ตอนที่ 588 นโยบายใหม่ของเขตหยุนไหล

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 588 นโยบายใหม่ของเขตหยุนไหล

ในขณะที่ฟู่เสี่ยวกวนกำลังหารือกับจงสือจี้เรื่องระบบพื้นที่ที่เท่าเทียมอยู่นั้น ณ สถานที่ไกลออกไปหลายพันลี้ เขตหยุนไหลอันห่างไกลความเจริญและยากแค้นที่สุดในเจี้ยนหนานตงเต้า ก็ได้มีนโยบายระบบพื้นที่ที่เท่าเทียมขึ้นมาเป็นแห่งแรกในประวัติศาสตร์ราชวงศ์หยู !

ในขณะเดียวกันก็ได้เกิดนโยบายวางแผนครอบครัวขึ้นแห่งแรกในประวัติศาสตร์ราชวงศ์หยูเช่นกัน !

เพียงแต่นโยบายวางแผนครอบครัวนี้ค่อนข้างไร้ประโยชน์ เมื่อฟู่เสี่ยวกวนได้รู้ก็อดมิได้ที่จะหัวเราะออกมาเสียงดัง

……

“จากแผนการเดิมของข้า จะกวาดซื้อพื้นที่รกร้างของเขตหยุนไหลมาจนสิ้น อย่างน้อยก็น่าจะมีพื้นที่หลายร้อยหมู่ ! ”

“เมื่อปลายปีกลาย ข้าได้ติดต่อกันทางจดหมายกับพี่ซีเหวิน เขากล่าวว่าที่ซีซาน…หมายถึงซีซานที่หลินเจียง บ้านเกิดของฟู่เจวี๋ยเย บัดนี้ได้ทำการปลูกพืชผักชนิดใหม่ขึ้นมา เรียกว่ามันเทศ กล่าวว่าเจ้าสิ่งนี้มิเลือกสภาพดิน พื้นที่ 1 หมู่สามารถให้ผลผลิตได้ถึง 5,000 ชั่ง ! ”

“อย่าได้มองข้าเช่นนี้ ข้าขนลุกยิ่ง ! เอาเป็นว่าพี่ซีเหวินกล่าวมาเช่นนั้น ส่วนข้าน่ะหรือ แน่นอนว่าข้าเชื่อ เนื่องจากนั่นคือผลิตผลที่ฟู่เสี่ยวกวนหามา”

“ดังนั้นข้าจึงคิดว่า หากปีนี้มิทันการ แต่ทว่าปีหน้าพวกเราจะต้องเร่งปลูกให้จงได้ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องได้เมล็ดพันธุ์ของมันเทศนั่นมา… พี่ซีเหวินกล่าวว่าเป็นการปลูกแบบเพาะต้นอ่อน เมื่อถึงเวลานั้นพวกเราค่อยเชิญเกษตรกรจากหลินเจียงมาชี้แนะแนวทาง เจ้าว่า… หากพวกเราใช้ประโยชน์จากที่ดินเหล่านี้ อีกทั้งมันเทศที่ให้ผลผลิตสูง ปัญหาเรื่องการปากท้องก็คงสามารถจัดการได้โดยง่ายใช่หรือไม่ ?

การที่พวกเรากระทำการเหล่านี้ ก็เพื่อเพื่อนมนุษย์ทั้งสิ้น ! เช่นนั้น พวกเราควรจัดตั้งนโยบายขึ้นมาอีกหนึ่งอย่าง ซึ่งนั่นก็คือส่งเสริมให้ชาวบ้านมีบุตร… มิใช่ส่งเสริม แต่เป็นการบังคับ บังคับให้ชาวบ้านมีบุตร เจ้าจงจำเอาไว้ว่าแต่ละบ้านที่สามีภรรยามีอายุต่ำกว่า 40 ปี ไม่ว่าจะมีบุตรอยู่แล้วกี่คน ก็จำเป็นต้องให้กำเนิดบุตรอีก 1 คน !

