TQF:บทที่ 508 อุบัติเหตุ พวกตาแก่มาเป็นฝูง (4)

 

“ไม่ใช่ลูกศิษย์ของที่นี่?”

 

ชายวัยกลางคนชะงักไป ข่าวนี้เกินกว่าที่เขาคาดไว้มาก เขาไม่รู้จะทำตัวยังไง

 

เจ้าวิหารสวรรค์พยักหน้า “ใช่แล้ว ไม่ใช่ลูกศิษย์ของที่นี่ พวกเรารู้แค่ว่าเป็นลูกศิษย์ของวิหารสวรรค์ แต่ไม่รู้ว่าเป็นลูกศิษย์จากผืนดินไหน ศิษย์น้องสอง เจ้าเองก็รู้ว่าวิหารสวรรค์ของเรากระจายอยู่ทุกผืนดิน ไม่มีใครรู้ว่าลูกศิษย์คนนี้อยู่ผืนดินไหน”

 

“เช่นนี้ เราก็ดีใจกันเปล่าๆปลี้ๆน่ะสิ” ชายวัยกลางคนไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี พูดอะไรไม่ถูก

 

“จะพูดอย่างนี้ก็ไม่ได้ อย่างน้อยพวกเราก็รู้แล้วว่าวิหารสวรรค์ของเรามีผู้ที่รับสืบสานจิตเทพแล้ว พวกเราแค่ต้องใช้เวลาในการหาตัวเขาให้เจอแค่นั้น อย่างไรซะผืนดินฉางไห่ของเราก็สูงส่งกว่าผืนดินอื่น ถึงตอนนั้นเราจะรับเขาเข้ามา เขาต้องไม่ปฏิเสธแน่”

 

“แต่ว่า….”

 

ชายวัยกลางคนขมวดคิ้ว “ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านรู้อยู่ว่าผืนดินเล็กถูกจำกัดไว้ด้วยกฎแห่งฟ้าดิน ถ้าลูกศิษย์คนนั้นอยู่ในผืนดินพวกนั้น เราจะรับเขากลับมาได้ยังไง นี่มันคงจะไม่ง่าย”

 

“เรื่องนี้เจ้าวางใจได้ 1 ปีก่อนข้าได้ทำนายดวงชะตาให้ลูกศิษย์คนนั้นแล้ว เขาจะมาปรากฏตัวที่ผืนดินฉางไห่ของเรา ส่วนจะปรากฏตัวได้ยังไงนั้นข้าไม่สามารถล่วงรู้ได้ ขอแค่เขามาปรากฏตัวก็เพียงพอสำหรับเราแล้ว”

 

“งั้นก็ดี” ชายวัยกลางคนพยักหน้าเล็กน้อย “ถ้าอย่างนั้นเราก็แค่รอให้เขามาปรากฏตัว ในที่สุดก็มีเรื่องให้พวกเราเฝ้ารอแล้ว”

 

“เฮ่ะๆ” เจ้าวิหารสวรรค์หัวเราะ “ศิษย์น้องสองพูดถูก จริงสิศิษย์น้องสอง เจ้าเพิ่งออกฌานมาคงไม่เก็บตัวอีกในเร็ววันใช่มั้ย”

 

“ศิษย์พี่ใหญ่มีเรื่องอะไรให้ทำรึเปล่า”

 

“ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก ตามความเห็นข้า หลายร้อยปีมานี้ศิษย์น้องสองแทบจะเก็บตัวอยู่ตลอด ไหนๆครั้งนี้ก็ออกฌานแล้วก็ออกไปข้างนอกสักหน่อย เผื่อจะเจอลูกศิษย์ที่พวกเรารอคอยและนำเขากลับมา”

 

“หาคน?”

 

ชายวัยกลางคนเลิกคิ้วขึ้น “ข้าน่ะไม่ได้ออกไปข้างนอกมาหลายร้อยปีแล้ว ไม่รู้ว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ผืนดินฉางไห่เกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง ก็ดีเหมือนกันศิษย์พี่ใหญ่ อีกสักพักข้าจะออกไปดูสักหน่อย ดูซิว่าจะหาลูกศิษย์ที่สืบสานจิตเทพคนนั้นเจอมั้ย”

 

“เหนื่อยหน่อยนะศิษย์น้อง”

 

“ศิษย์พี่ใหญ่ไม่ต้องเกรงใจ แต่ว่า….” มีประกายอยู่ในแววตาของชายวัยกลางคน กล่าวยิ้มๆ “ศิษย์พี่ใหญ่ ข้าไปพาเขากลับมา ถึงเวลาศิษย์พี่ใหญ่จะมาแย่งคนกับข้าไม่ได้นะ”

 

