็นปีที่สามร้อยยี่สิบหลังจากสถาปนาราชวงศ์เป่ยเฉิน” 

 

 

           เยี่ยเม่ยมุ่นคิ้ว ราชวงศ์เป่ยเฉินเหรอ นี่เธอย้อนเวลาแล้วจริงๆ เหรอเนี่ย 

 

 

           แม่ทัพหน้าตาโมโหโทโสคุกเข่าอยู่ที่พื้นได้ฟังถึงตอนนี้ก็อดเอ่ยเตือนขึ้นไม่ได้ว่า “เตี้ยนเซี่ย ตอนนี้เป็นปีที่สี่ร้อยเจ็ดสิบหลังจากสถาปนาราชวงศ์แล้วพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

           เขาพูดประโยคนี้จบ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ยังไม่เงยหน้าขึ้นมา 

 

 

           เขายังคงจัดแจงชุดตัวเองด้วยท่วงท่าน่าชม มุมปากกระดกยิ้ม เอื้อนเอ่ยว่า “อ้อ เรื่องเล็กน้อยแบบนี้ สำคัญนักหรือไร สถาปนาราชวงศ์มากี่ปีแล้ว ก็แค่ตัวเลขเท่านั้น คนที่ไม่ลืมเลือนผลงานของของผู้อาวุโสในอดีตจำนวนนับไม่ถ้วนล้วนหมกมุ่นกับอดีต แต่ตัวข้านั้นไม่เหมือนกัน คนมีความสามารถ สายตามองการณ์ไกล คนไร้ความสามารถไม่อาจลืมอดีตได้ แม่ทัพหยวน เจ้าไม่มีความคิดก้าวหน้าเช่นนี้ สำนึกผิดหรือยัง” 

 

 

           อวี้เหว่ยกลอกตา คิดในใจ ‘เตี้ยนเซี่ย ไม่สู้ท่านยอมรับว่าตนเองจำผิดไปเลยดีกว่า’ 

 

 

           เยี่ยเม่ยกระตุกมุมปาก เห็นท่าทางไม่คล้ายแสดงละครของพวกเขา เริ่มใช้ความคิด ย้อนเวลาแล้ว อยู่ในยุคสังคมศักดินา ผู้ชายคนนี้ยังเป็นองค์ชาย ทั้งยังมีเหล่าทหารอยู่ที่นี่ ก้าวต่อไปเธอควรทำอย่างไรดี 

 

 

ในระหว่างใช้ความคิด สายตาคมกริบของเธอก็เห็นนายทัพที่ถูกเรียกว่าแม่ทัพหยวน เส้นเอ็นที่ขมับปูดบวมเต้นตุบตับด้วยความโกรธเพราะคำพูดของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน    

 

 

           แม่ทัพหยวนหน้าคล้ำลงไป ในที่สุดก็กัดฟันก้มหน้า น้ำเสียงโมโห “หากเตี้ยนเซี่ยต้องการเอาผิด ข้าน้อยไม่มีความเห็น แต่ทว่าทหารต้ามั่วบุกประชิดเมือง เตี้ยนเซี่ยช่วยอธิบายหน่อยได้หรือไม่ เมื่อคืนท่านสั่งการอย่างชัดเจนว่า เช้าวันนี้เตรียมกำลังพล ท่านนำทัพออกเมืองไปรับศึก เหตุไฉนเช้านี้ ข้ากับเหล่าทหารเตรียมพร้อมแล้ว เตี้ยนเซี่ยยังไม่ปรากฏกาย ซ้ำท่านยังอยู่ที่นี่อีก”  

 

 

           ทั้งๆ ที่ขอเพียงเตี้ยนเซี่ยแสดงฝีมือ ด้วยความสามารถของเขา ต่อให้เตี้ยนเซี่ยยืนบนกำแพงเมือง พวกต้ามั่วกลุ่มนั้นต้องหวาดกลัวจนปัสสาวะราด แต่ทว่า…ช่างเถอะ เขาลืมไปได้อย่างไรว่าอีกฝ่ายเป็นคนเช่นไร แต่ในสายตาของแม่ทัพที่เห็นผลประโยชน์ของบ้านเมืองมาอันดับแรก ความโกรธนี้เขากล้ำกลืนไม่ลง 

 

 

           เป่ยเฉินเสียเยี่ยนชะงักไป กลับเลิกคิ้ว มองอวี้เหว่ย “เมื่อคืนข้าสั่งการไปจริงหรือ”  

 

 

           “สั่งการไปจริงพ่ะย่ะค่ะ” อวี้เหว่ยสีหน้าเย็นชา เช้าวันนี้เขาเตือนเตี้ยนเซี่ยแล้ว แต่ยามนั้นเตี้ยนเซี่ยตอบเขาว่าอย่างไรกัน 

 

 

           อ้อ จริงสิ เตี้ยนเซี่ยตอบว่า ‘ทหารบุกประชิดเมือง เรื่องน่าเบื่อเช่นนี้ วันนี้ข้าไม่มีอารมณ์ใส่ใจ’ 

 

 