อายุต่ำกว่า 30 ปี ให้มีบุตรเพิ่มอีก 2 คน

อายุต่ำกว่า 20 ปี ทุก 2 ปีต้องให้กำเนิดบุตร 1 คน ! ”

แสงไฟจากกองฟืนส่องกระทบมายังใบหน้าของจัวหลิวหวิน จึงทำให้หน้าของเขาขึ้นสีแดงระเรื่อ มิรู้ว่าเป็นเพระดื่มสุราเข้าไปมากหรือเป็นเพราะแสงจากกองไฟกันแน่

ตัวเขา ณ บัดนี้ มีท่าทีที่จริงจังยิ่ง สายตาจับจ้องไปยังกองไฟอย่างแน่วแน่

ท่าทางเช่นนี้ เหยียนเกาไม่ได้เห็นมาราวครึ่งปีแล้ว ซึ่งเพียงพอต่อการเข้าใจได้ว่าท่านนายอำเภอต้องการปรับเปลี่ยนเขตหยุนไหลด้วยใจจริง เพียงแต่…เรื่องของการให้กำเนิดบุตรนั้น สามารถใช้นโยบายมาบังคับกันได้หรือ ?

หากชาวบ้านมิยินยอมให้กำเนิดบุตร จะจับพวกเขามาเปลื้องอาภรณ์แล้วมัดเอาไว้กับเตียงเยี่ยงนั้นหรือ ?

อีกอย่างหนึ่ง ที่ว่ามันเทศให้ผลผลิตหมู่ละ 5,000 ชั่ง ก็เชื่อไปทั้งอย่างนั้นน่ะหรือ ?

ข้ามีชีวิตมากว่าครึ่งคนแล้ว จนบัดนี้ปฐพีแทบจะกลบร่าง ยังมิเคยได้ยินมาก่อนเลยว่าจะมีพืชผักชนิดใดสามารถให้ผลผลิตถึง 1,000 ชั่งในพื้นที่ 1 หมู่ แต่กลับกล่าวว่ามันเทศให้ผลผลิตถึง 5,000 ชั่ง เหอะ ๆ เกรงว่าเขาจะเมามายเกินไปเสียแล้ว

“เอ่อ…หากชาวบ้านมิยินยอมให้กำเนิดบุตรจะทำเยี่ยงไร ? ”

สายตาของจัวหลิวหวินชะงักลง “มิยินยอมเยี่ยงนั้นหรือ ? หากมิยินยอมก็จับไปเป็นแรงงานก่อสร้างถนน อ่า…ใช่แล้ว ! เขตหยุนไหลมีเพียงถนนที่เชื่อมไปยังเมืองสู่โจวเท่านั้น จะว่าไปก็มีเนื้อที่เพียงสองร้อยกว่าลี้ อีกทั้งสองร้อยกว่าลี้นี้ยังมีพื้นที่ไม่สม่ำเสมอ อย่าว่าแต่เวลาฝนพรำเลย แม้แต่ตอนปกติ รถม้าก็ยากที่จะเข้ามาถึง เจ้าลองว่ามาสิ ผู้ใดจะกล้าเข้ามาลงทุนในที่เยี่ยงนี้กัน ?

ต่อให้มีผลผลิตจำนวนมากแล้วเยี่ยงไร ? การส่งผลผลิตออกไปจำเป็นต้องใช้แรงงานทั้งคนและสัตว์ จะคิดค่าใช้จ่ายส่วนนี้เยี่ยงไร ? ”

ราวกับว่าเขาตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว จัวหลิวหวินสร่างเมาขึ้นมาเล็กน้อย เขาลุกขึ้น นำมือไพล่หลังเดินวนไปเวียนมาอยู่หลายก้าว