“เอ่อ เจ้าหมายความว่า…”

 

เจ้าวิหารสวรรค์เข้าใจทันที หัวเราะก่นด่า “ไอหนุ่มแก่เอ๊ย เจ้าเล่ห์อย่างกับจิ้งจอก เจ้าอยากรับเขาเป็นศิษย์ใช่มั้ยล่ะ”

 

“ไม่ว่าอย่างไรถ้าข้าเจอเขาจริงๆ ศิษย์พี่ใหญ่ห้ามแย่งนะ ถือว่าท่านรับปากแล้วนะ ข้าจะได้ไปหาเขาให้พบ”

 

“ได้ ไปเถอะ ลูกศิษย์เจ้าก็ศิษย์หลานของข้า ไม่มีอะไรต้องแย่ง เจ้าวางใจเถอะ”

 

“เรื่องนั้นก็ไม่แน่ ศิษย์พี่ใหญ่จำคำมั่นของตัวเองไว้นะ”

 

“เหอะๆ”

 

2 ศิษย์พี่น้องพูดคุยหัวเราะกันไปเรื่อย ไม่มีใครล่วงรู้ถึงเรื่องที่พวกเขาคุยกันได้

 

ดินแดนศักดิ์สิทธิ์จงหยวน

 

พริบตาเดียวผ่านไปอีกหลายวัน ใกล้ฤกษ์สงครามเข้าไปเรื่อยๆ และตาเฒ่าที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็เยอะขึ้นเรื่อยๆ ไปไหนก็เจอแต่ตาเฒ่าเต็มไปหมด

 

หยูเฮงรับไม่ได้มาก นางส่ายหัว “นี่มันมีผลกับความสุนทรีต่อสายตาของข้ามาก มีแต่ตาแก่เพล่นพล่านอยู่เต็มไปหมด น่าอึดอัดซะจริง”

 

ไม่สนใจสีหน้าเจ็บปวดของเหล่าตาเฒ่า หยูเฮงกลับเข้ามิติและไม่ออกมาปรากฏตัวต่อหน้าทุกคนอีก

 

แม้ว่าตาเฒ่าพวกนี้จะอยู่ระดับก่อเกิดราชันย์จักรพรรดิ์กันแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ของตัวเองได้อยู่ดี นอกจากจะถึงระดับปรากฏราชันย์จักรพรรดิ์ถึงจะมีพลังมากพอ

 

ตาเฒ่าอยู่กันเป็นกลุ่มๆ เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเองก็ยอมรับว่ามีผลต่อความสุนทรีของสายตาจริงๆ แต่นางจะไม่ไปเผชิญกับเหล่าตาเฒ่าพวกนี้ก็ไม่ได้

 

มีเวลาแค่ 3 วันเท่านั้น จะไม่วางแผนศึกกับเมืองโลกทมิฬไม่ได้

 

ในโถงประชุมมีคนอยู่เต็มไปหมด มองไปก็มีแต่พวกตาเฒ่าที่บนหน้ามีแต่ริ้วรอย เฉิงเสี่ยวเสี่ยวลืมแค่ครึ่งตาฟังคำแนะนำจากทุกคน

 

ผู้เฒ่าหยิงเป็นประธาน ปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้ถูกถามขึ้นจนหมด

 

1 ชั่วยามผ่านไป เฉิงเสี่ยวเสี่ยวทนไม่ไหวอีกต่อไป ลืมตาขึ้นก่อนจะกวาดสายตาไปยังทุกคนด้วยแววตาเป็นประกาย ทำให้ทุกคนที่อยู่ที่นี่หยุดเรื่องที่คุยไว้และทอดสายตามาที่นาง

 

“คุณหนู มีอะไรจะแนะนำรึเปล่า” ผู้เฒ่าหยิงมองนางพร้อมถาม

 

เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเหล่มองเขาแว้บหนึ่ง ค่อยๆเอ่ยขึ้น “ข้าฟังทุกคนคุยกันมาครึ่งวัน ท่าทางไม่มีใครคิดถึงเรื่องที่สำคัญที่สุด”

 

เรื่องที่คิดไม่ถึง?