           เป่ยเฉินเสียเยี่ยนได้ฟังก็โคลงหัวยิ้มแย้ม มองแม่ทัพหยวน เอ่ยด้วยเสียงไพเราะว่า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ เยี่ยนใคร่ครวญมาทั้งคืน รู้สึกว่าเรื่องนำทหารรับข้าศึกจะทำให้ทหารส่วนหนึ่งล้มตายท่ามกลางสงคราม ทำให้ครอบครัวของพวกเขาเสียใจสิ้นหวัง เนื่องจากความรักห่วงใยเหล่าทหาร เช้าวันนี้ข้าจึงไม่ปรากฏกาย ยามนี้เยี่ยนถูกแม่ทัพหยวนซักไซ้เอาผิด เหตุไฉนความเมตตากลับไม่ได้รับผลดีตอบแทน ไฉนความรักห่วงใยถึงได้ถูกบิดเบือน เหตุไฉนศีลธรรมของเยี่ยนในสายตาพวกเจ้าคือความต่ำช้าเสียเล่า แม่ทัพหยวน ยอมรับเสียเถอะ เจ้ารีบร้อนออกรบเช่นนี้ ก็ทำเพื่อตอบสนองใจที่อยากได้ผลงานของเจ้าเท่านั้น ใช้ชีวิตของเหล่าทหารแลกเปลี่ยนกับอนาคตของเจ้า เจ้าไม่รู้สึกผิดหรือไร” 

 

 

           แม่ทัพหยวนกระตุกไป โมโหเขาเสียงจนหน้าแดงก่ำ “กระหม่อม…” เขาอึกอัก กลับพูดไม่ออกสักคำ 

 

 

           บ้านเมืองมีภัยอยู่ต่อหน้า ต้องการให้พวกเขานำทัพออกศึกอย่างแท้จริง คำพูดของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เขากลับแย้งกลับไปไม่ได้ก็เพราะเขาคิดอยากสร้างความชอบจริงๆ แต่ว่าสองอย่างนี้ขัดแย้งกันหรือไร 

 

 

           เห็นแม่ทัพหยวนไม่พูดจา เป่ยเฉินเสียเยี่ยนค่อยๆ ยื่นมือออก พลังไร้รูปสายหนึ่งรัดคอแม่ทัพหยวนไว้ 

 

 

           เขาถอนใจเบาๆ เอ่ยเสียงเนิบ “ดูสิ เจ้ามันคนเห็นแก่ตัวชั่วร้าย วาจาโฉดชั่วการกระทำเลวทรามของเจ้าทำร้ายเยี่ยนแล้ว ทำให้จิตใจอันดีงามของเยี่ยนเจ็บปวดแสนทน เยี่ยนตัดสินใจฆ่าเจ้า เพื่อกันไม่ให้การกระทำชั่วร้ายของเจ้าไปทำร้ายผู้อื่นอีก” 

 

 

           ขณะที่เขาบอกว่าเจ็บปวดแสนทน ทว่าใบหน้านั้นผ่อนคลายประดุจปุยเมฆ 

 

 

           แม่ทัพหยวนถูกบีบคอ ไม่อาจหายใจ เลือดไหลออกจากปาก 

 

 

           บรรดาทหารที่ถูกเป่ยเฉินเสียเยี่ยนฝืน ‘รักใคร่ห่วงใย’ ในเวลานี้ตัวสั่นเทิ้มอย่างกลั้นไม่อยู่ นายทหารข้างกายแม่ทัพหยวนอีกคนหนึ่งถึงกับตกใจจนปัสสาวะราด กลัวถูกลากไปเกี่ยวด้วย  

 

 

           มองบุคคลน่าหวาดกลัวของราชวงศ์เป่ยเฉิน เยี่ยเม่ยเข้าใจว่าภาพลักษณ์ของผู้ชายคนนี้ในใจของคนอื่นว่าเป็นเช่นไร เกรงว่าคำว่าปีศาจยังไม่พออธิบาย ดูท่าเมื่อครู่เขาเกรงใจเธอมากแล้ว  

 

 

           เธอเห็นสายตาของคนทั้งหมดรวมอยู่ที่มือเป่ยเฉินเสียเยี่ยนบีบคอแม่ทัพหยวนก็ค่อยๆ ถอยรั้งไปสองก้าว หมุนกายเตรียมตัวหนีความวุ่นวาย 

 

 

           คิดไม่ถึงว่าชายผู้นี้คล้ายรู้สึกได้ เสียงกร๊อบดังขึ้น บีบคอแม่ทัพหยวนหักอย่างง่ายดาย 

 

 

           จากนั้นภายใต้ท่าทางหวาดกลัวของคนทั้งหมดก็หันหน้ามองเธอที่ก้าวเท้าออกไปได้สองก้าวแล้ว 

 

 

           ใบหน้าหล่อเหลาทรงเสน่ห์เปื้อนรอยยิ้ม ชุดยาวพลิ้วไหว สองมือไพล่หลัง ท่วงท่าสง่าราวทวยเทพ เอ่ยปากเสียงอ่อนโยน “แม่นาง หยุดฝีก้าวอันเ**้ยมโหดของเจ้าเสีย เจ้าทนให้หัวใจที่เชื่อมั่นว่าเจ้าจะไม่จากไปไหนของเยี่ยนเจ็บปวดเหมือนโดนมีดนับพันกรีดได้เชียวหรือ” 

 

 

           เยี่ยเม่ยสายตาเย็นเยียบ หันกลับไปมองเขา น้ำเสียงเฉยเมย “ถ้าจะไปให้ได้ล่ะ”