“ข้าจำได้ดีว่าในบทกวี ‘เยาวชนราชวงศ์หยูกล่าว’ ผลงานที่ฟู่เจวี๋ยเยได้ประพันธ์เอาไว้ หน้าที่รับผิดชอบในวันนี้มิได้ขึ้นอยู่กับผู้อื่น แต่อยู่ที่เยาวชนของเรา ข้าเองก็ถือว่าเป็นเยาวชนอยู่มิใช่หรือ ? ฝ่าบาททรงรับสั่งให้ข้าเข้ารับตำแหน่งนายอำเภอเขตหยุนไหล ข้าเองก็มิอยากจะทำอย่างขอไปที ข้าจะต้องรับผิดชอบต่อหน้าที่ให้จงได้

ดังนั้น เรื่องนี้ก็ขอให้เป็นไปตามที่ข้ากล่าว ในวันรุ่งขึ้นยามฟ้าสาง พวกเราจะต้องแจกจ่ายหน้าที่เหล่านี้ให้แก่ขุนนางทุกคนไปปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ท่านคงต้องลำบากเสียหน่อย ขอให้ท่านช่วยร่างรายละเอียดของนโยบายทั้งสองนี้อย่างรอบคอบแล้วเขียนออกมาอย่างเป็นระเบียบ จากนั้นก็แยกย้ายกันไปปฏิบัติ ! ”

“เอ่อ…มิต้องให้กรมขุนนางอนุมัติก่อนหรือ ? ”

“มิต้อง ! หากรอให้พวกเขาอนุมัติก็มิรู้ว่าอีกกี่ปีกี่ชาติจะเสร็จ ! พวกเรา…ต้องรีบลงมือทำเสียก่อน ! ”

……

……

เช้าวันต่อมา หยูเวิ่นชูนอนหลับจนถึงยามอู่

เขายืดตัวบิดขี้เกียจแล้วลุกขึ้นจากเตียง เมื่อมองเห็นเตียงเก่าอันแข็งกระด้างก็หัวเราะออกมาอย่างขมขื่น

คนเราหนอ ช่างน่าอนาถ !

หากเป็นแต่ก่อน เตียงเช่นนี้ ผ้าห่มเช่นนี้ ข้าจะนอนหลับสนิทได้เยี่ยงไร !

แต่บัดนี้ ชีวิตได้ตกอับเสียจนรู้สึกว่าเตียงเก่าช่างอบอุ่นเสียจริง ๆ

เขาดึงผ้าม่านให้เปิดออก ลมหนาวพัดโชยมาเล็กน้อย แสงสุริยาส่องมายังใบหน้า

เขากลับรู้สึกว่าช่างสบายเสียจริง และรู้สึกว่าชีวิตเช่นนี้แท้ที่จริงก็มิเลว หากสามารถมีรายได้ที่มั่นคงก็คงจะดี

เมื่อคิดได้ดังนั้นเขาจึงเดินออกจากห้องไปยังด้านล่าง ติดต่อเข้าพักต่ออีก 2 วัน แล้วนั่งในมุมหนึ่งของห้องอาหารเพื่อกินมื้อกลางวัน

ต่อจากนั้น เขาก็เดินออกไปนอกโรงเตี๊ยม เท้าก้าวไปบนถนนที่มิได้งดงามสักเท่าใดนัก อยู่ ๆ ก็พบว่าที่กำแพงมีแปะประกาศเอาไว้ ผู้คนมากมายกำลังรุมล้อม

เมื่อเดินเข้าไปดู นี่มิใช่หนังสือตามจับ แต่เป็นประกาศ

ประกาศนี้มีเนื้อหาว่า ในวันที่สาม เดือนสี่ พื้นที่รกร้างทั้งสิ้นในเขตหยุนไหลจะต้องกลายเป็นของส่วนรวม ซึ่งอยู่ในการดูแลของสำนักงานเขต และจะแบ่งใหม่อีกครา ดังนี้

รายละเอียด:ชายหนุ่มจนถึงวัยกลางคนจะได้รับพื้นที่ 100 หมู่ โดย 30 หมู่เป็นพื้นที่ส่วนตัว สามารถสืบต่อไปยังลูกหลานได้ ส่วนที่เหลืออีก 70 หมู่เป็นของทางการ มิทำการเก็บภาษี 5 ปี หากเสียชีวิตลงจะต้องคืนให้สำนักงานเขต