 

ทุกคนต่างหันไปมองหน้ากัน เห็นความแปลกใจและความงุนงงจากแววตาของอีกฝ่าย

 

ผู้เฒ่าหยิงชะงักไป ก่อนจะกล่าวยิ้มๆ “คุณหนู  เรื่องสำคัญอะไร โปรดบอกพวกเราด้วย”

 

“ที่ผ่านมาที่เราไปประมือกับพวกเขาก็ล้วนเป็นพวกของเมืองโลกทมิฬที่บุกเข้ามา ทำให้แต่ละเมืองของเราอลหม่านไปหมด ประชาชนเดือดร้อน ขณะเดียวกันก็ทำลายไปหลายพื้นที่ ครั้งนี้ทุกคนคงคาดการณ์กันได้ว่าตาแก่ของเมืองโลกทมิฬต้องลงมือเอง จะนำพาซึ่งการทำลายล้างขนาดไหนเชื่อว่าพวกท่านก็รู้ดี หรือว่าพวกท่านจะไม่วางแผนเรื่องนี้หน่อยเหรอ” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวกล่าวเรียบๆ

 

ทุกคนถึงบางอ้อทันที คณบดีแห่งสำนักรูปปั้นศักดิ์สิทธิ์พูดขึ้น “คุณหนูพูดถูก ศึกครั้งนี้อาจจะสร้างความเสียหายให้พวกเรามากขึ้นกว่าเดิม ข้าคิดว่าอย่าให้พวกเขาเข้ามาจะดีที่สุด พวกเราเข้าไปรบกับพวกเขาในเมืองโลกทมิฬเลยจะดีกว่า อย่างไรซะพวกเขาก็เป็นฝ่ายส่งสาสน์สงครามมา พวกเราเข้าไปในเมืองโลกทมิฬก็ไม่ถือว่าผิด”

 

“ถูกต้อง อย่างไรซะเมืองโลกทมิฬก็ไม่สามารถอยู่อาศัยได้อีกแล้ว ถึงเวลาสู้กันจะไปทำลายอะไรเข้าก็ไม่น่าเสียดาย แต่พื้นที่ในแต่ละเมืองของเราเป็นที่ที่ดี สิ่งแวดล้อมที่ดี จะทำลายแบบนี้ไม่ได้ ไม่งั้นอีกไม่นานก็จะเกิดที่แบบเมืองโลกทมิฬขึ้นอีก”

 

“เมื่อก่อนเป็นพวกเขาที่มาถึงที่ ครั้งนี้ตาพวกเราบ้าง นี่สิเรียกว่าบุกมาบุกกลับ ไอพวกชั่วนั่นจะได้ไม่ทำพิษบนที่ของพวกเรา พวกเขาจะตายก็ไปตายในที่ของตัวเอง”

 

“ถูกต้อง ครั้งนี้กลุ่มเทียนยีก็คงจะใช้พิษ ถ้าให้พวกเขามาอยู่ในที่ของเราอาจจะเกิดดินแดนมรณะขึ้นก็ได้ ครั้งนี้จะให้พวกเขาเข้ามาไม่ได้ ไม่อย่างนั้นประชาชนจะเดือดร้อนกว่านี้”

 

“ถ้าถามข้าครั้งนี้ล้างบางพวกเขาที่เมืองโลกทมิฬให้หมดเลยก็ดี อย่างไรซะพวกนั้นก็ไม่ใช่คนดีอะไร สมควรตายอยู่แล้ว”

 

“…….”

 

ทุกคนต่างพากันพูดขึ้น พวกเขาเข้าใจถึงความหนักหนาของเรื่องนี้ ล้วนไม่สนับสนุนให้ผู้ฝึกตนวิถีมารเข้ามา

 

ปัญหานี้ถูกแก้ไขไป ผู้เฒ่าหยิงถามต่อด้วยรอยยิ้ม “คุณหนู มีปัญหาอื่นอีกใช่หรือไม่”

 

“อีกปัญหาหนึ่ง พวกเราจะล้างบางคนของเมืองโลกทมิฬตั้งแต่แก่ยันเด็กน่ะเป็นไปไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นครั้งนี้ทุกคนควรจะเลือกที่ออกมาสักที่ให้คนแก่และเด็กจากเมืองโลกทมิฬอยู่รึเปล่า”

 

เฉิงเสี่ยวเสี่ยวโยนปัญหามาอีกข้อ

 

ทุกคนได้ยินปัญหานี้แตกฮือกันทันที

 

ปัญหานี้สำคัญมาก ไม่รู้ว่าเมื่อกี้ทุกคนตั้งใจรึเปล่าที่ไม่มีใครพูดถึงเลย ตอนนี้ถูกยกออกมาแล้วก็ต้องเผชิญมัน

 

แน่นอนผู้ที่มีสีหน้าไม่สู้ดีก็คือราชวงศ์จากอีก 3 เมือง พวกเขารู้ว่าจำเป็นต้องแบ่งพื้นที่ให้คนของเมืองโลกทมิฬได้ตั้งรกราก

 

ผู้เฒ่าหยิงเห็นปฏิกิริยาจากทุกคน แล้วหันไปเหล่สีหน้าของคุณหนูตัวเอง ยิ้มออกมาอย่างพิลึกพิลั่น

——————————-