ชายชราและผู้พิการจะได้รับพื้นที่จำนวน 30 หมู่ หญิงม่ายจะได้รับ 20 หมู่ หากเป็นหัวหน้าครอบครัวจะได้รับเพิ่มอีก 20 หมู่

ขุนนางจะได้รับจำนวนครึ่งหนึ่งของชายหนุ่ม พ่อค้าได้รับจำนวนเท่ากับขุนนาง

หากในครัวเรือนมีผู้ใดเป็นทหาร จะได้รับพื้นที่ส่วนบุคคลเพิ่มอีก 30 หมู่

ทหารผู้มีผลงานจะได้รับรางวัลเป็นอย่างน้อย 100 – 1,000 หมู่เป็นต้น

ประกาศฉบับนี้ทำให้ผู้คนพากันวิพากษ์วิจารณ์ ว่านี่เป็นเรื่องที่ดียิ่ง หากพื้นที่รกร้างเหล่านั้นถูกนำออกมาใช้ หากว่าสามารถได้ส่วนแบ่งพื้นที่มากมาย อีกทั้งยังมิต้องจ่ายภาษีถึง 5 ปี… ชาวบ้านมากมายพากันใจสั่น ล้วนนั่งนับว่าคนในครอบครัวรวมกันแล้วจะได้ส่วนเเบ่งพื้นที่จำนวนเท่าใด

ทันใดนั้น ก็มีทหารกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา หยูเวิ่นชูรู้สึกตื่นตกใจเป็นอย่างมาก จึงรีบก้มหน้านำมือล้วงไปจับดาบเอาไว้

“ถอยหน่อย ทุกคนช่วยหลีกทางหน่อย ยังมีข่าวดีอีกหนึ่งอย่าง ! ”

ทหารกลุ่มนี้เบียดตัวเข้าไปในฝูงชน จากนั้นก็ติดประกาศว่า ข้อบังคับของการเพิ่มประชากร !

ชายชราคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหน้าประกาศ กล่าวว่า “ทุกคนช่วยเงียบเสียงลงหน่อย ประกาศข้อบังคับเพิ่มประชากรนี้มีตราประทับของนายอำเภอ เป็นหนังสือที่อยู่ภายใต้กฎหมาย พวกเจ้าจงตั้งใจฟังเอาไว้ให้ดี ! ”

ชายชราอ่านออกมาเสียงดังฟังชัดทีละคำ ท่ามกลางความฮือฮาของชาวบ้าน เขาได้อธิบายว่า

“เงียบหน่อย เงียบหน่อย…ก็แค่ให้กำเนิดบุตรมิใช่หรือ ? นายอำเภอต่างก็คิดแทนพวกเจ้าทั้งนั้น!”

“หากมีบุตรมากก็จะได้รับพื้นที่ส่วนแบ่งมาก เขตหยุนไหลแต่ละปีมีหิมะถล่มหนักถึง 4 เดือน หากพวกเจ้ามิให้กำเนิดบุตร แล้วจะทำสิ่งใดกันเล่า ? ”

“บรรดาผู้ที่ปฏิเสธจะให้กำเนิดบุตร จะถูกส่งไปใช้แรงงานอย่างแน่นอน ขอให้พวกเจ้าจงครุ่นคิดให้ดี เมื่อกลับไปแล้วจงเปิดปฏิทินดูให้ดีว่าอายุของพวกเจ้าเท่าใดกันแล้ว ควรให้กำเนิดบุตรกี่คน จงรีบเร่งเข้า หากตั้งครรภ์เสียตั้งแต่ตอนนี้ก็จะคลอดราวเดือนสอง จะพอดีกับช่วงที่เกษตรกรได้พักผ่อนพอดี”

“ส่วนพวกที่ถึงวัยอันควรแล้วแต่ยังไม่แต่งงาน เจ้านั่น…คนที่สวมชุดขาวน่ะ”